บทที่ 5 ความรักของอันหราน [2/2]
จวนตระกูลชุน
ลมยามบ่ายพัดผ่านตรอกหินอย่างแผ่วเบา ทว่าในหูของไป๋อันหรานกลับได้ยินเพียงเสียงหัวใจของตนที่เต้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างเจ็บปวด ร่างบางเดินโซเซราวกับลมหอบแรกจะพัดนางล้มลงทุกเมื่อ มือข้างหนึ่งกุมหนังสือหย่าสีน้ำตาลแน่นจนปลายนิ้วซีดเซียว ทุกย่างก้าวล้วนหนักอึ้งแต่กลับมีแรงผลักดันบางอย่างรั้งให้นางเดินต่อ
ความหวังสุดท้ายที่เหลืออยู่คือการได้พบหน้าสามีผู้ที่นางรักสุดหัวใจ แม้เขาจะเย็นชาเพียงใด แม้เขาจะไม่เคยมองนางอย่างภรรยาเพียงครึ่งวัน แต่นางก็ยังเชื่อเสมอว่า หากได้อธิบาย เขาต้องฟัง ต้องเชื่อใจนาง
ดวงตาที่แดงช้ำเพราะร้องไห้มาทั้งวันเงยขึ้นมองประตูจวนตระกูลชุนที่คุ้นเคย ความหวังเล็ก ๆ ผุดขึ้นในอกทันทีที่เห็นรถม้าของตระกูลหยุดอยู่ตรงลานด้านหน้า และร่างสูงของบุรุษผู้เป็นสามีก้าวลงมาอย่างสง่างาม
“ท่านพี่…” เสียงนางแตกพร่าแต่เปี่ยมด้วยความยินดี
อันหรานรีบวิ่งเข้าไปดั่งคนกำลังจะจมแล้วคว้าเห็นทุ่นสุดท้าย แต่เพียงก้าวสองก้าวไปถึง มู่หยางที่ควรจะเข้ามาประคองกลับถอยหลังหนีราวกับนางเป็นสิ่งโสโครกที่ไม่ควรเข้าใกล้ หัวใจของอันหรานตกลงไปที่ก้นเหวทันที สายตาของชายหนุ่มผู้เป็นสามีไม่มีความอบอุ่น ไม่มีความสงสัย ไม่มีแม้กระทั่งความโกรธที่กลั่นออกมาจากรัก
มีเพียงความรังเกียจล้วน ๆ
“เจ้ามาทำไม” น้ำเสียงเขาเย็นราวกับลมกลางเหมันต์ “ไม่ได้รับหนังสือขับภรรยาที่ข้าส่งให้หรือ?”
อันหรานส่ายหน้าทันที น้ำตาไหลคลอ “ท่านพี่ ข้าไม่ได้คบชู้เลยเจ้าค่ะ ข้ามีเพียงท่านจริง ๆ ท่านต้องเชื่อข้านะ”
มู่หยางหัวเราะเยาะเย้ย เสียงแผ่วแต่บาดลึกจนถึงกระดูก
“เจ้ามีหรือไม่มีมันเกี่ยวอะไรกับข้ากัน เจ้าไม่ใช่ฮูหยินชุนของข้าอีกต่อไปแล้ว”
คำพูดนั้นเหมือนมีกระบี่คมปักเข้ากลางอกอันหราน นางยืนสั่นงันงกไปทั้งร่าง ก่อนจะพยายามร้องอ้อนวอนสามีด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ท่านพี่ข้ารักเพียงท่านนะเจ้าคะ เด็กในท้องของข้าหากท่านไม่ต้องการข้าจะเอาเขาออกก็ได้ ขอเพียงท่านให้ข้ากลับไปอยู่ข้างกาย เจินเจินท่านให้นางเป็นฮูหยินก็ได้ ข้าแค่เพียงอยากอยู่ข้างกายท่าน ไม่ต้องรักข้าก็ได้ ขอเพียงให้ข้าดูแลท่าน เป็นอนุก็ได้”
สิ้นคำร่างของนางที่สั่นคลอนยิ่งดูน่าเวทนานัก นางยอมแม้กระทั่งสละลูกในครรภ์…เพื่อแลกกับเพียงเศษความสนใจของเขา
คิ้วของมู่หยางกระตุกขึ้นเล็กน้อยเหมือนคิดอะไรบางอย่าง
“เด็กในท้องของเจ้ายังอยู่หรือ” เขาถามเสียงเบาแต่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
อันหรานรีบพยักหน้า “เจ้าค่ะ ยังอยู่ เด็กคนนี้เป็นลูกของเรา หากท่านไม่ต้องการ ข้าจะ…”
“อันหราน” ชายหนุ่มพูดแทรกทันที สายตาเย็นเยียบที่มองนาง เฉียบคมยิ่งกว่ามีด “สวะเช่นเจ้าเหตุใดถึงเอาแต่สร้างปัญหาให้ข้ากัน เจ้าอยากได้ความสนใจจากข้าหรือ”
ราวกับโลกหยุดหมุน น้ำตาของอันหรานไหลพรากอย่างห้ามไม่อยู่ แต่ถึงเช่นนั้น…นางก็ยังยิ้มอย่างคนสิ้นหวัง
“ไม่ต้องสนใจข้าก็ได้เจ้าค่ะ ข้าขอเพียงให้ท่านมีความสุข ข้าอยากมองใบหน้าและรอยยิ้มของท่าน…เพียงเท่านั้น”
มู่หยางมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตานั้นเปลี่ยนจากเย็นชาเป็นรังเกียจอย่างเปิดเผย เสื้อผ้าที่นางสวมใส่มามีแต่ฝุ่น คราบน้ำตาและเหงื่อทำให้ใบหน้าที่เคยขาวสะอาดหม่นหมองราวกับคนป่วยหนัก
“ดูสภาพเจ้าในยามนี้สิ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “แบบนี้เทียบกับเจินเจินได้หรือ เจ้าไม่มีค่าแม้แต่จะเป็นอนุ แค่จะให้ข้ามองก็ยังน่าขยะแขยง”
หัวใจอันหรานปริแตกอย่างเงียบงัน ทว่าเขายังไม่หยุดเพียงแค่นั้น
“ถ้าอยากให้ข้าสนใจเจ้า…” เขาเดินเข้าไปใกล้ เอียงหน้าพูดอย่างไร้ความเมตตา “ลองตายให้ข้าดูดีหรือไม่ ไม่แน่ว่าหากเจ้ากับเด็กในท้องตาย ข้าอาจจะรู้สึกเสียใจอยู่บ้างก็ได้”
พูดจบชายหนุ่มก็ปัดชายแขนเสื้อราวกับเพิ่งสัมผัสสิ่งโสโครก แล้วเดินผ่านอันหรานเข้าไปในประตูจวนที่คุ้นเคย ประตูที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่ที่นางเรียกว่าบ้าน แผ่นหลังของเขาหายเข้าไปในเงามืดของโถงจวน ทั้งที่อยู่ไม่ไกล…แต่กลับดูเหมือนอยู่คนละโลก
อันหรานยืนอยู่เพียงลำพังลมที่พัดมาก่อนหน้านี้อุ่นนัก แต่บัดนี้กลับเย็นจนแทรกเข้ากระดูก สายตาของนางพร่าเลือน ทว่าร่างกายกลับรู้สึกเหมือนแบกรับน้ำหนักหมื่นหาบ คำพูดของเขายังคงก้องในหู
“ลองตายให้ข้าดูดีหรือไม่ ไม่แน่ว่าหากเจ้ากับเด็กในท้องตาย ข้าอาจจะรู้สึกเสียใจอยู่บ้างก็ได้”
นางไม่รู้ว่าตนยืนอยู่ที่นี่นานเท่าไร แม้คนรับใช้บางคนเหลือบมองนางแต่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปยุ่ง เพราะรู้ดีว่านี่คืออดีตฮูหยินที่นายท่านขับไล่ออกไปเพราะคบชู้
อันหรานสูดหายใจลึกอย่างยากลำบาก แล้วหันหลังให้จวนตระกูลชุนช้า ๆ นางเดินไปบนถนนหินโดยไม่รู้ว่าตนจะไปที่ใด สายตาเหม่อลอยราวกับคนไร้วิญญาณ เงาของนางทอดยาว บิดเบี้ยวบนพื้นเหมือนล้อเลียนความสิ้นหวังในหัวใจของนาง
ท้องฟ้ายามเย็นเริ่มกลืนแสงสุดท้ายของวัน สีส้มหม่นคล้ายไฟที่ใกล้ดับค่อย ๆ จางหายไปจากขอบฟ้า ก่อนถูกแทนที่ด้วยเงาสลัวของม่านราตรี สายลมเย็นยามค่ำพัดพาใบไม้ปลิวจนเกิดเสียงกรอบแกรบ ลำน้ำใต้สะพานไหลเชี่ยวเบา ๆ แต่พอจะสะท้อนให้เห็นเงาร่างหญิงคนหนึ่งที่เดินโซเซมาถึงกลางสะพาน
ไป๋อันหรานเดินเหมือนไม่รับรู้โลก เหมือนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนกำลังหายใจอยู่ น้ำตารินเงียบ ๆ ลงบนแก้มซีด ริมฝีปากบางที่เคยสดใสคลี่ยิ้มจางราวกับคนที่หมดสิ้นเรี่ยวแรงจะมีชีวิต ทุกก้าวคือความเจ็บปวดที่บีบหัวใจจนแทบแตกสลายในใจนางดังก้องด้วยเสียงของเขา
คำพูดเหล่านั้น…คำที่คิดถึงทีไรเหมือนคมมีดกรีดซ้ำลงกลางหัวใจจนเลือดหยุดไหลไม่ได้
‘หากอยากให้ข้าสนใจ ลองตายให้ข้าดูดีหรือไม่?’
‘ไม่แน่ว่าหากเจ้ากับเด็กในท้องตาย ข้าอาจจะรู้สึกเสียใจอยู่บ้างก็ได้’
ไม่ว่าจะพยายามกี่ครั้ง น้ำเสียงเย็นชานั้นก็ยังแทรกเข้ามา บีบใจนางจนแทบหายใจไม่ออก หลายปีที่ผ่านมานางทุ่มเทอะไรไปบ้างกัน?
นางยอมทำทุกอย่างตั้งแต่เรื่องที่น่าละอายที่สุดอย่างวางยาปลุกกำหนัดแย่งเขามาจากน้องสาว ใช้เงินทองทรัพย์สินทั้งหมดซื้อตำแหน่งในราชสำนักให้เขามีอำนาจ งานเย็บปักที่นางไม่เคยแตะก็ฝึกจนมือด้านเพียงเพื่อทำเสื้อผ้าให้เขาสวมใส่ ตื่นเช้ามืดทุกวันเพื่อต้มน้ำแกงบำรุงร่างกายให้เขาดื่มก่อนออกไปทำงาน
แม้สุดท้าย…น้ำแกงจะถูกเทราดมือของนางก็ตาม
“ข้าทุ่มเทไปเพียงนี้เหตุใดท่านถึงรักแต่นางกัน” อันหรานสะอื้นเบา ๆ เสียงสั่นจนแทบไม่เป็นถ้อยคำ
“เพื่อท่าน ไป๋เจินเจินนางเสียสละอะไรบ้าง มีเพียงข้า มีเพียงข้าที่ยอมสละทุกอย่างให้ท่าน ไม่มีผู้ใดรักท่านมากกว่าข้าอีกแล้ว”
ความคิดนั้นค่อย ๆ กลายเป็นหลุมมืดที่ลากนางลงไปลึกขึ้นเรื่อย ๆ ร่างบางเดินมาหยุดตรงกลางสะพาน ดวงตาคู่สวยมองท้องฟ้าสีหม่นที่เหมือนกำลังร้องไห้ไปพร้อมนาง ลมเย็นแรงขึ้นจนชายเสื้อของนางปลิวสั่นไหวแต่หญิงสาวกลับไม่รู้สึกถึงความหนาวเลยแม้แต่น้อย
ร่างบางค่อย ๆ ปีนขึ้นไปนั่งบนขอบสะพาน ราวกับเพียงแค่ขยับตัวน้อยนิดก็พร้อมจะร่วงหล่นลงสู่สายน้ำด้านล่างที่ไหลเชี่ยว แววตาของนางว่างเปล่าเสียจนดูเหมือนชีวิตได้จากนางไปแล้วครึ่งหนึ่ง มือขวาอันสั่นเทาลูบท้องแผ่วเบา
ทว่าในขณะเดียวกัน ชายอีกคนที่กำลังวิ่งหานางแทบพลิกเมืองหลวงก็ปรากฏตัวขึ้น ม่อเหยียนหัวใจแทบหยุดเต้นเมื่อเห็นเงาร่างของสตรีที่เขาตามหานั่งอยู่บนขอบสะพาน
“อันหราน!!!” เขาตะโกนสุดเสียง น้ำเสียงสั่น ขาดห้วง เต็มไปด้วยความหวาดกลัวจนแทบฉีกออกเป็นสองส่วน
“อย่าโดดนะ!!!”
ไป๋อันหรานแม้จะได้ยินเสียงแต่ก็ไม่ได้หันมอง ไม่ได้ขยับ ไม่ได้ตอบ เหมือนโลกของนางเหลือเพียงความว่างเปล่าตรงหน้า ใบหน้าสวยเงยขึ้นมองท้องน้ำและฟังเสียงสายน้ำที่ไหลเหมือนกำลังเรียกนางลงไป
ร่างสูงรีบย่างกายเข้าไปใกล้จนแทบล้ม เขายื่นมือออกไปอย่างหวาดหวั่น
“อันหราน! มองพี่! มองพี่สิ!” เสียงเขาแตกพร่า “บอกให้มองข้าไง!!!”
หญิงสาวเพียงกระพริบตาช้า ๆ เหมือนรับรู้ว่าเขาอยู่ตรงนั้น แต่เหมือนไม่มีแรงจะสนใจอีกต่อไป มือบางลูบท้องตัวเองอีกครั้งหนึ่ง… คราวนี้ช้ากว่าเดิม ราวกับกำลังบอกลาอะไรบางอย่าง
ม่อเหยียนรู้สึกได้ทันทีว่าคนตรงหน้าต้องการจะทำอะไร หัวใจของเขาพลันดิ่งวูบ ความหวาดกลัวจู่โจมจนแทบหายใจไม่ออก
“อันหรานเจ้าต้องการอะไร บอกพี่สิ”
เสียงเขาแผ่วลง แต่เต็มไปด้วยความอ้อนวอนอย่างที่สุด
“ขอร้อง…อย่าทำแบบนี้”
หญิงสาวขยับริมฝีปากน้อย ๆ เสียงเบาแทบไม่ถึงหูเขา
“มู่หยาง…หากข้าตายท่านจะเสียใจใช่หรือไม่”
คำถามนั้นทำให้ม่อเหยียนเหมือนถูกฟ้าผ่ากลางอก เขากำมือแน่นจนสั่นก่อนจะตะโกนกลับไปราวกับสิ่งเดียวที่จะรั้งชีวิตนางไว้ได้คือความโกรธ
“ถ้าอยากตายนักก็ตายไปคนเดียว!!!” เสียงเขาดังก้องสะท้อนสะพาน “แต่อย่าเอาชีวิตหลานของข้าไปด้วย!!!”
อันหรานนิ่งทว่าแววตาเริ่มไหววูบ ม่อเหยียนเห็นเช่นนั้นจึงพูดต่อ น้ำเสียงของเขาเสียงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“ไอ้สวะนั่นมันสำคัญขนาดนั้นเลยหรือ!!! สำคัญถึงขนาดที่เจ้าต้องเอาชีวิตของตัวเองกับลูกมาแลกหรือไง!!!”
หญิงสาวน้ำตาไหลอย่างหมดสิ้นความหวัง
“ข้าไม่เหลือใครแล้ว มู่หยางเขาคือทุกอย่างของข้า”
“หรานเอ๋อร์…เจ้าไม่เหลือใครหรือ?” ม่อเหยียนพูดเสียงสั่น เขาก้าวเข้าไปอีกครึ่งก้าวอย่างระแวดระวัง
“ดูรอบตัวสิเจ้ามีข้า ข้าอยู่ตรงนี้” น้ำเสียงเขาแทบขาดใจ “ไหนจะลูกในท้องของเจ้าที่รอพบหน้าเจ้า หรานเอ๋อร์พวกเราต่างต้องการเจ้า”
อันหรานไม่ตอบแต่ริมฝีปากนางสั่น ไหล่สั่น แววตาที่ร้าวลึกเหมือนกำลังแตกสลายเป็นผุยผง
ม่อเหยียนรวบรวมลมหายใจอีกครั้งก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วลง
“หรานเอ๋อร์ ไอ้สวะนั่นมันคุ้มค่าหรือ คุ้มค่าให้เจ้าและลูกแลกชีวิตจริง ๆ หรือ…”
หญิงสาวหันมามองเขาช้า ๆ แววตาของนางเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ความหวังสุดท้ายและความสิ้นหวังในคราวเดียวกัน
เป็นครั้งแรกที่ม่อเหยียนเห็นอันหรานในสภาพนี้ อันหรานที่เคยเข้มแข็ง กล้าพูด กล้าหัวเราะ วันนี้กลับดูเหมือนคนที่แตกสลายไม่เหลือแม้แต่ความหวัง
ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มให้ชายหนุ่ม รอยยิ้มที่เจ็บยิ่งกว่าเสียงร้องไห้ใด ๆ
ม่อเหยียนใจหายวาบทันที เขาก้าวเข้าไปอีกนิด ยื่นมือออกไป
“อย่าโดดเลยนะ หรานเอ๋อร์เจ้าเชื่อฟังพี่เถอะ” เสียงเขาเริ่มสั่นไม่หยุด “เจ้ายังมีข้า ยังมีลูกของเจ้าอยู่ตรงนี้”
อันหรานหันหน้ากลับไปมองท้องน้ำอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงของนางเบาราวกับสายลมพัดผ่าน แต่ม่อเหยียนกลับได้ยินอย่างชัดเจน
“มีท่านแล้วอย่างไร คนที่ข้าต้องการคือมู่หยาง ไม่ใช่ท่าน…”
น้ำตานางไหลลงอาบแก้มไม่หยุด
“หากข้าตายแล้วเขาจะเสียใจเพื่อข้า เช่นนั้นก็คุ้มค่าแล้ว…”
“อันหราน อย่า!!!”
ตู๊ม!!!!!
เสียงร่างนางกระแทกผิวน้ำดังสนั่น ฝุ่นน้ำแตกกระจายเป็นวงกว้าง ราวกับเสียงสุดท้ายที่ฉีกหัวใจของม่อเหยียนให้แหลกเป็นชิ้น ๆ
เขากรีดร้องสุดเสียง วิ่งถลาไปยังขอบสะพานแล้วกระโจนตามลงไปทันที เสียงของเขาพร้อมคำเรียกชื่อของนางดังสะท้อน ไปทั่วลำน้ำเย็นยะเยือกในยามค่ำ
“อันหราน!!!”
