
บทย่อ
บุรุษที่เจ้าแย่งมาแต่งทำสามีเป็นสวะเช่นนี้ เรื่องบนเตียงก็ยังไม่ได้เรื่อง เจ้าเอาอะไรมารักปักใจกัน ไป๋อันหรานเจ้าช่างเป็นสตรีที่โง่งมในรัก
บทที่ 1 เจ้าสาวที่ไม่ต้องการ
ตึง! ตึง!
เสียงกลองพิธีดังผสานเสียงขลุ่ยโหยหวนที่ล่องลอยอยู่เหนือเรือนใหญ่ของตระกูลชุน ภายในลานกว้างประดับด้วยผ้าแพรสีแดงสดระย้าเรียงราย แต่ถึงแม้สีแดงจะชวนให้ชื่นมื่นเพียงใด บรรยากาศทั้งงานกลับอบอวลด้วยความอึดอัดหม่นหมอง ผู้คนที่ถูกเชิญมาร่วมงานต่างยืนเรียงรายกันอย่างเก้ๆ กังๆ ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีแววตาร่วมยินดี มีเพียงการกระซิบถกเถียง และสายตาสงสารที่แอบโยนมาทางเจ้าบ่าวเป็นพักๆ
บนแท่นพิธี ไป๋อันหรานสวมอาภรณ์เจ้าสาวสีแดงเข้มยืนอยู่ใต้ผ้าคลุมหน้าเงียบ ไม่ไหวติง ข้างกายมีเจ้าบ่าว ชุนมู่หยาง ยืนเคียงข้างด้วยสีหน้าราบเรียบ แต่ในนัยน์ตาไม่ปิดบังแม้เศษเสี้ยวของความเกลียดชัง คล้ายมีดคมบางที่เงียบงันแต่ทิ่มแทงเจ้าสาวอย่างไร้ปรานี
“หนึ่งคำนับฟ้าดิน!” ชายชราเอ่ยเสียงแผ่วแต่หนักแน่น
ทั้งสองก้มศีรษะลงพร้อมกัน เสียงชุดเจ้าสาวไถลบนพื้นที่เย็นเฉียบดังแผ่วๆ แต่สายตาของแขกกลับจับจ้องที่มู่หยางผู้ซึ่งแม้จะคำนับแต่แววตาไม่ยอมลดระดับลง คล้ายประกาศชัดว่านี่ไม่ใช่ความสมัครใจของเขา
“สองคำนับพ่อแม่!”
บริเวณที่ควรจะมีญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย กลับเว้นว่างโล่ง มีเพียงเก้าอี้ไม้วางไว้โดยไร้ผู้คน สายตาของแขกหลายคนสั่นไหวด้วยความขื่นขม
ญาติผู้ใหญ่ตระกูลไป๋ฝ่ายเจ้าสาวไม่มีผู้ใดมาเลย…นอกจากสตรีหนึ่งคน...
ไป๋เจินเจินน้องสาวต่างมารดาของไป๋อันหราน …ใบหน้างดงามของนางยามนี้ขาวซีดเพราะน้ำตาที่เอ่อคลอไม่หยุด มือบางกำชายกระโปรงแน่นราวยั้งหัวใจที่กำลังแตกสลาย
“คำนับต่อกัน” เมื่อถึงพิธีสุดท้าย ชายชราเอ่ยช้าๆ
ไป๋อันหรานก้มหน้าขึ้นเล็กน้อยใต้ผ้าคลุม เหมือนกลั้นลมหายใจ ส่วนมู่หยางหันมองนางชั่วขณะ ความเกลียดชังในดวงตาลึกจนทำให้หลายคนที่ยืนชมต้องเบือนหน้า
“ประคับประคองซึ่งกันและกัน ร่วมเป็นร่วมตาย”
ถ้อยคำนี้กลับเหมือนมีดกรีดกลางอากาศ แขกหลายคนได้แต่มองภาพสองคนยืนเคียงกันด้วยความรู้สึกย้อนแย้ง คู่บ่าวสาวที่ควรเข้าหอกันด้วยความยินดี กลับมีฝ่ายหนึ่งแสดงท่าทีเหมือนนักโทษที่ถูกบังคับให้ผูกโซ่ตรวนเข้าหากัน
“ส่งตัวเข้าหอ”
ยามที่ชายชราพูดจบประโยค เสียงถอนหายใจเบาๆ ของแขกในงานดังเป็นระลอก มู่หยางยังไม่ทันขยับ ก็ได้ยินเสียงร้องสะอื้นแผ่วเบาจากด้านล่าง
“พี่หยาง…”
ไป๋เจินเจินที่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ นางกัดริมฝีปากจนเลือดซึมน้ำตาร่วงเผาะราวเม็ดมุกที่ขาดร้อย
“เจินเจิน…”
มู่หยางเอ่ยชื่อคนรักเบาลงกว่าลมหายใจ นัยน์ตาคมอ่อนลงเจือความสงสาร ปลายเท้าของเขาก้าวออกไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว แต่แล้วมือเรียวบอบบางแต่แข็งแรงของหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกายกลับยกขึ้น คว้าข้อมือเขาไว้แน่น ชายหนุ่มชะงักฝีเท้า ใบหน้าคมบิดเบี้ยวด้วยความรังเกียจ
“เฮอะ”
เขาแค่นหัวเราะเย็นเยียบ ก่อนสะบัดมืออย่างแรงราวกับถูกสิ่งสกปรกเกาะติด การกระทำของเจ้าบ่าวทำให้แขกหลายคนกระตุกไหล่ด้วยตกใจ มีบางคนส่ายหัวอย่างมองไม่ออกว่า เจ้าสาวช่างใจกล้าเพียงใดถึงได้พยายามเหนี่ยวรั้งเช่นนั้น
ไป๋เจินเจินสะอื้นเงียบๆ มองทั้งคู่ด้วยแววตาเจ็บปวดราวถูกฟันบั่นพัง
“พี่หยาง…” เสียงของนางสั่นจนแทบขาดห้วง
แขกบางคนที่เห็นเหตุการณ์นั้นก็อดที่จะเม้มปากแล้วเอ่ยวิจารณ์แผ่วเบาออกมาไม่ได้
“คุณหนูใหญ่ตระกูลไป๋นี่…กล้าแย่งคู่หมั้นของน้องสาวตนได้เช่นไร”
“ไม่แปลกที่ผู้ใหญ่ตระกูลไป๋ไม่ยอมมางาน…น่าอับอายสิ้นดี”
“เห้อ....น่าสงสารก็แต่คุณชายชุนและคุณหนูรองไป๋ มีใจตรงกันแต่ไม่อาจได้ครองคู่”
เสียงซุบซิบดังขึ้นเรื่อยๆ ทว่าภายใต้ผ้าคลุมหน้าสีแดง ไป๋อันหรานกลับยืนนิ่งเหมือนรูปสลัก ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าหญิงสาวกำลังสั่นเพราะโกรธ เจ็บ หรือกลั้นสะอื้น
ส่วนเจ้าบ่าวชุนมู่หยาง ดวงตาของเขามีเพียงเงาของสตรีที่กำลังร้องไห้อยู่ โดยที่เขาคิดไม่เหลียวมองเจ้าสาวที่ยืนอยู่ข้างกายแม้เพียงเสี้ยววินาที
ห้องหอตระกูลชุน
ภายในห้องหอถูกประดับด้วยผ้าแพรแดงทั่วทุกมุม โคมแดงผูกปมยาวห้อยลงมาราวสัญลักษณ์ของความเป็นสิริมงคล ทว่าความมงคลนั้นกลับไม่มีความอบอุ่นของคู่บ่าวสาวเลยแม้แต่น้อย
บนโต๊ะกลมเตี้ยกลางห้องมีกาสุราแกะสลักลวดลายมงคลวางอยู่ข้างถ้วยสองใบอย่างเงียบงัน ไฟจากตะเกียงน้ำมันวูบไหวตามแรงลมที่เล็ดลอดเข้ามา เสียงเปลวไฟสั่นแผ่วเบานั้นยิ่งทำให้ความวังเวงภายในห้องเด่นชัดยิ่งขึ้น
ไป๋อันหราน สตรีร้ายกาจที่ใครก็ต่างรู้จัก เพราะนิสัยของนางที่ชอบทุบตีคนรับใช้ ทั้งยังรังแกน้องสาวต่างมารดา หรือแม้แต่สั่งฆ่าอนุของบิดา ไม่ว่าเรื่องชั่วช้าอันใดที่เกิดในจวนตระกูลไป๋ก็ล้วนแต่ต้องมีชื่อของนางอยู่ในนั้น และเรื่องชั่วร้ายที่นางทำล่าสุดคือ แย่งคนรักของไป๋เจินเจินน้องสาวต่างมารดา
เพราะนางรักเขาจนหมดหัวใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะแต่งงานกับน้องสาวต่างมารดานางจึงไม่อาจยอมรับได้ สุดท้ายจึงจงใจวางยาปลุกกำหนัดมู่หยางและใช้โอกาสนั้นทำให้บิดาของนางมาพบ
และนั่นคือเหตุผลที่การแต่งงานครั้งนี้เกิดขึ้น
แอ๊ดดด..
เสียงเปิดประตูดังขึ้นภายในห้อง กลิ่นอายเย็นยะเยือกของชายคนหนึ่งก้าวเข้ามาพร้อมเสียงฝีเท้าหนักแน่น
“คุณชาย” หนึ่งในสาวใช้เอ่ยเบาๆ
“พวกเจ้าออกไปให้หมด” ชุนมู่หยางใช้เสียงเย็นเฉียบสั่งทันที โดยไม่รอให้ใครพูดต่อ
“เจ้าค่ะ”
ประตูปิดลงอีกครั้ง ทิ้งให้มีเพียงสองคนในห้องหอที่ควรเต็มไปด้วยความหวานแต่กลับมีเพียงความตึงเครียดจนแทบหายใจไม่ออก
อันหรานยกใบหน้าเล็กน้อยภายใต้ผ้าคลุมหน้าเมื่อได้ยินเสียงก้าวของเขาก้าวเข้ามาใกล้ นางกำมือของตนแน่นจนข้อขาว ความตื่นเต้นและความดีใจพรั่งพรูในอกจนต้องค่อยๆ สูดลมหายใจเพื่อกดความดีใจที่พวยพุ่งไม่หยุด
ในที่สุด… วันนี้ก็มาถึง...
วันที่ข้าได้เป็นภรรยาของพี่หยาง....
พรึบ!
ผ้าคลุมหน้าถูกกระชากออกด้วยแรงที่ไร้ความอ่อนโยนแม้แต่น้อย อันหรานกระพริบตา ลืมตาช้าๆ เมื่อแสงไฟส่องกระทบใบหน้า นางเห็นชายผู้เป็นสามียืนอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าหล่อเหลาของเขาที่นางหลงใหลมาโดยตลอดยามนี้แข็งกร้าวอบอวลด้วยกลิ่นอายเย็นยะเยือก
“ท่านพี่…”
คำเรียกนั้นกลับไม่ได้ทำให้มู่หยางอ่อนลงแม้แต่น้อย นัยน์ตาคมมองหญิงสาวอย่างกับกำลังมองสัตว์เดรัจฉานสกปรกที่ไม่ควรอยู่ในห้องนี้ด้วยซ้ำ
ดวงตานั้น…เต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างไม่คิดปิดบัง มือหนากำผ้าคลุมหน้าในมือแน่นจนเส้นเลือดขึ้น เขากัดฟันมองนางราวกับโทษว่านางคือผู้ทำลายชีวิตเขา
หากไม่เพราะยาปลุกกำหนัดชั่วๆ ของนางผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงนี้ควรเป็นไป๋เจินเจินไม่ใช่นาง!
“ท่านพี่…”
เสียงอันหรานสั่นเครือ นางลุกขึ้นยืนอย่างระวัง มือขาวเอื้อมออกไปจับแขนของมู่หยางอย่างอ่อนโยนแต่ก่อนที่ปลายนิ้วจะได้สัมผัสแขน
พลั่ก!!
มู่หยางผลักหญิงสาวอย่างแรงจนร่างบางล้มไปกระแทกพื้น
“สตรีน่ารังเกียจ อย่าแตะต้องข้า” เสียงเขาเย็นเฉียบจนลมหายใจในห้องเหมือนหยุดลง
อันหรานเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ ดวงตาแดงวาบ น้ำตาเริ่มรื้น
“ท่านพี่… ข้า…”
แต่มู่หยางไม่แม้แต่เหลียวมองเจ้าสาวของตน ชายหนุ่มหันหลังเตรียมก้าวออกจากห้องหอ ตั้งใจเดินออกจากห้องหอราวกับว่ามันเป็นสถานที่น่ารังเกียจที่สุดในโลกสำหรับเขา
หัวใจอันหรานบีบรัดอย่างรุนแรง นางร้องเรียกตามเสียงสั่น
“อย่างน้อย… อย่างน้อยท่านพี่ได้โปรด....ดื่มสุรามงคลกับข้าก่อน…” อันหรานเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ นัยน์ตาคู่สวยมองเขาด้วยสายตาอ้อนวอนเหมือนเด็กที่กลัวถูกทอดทิ้ง
มู่หยางหยุดฝีเท้าแต่ไม่ใช่เพราะคำวิงวอนของนางแต่อย่างใด รอยยิ้มเยาะเย้ยเล็กๆ ค่อยๆ ผุดขึ้นบนริมฝีปากของเขา ร่างสูงหันกลับมามองนาง
“สุรามงคลหรือ”
พูดจบร่างสูงก็ย่างกายตรงไปยังกาสุราที่วางอยู่บนโต๊ะ เขาหยิบมันขึ้นด้วยมือที่มั่นคงก่อนก้าวกลับมาหาไป๋อันหรานที่ยังนั่งอยู่บนพื้น
“เจ้าสู้เจินเจินของข้าไม่ได้สักนิด เทียบกับนางก็ไม่ได้ด้วยซ้ำ” เสียงของเขาต่ำและชัดเจนทุกถ้อยคำ ก่อนมือหนาจะยกกาสุราขึ้นเหนือหัวของไป๋อันหราน
“สุรามงคลของข้า จะดื่มกับนางเท่านั้น” เขากระซิบด้วยน้ำเสียงพิฆาต
“หากเจ้าอยากดื่ม…ก็จงดื่มไปคนเดียว”
ซ่าส์!!
ทันทีที่พูดจบประโยต มู่หยางก็เทสุราทั้งกาใส่ศีรษะของไป๋อันหราน ของเหลวเย็นเฉียบกระทบผิวหนังและชุดเจ้าสาวจนชุ่มโชก น้ำสุราหยดลงจากปลายคาง คล้ายหยาดน้ำตาของหญิงสาวที่โดนเหยียบย่ำศักดิ์ศรี
มู่หยางยิ้มเย็นอย่างพอใจมองผลงานของตนที่ส่งภรรยาในคืนเข้าหอให้เปียกชุ่มด้วยความอัปยศ
“อันหราน” เสียงเขาเรียกชื่อของนางเหมือนเป็นคำสาป “หากเจ้าคิดว่าแต่งมาแล้วจะมีความสุข ก็จำไว้ว่าข้าจะทำให้เจ้าเอ่ยปากขอหย่าเอง”
ชายหนุ่มเอ่ยน้ำเสียงเย็นเหยียบราวกับนี่คือการประกาศสงครามระหว่างพวกเขา จากนั้นร่างสูงก็หมุนตัวเดินออกจากห้องทันที
“คุณชายเจ้าคะ! ออกจากห้องหอในคืนแรกเช่นนี้มิได้นะเจ้าคะ!”
“คุณชาย! นี่มันผิดธรรมเนียม…”
เสียงบ่าวรับใช่ที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องหอเอ่ยร้องห้ามเสียงดัง แต่แน่นอนว่าไม่มีประโยคใดหยุดมู่หยางได้ เสียงฝีเท้าที่เดินจากไปดังก้องราวกับเหยียบหัวใจของใครบางคนจนแตกละเอียด
ภายในห้องหอที่เงียบงันไป๋อันหรานนั่งนิ่ง น้ำตาไหลเงียบๆ ผสมกับสุราที่ไหลจากศีรษะลงสู่หน้าอกจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรอีกต่อไป นางกำชายกระโปรงแน่นแต่ริมฝีปากกลับพยายามยกขึ้นเหมือนพยายามยึดเศษเสี้ยวความหวังที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด
“ไม่เป็นไร…อันหราน…อีกไม่นานท่านพี่ต้องใจอ่อนต่อเจ้าแน่…”
นางปลอบตัวเองเสียงแผ่วราวลม ดวงตาคู่สวยหลับลงก่อนหญิงสาวจะสูดลมหายใจที่สั่นเครือเข้าไปราวกับพยายามเรียกสติของตัวเอง
“เจ้าแค่อดทนรออีกหน่อยเท่านั้น...ทุกอย่างจะต้องดีขึ้นกว่านี้แน่นอน”
ค่ายทหาร
ลมยามค่ำพัดกระแทกผนังของกระโจมใหญ่จนเกิดเสียงดังกรอบแกรบเป็นระยะ ไฟคบที่ปักอยู่ด้านนอกไหววูบ ส่งเงาของทหารยามทอดยาวลงบนพื้นหญ้าแห้ง
ภายในกระโจมไฟตะเกียงน้ำมันสี่ดวงตั้งอยู่ตามมุม ให้แสงสีส้มสลัวรำไร บรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นควันไฟและความตึงเครียดที่หนาแน่นจนรู้สึกได้เหมือนหมอกควัน
พื้นที่ตรงกลางถูกล้อมด้วยเหล่าองค์ชายและทหารคู่ใจของพวกเขา ทุกคนก้มหน้าไม่กล้ามองสบสายตาของบุรุษผู้มีอำนาจทหารสูงสุดภายในค่ายทหารแห่งนี้ เพราะเคยเห็นฤทธิ์เดชของบุรุษผู้เลือดเย็นมาแล้วหลายครั้ง
ม่อเหยียนหรือที่ผู้คนต่างเรียกขานว่าอ๋องปีศาจ เขายืนอยู่กลางกระโจมหลังเหยียดตรงอย่างน่าเกรงขาม รูปโฉมของเขาได้สัดส่วนราวกับถูกสวรรค์สลักขึ้นเอง คิ้วเข้มได้รูปขับให้ดวงตาคมลึกดุจคมดาบในยามราตรี ปรายตามององครักษ์เงาที่นั่งคุกเข่ารายงานถึงเรื่องที่เขาสั่งให้ไปสืบอยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาเย็นเยียบ
“อันหรานนี่หรือ… คือบุรุษที่เจ้าเลือก?”
น้ำเสียงของม่อเหยียนไม่ดัง ไม่เกรี้ยวกราด แต่ทหารทั้งกระโจมกลับรู้สึกราวกับมีแรงอาฆาตไหลอาบรอบตัว
องครักษ์เงาลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากก่อนกล่าวรายงานต่ออย่างระมัดระวังแต่ถึงอย่างนั้น…เหงื่อยังไหลเงียบๆ ตามขมับของเขา
“ในวันคืนแต่งงาน…คุณชายชุนก็ยัง…” เสียงนั้นสั่นเล็กน้อยเพราะรู้ดีว่าอารมณ์ของท่านอ๋องจะเกรี้ยวกราดมากเพียงใดหากได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องหอของคุณหนูใหญ่ตระกูลไป๋
องค์ชายสองที่ยืนอยู่ด้านข้างเหลือบมององครักษ์ด้วยสายตาตักเตือน ราวกับบอกว่า…หากพูดออกไปโดยไม่ระวังอาจจะต้องเก็บศพตัวเองคืนนี้
“พูด!!!” ม่อเหยียนกดเสียงต่ำคำเดียวแต่สะท้อนทั่วกระโจมราวกับระเบิด
องครักษ์กลืนน้ำลายก่อนเอ่ยทุกคำด้วยหัวใจที่เต้นรัวเหมือนถูกบีบ
“คุณชายชุน… ไม่ได้อยู่ร่วมในห้องหอเขากลับไปอยู่กับบุตรสาวคนรองของท่านไป๋และก่อนจะออกจากห้อง…เขายังเทสุรามงคลลงบนศีรษะของคุณหนูใหญ่…พร้อมกล่าวเหยียดหยามนางอย่างรุนแรง…”
เงียบ…
เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของทุกคนในกระโจม
ม่อเหยียนยืนนิ่งแต่ข้อนิ้วที่กำหมัดแน่นจนขึ้นเส้นเลือดบอกได้หมดว่าภายในกำลังเดือดดาลเพียงใด ราวกับเปลวเพลิงกำลังคืบคลานอยู่ภายในอก องค์ชายสองที่เห็นท่าทางอันตรายนั้นรีบก้าวออกมาหนึ่งก้าวพูดเสียงเบาอย่างระวังที่สุด
“ท่านอา…นางแต่งงานแล้ว ท่านอาก็ควรลืมนางเสียเถิด”
คำพูดนั้นเหมือนมีดที่กรีดผ่านความอดทนของม่อเหยียน เขาหันขวับสายตาคมกริบราวคมดาบตวัดไปยังองค์ชายสองจนอีกฝ่ายต้องกลั้นลมหายใจแทบไม่กล้าขยับ
“ออกไปให้หมด!!!”
ครั้งนี้เสียงเขาดังกว่าฟ้าร้องกระโจมสั่นสะเทือน ทหารและเหล่าองค์ชายที่อยู่ในกระโจมรีบคุกเข่าแล้วลุกออกไปทันทีด้วยท่าทางหวาดกลัว
เมื่อทุกคนออกไปจนหมดความเงียบก็กลับมาปกคลุมอีกครั้ง ภายในกระโจมเหลือเพียงเสียงลมหายใจหนักๆ ของม่อเหยียนที่สะท้อนก้องในพื้นที่อันกว้าง เขาทรุดตัวลงบนเก้าอี้ไม้สลักหลังใหญ่พลางเอนกายพิงพนักหลับตาลงช้าๆ เหมือนคนที่กำลังต่อสู้อยู่กับความทรมานในอก
ภาพหนึ่งย้อนกลับมาอย่างชัดเจนเหมือนเพิ่งเกิดเมื่อวาน เด็กสาววัยสิบเจ็ดปีผู้ร่าเริง แก้มแดงตาใสยืนอยู่ท่ามกลางดอกไม้ในสวนผมสีดำพลิ้วไหวไปตามสายลม
“อันหราน เจ้าชอบบุรุษเช่นไรบอกพี่หน่อยสิ”
“ท่านพี่ ข้าชอบบุรุษที่ทะนุถนอมข้าเป็นคนจิตใจดี… แล้วก็ต้องรูปงามด้วย”
ม่อเหยียนในวัยยี่สิบหัวเราะเบา “พี่ก็รูปงามนักมิใช่หรือ”
“แต่ท่านพี่นิสัยร้ายกาจ!”
นางเท้าคางมองเขาพร้อมยิ้มกว้าง “ท่านพ่อบอกว่าท่านไปทำร้ายองค์รัชทายาทอีกแล้ว”
เขาเบือนหน้าหนีด้วยท่าทางหงุดหงิด “เหอะ ใครใช้ให้ไอ้คนโง่นั่นมามองเจ้ากัน”
“นั่นไงท่านพี่เป็นคนดีไม่ได้จริงๆ” อันหรานหัวเราะเสียงใส
“ถ้าพี่เป็นคนดีได้ล่ะ” เขาก้มมองนางด้วยสายตาแน่วแน่ “เจ้าจะแต่งให้พี่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ หากวันนั้นท่านเป็นคนดีได้… ข้าจะแต่งให้ท่าน”
รอยยิ้มบนใบหน้าสาวน้อยในวันนั้น…อ่อนโยนและสดใสจนเขาไม่อาจลืมได้เลย ม่อเหยียนลืมตาช้าๆ แววตาเจ็บลึกอย่างที่ไม่เคยเปิดเผยต่อผู้ใด
“อันหราน…” เสียงเขาแผ่วลง “ตอนนี้พี่ชายเป็นคนดีแล้ว”
มือเขากำที่วางแขนแน่นจนไม้ส่งเสียงดัง ความเจ็บ ความรัก ความเสียดายปะปนกันรุนแรง
“แต่กลับ…ทำเจ้าหลุดมือไป…” ลมหายใจของเขาหนักขึ้นเรื่อยๆ หัวใจเหมือนถูกกดด้วยหินก้อนใหญ่
“พี่ควรทำเช่นไร…ดี”
ใต้แสงตะเกียงสลัวน้ำเสียงของม่อเหยียนไม่ใช่เสียงของอ๋องผู้ฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตาแต่เป็นเสียงของชายผู้รักสตรีคนหนึ่งมากพอจะเสียสละทุกสิ่งเพื่อความสุขของนางได้
ทว่าทุกอย่างกลับสายจนเกินไปแล้ว....
