ตอนที่หนึ่ง ใครกัน2
ตอนที่หนึ่ง
ใครกัน
"น้องหลิง เจ้าไม่เป็นไรแล้ว พี่อยู่ที่นี่แล้ว" ยามเอ่ยกับหญิงสาวเสียงของเขาอ่อนโยนและสั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่
กลิ่นเลือดจากบาดแผลที่นับไม่ถ้วนบนร่างเล็กทำเอามืออันสั่นระริกลูบใบหน้าที่ซีดเซียวแผ่วเบาพลางปลอบประโลม "อดทนอีกนิดนะ น้องหลิง"
แล้วร่างของเขาก็กระโจนขึ้นบนหลังคา หอบร่างอันยับเยินของหญิงสาวในอ้อมกอดหายไปในความมืด ทิ้งไว้เพียงกลิ่นเลือด ซากศพ และไฟโทสะไว้ข้างหลัง
ฉีฟางหลิงรู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่นด้วยพิษไข้และความเจ็บปวด เธอพยายามฝืนลืมตาแต่เปลือกตากลับหนักอึ้ง รู้เพียงว่ามีเงาดำปรากฏขึ้นตรงหน้าพร้อมเสียงถล่มประตูดัง โครม!
จากนั้นจึงได้ยินเสียงปลอบประโลมกระซิบแผ่วอยู่ข้างหูพร้อมการโอบประคองที่แม้จะทะนุถนอมที่สุดแต่ก็กระทบกับบาดแผลจนเจ็บอยู่ดี
“โอ๊ย! เจ็บ”
“อดทนอีกหน่อยนะ น้องหลิง พวกเราใกล้จะได้ออกไปแล้ว”
ฉัวะ!
เสียงอาวุธสัมผัสอะไรสักอย่างดังเข้าหูจนอยากจะเหลือกตามอง แต่กลับฝืนไม่ไหวหลับลงไปอีกครั้ง
ไม่นานความรู้สึกว่าตัวเองกำลังลอยคว้างอยู่ในความอบอุ่นตัดกับความรู้สึกเย็นของสายลมที่พัดผ่านใบหน้าก็ปลุกให้รู้สึกตัวอีกครั้ง
คราวนี้ยังรู้สึกได้ถึงไออุ่นจากอกกว้างและแขนแน่นกับเสียงหัวใจที่เต้นรัวอยู่ใกล้หู
ใคร?
คำถามย่อมไร้คำตอบเพราะเธอหมดสติไปอีกครา
หญิงสาวรู้สึกตัวอีกครั้งก็เมื่อสะลึมสะลือด้วยความเจ็บยามเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดถูกลอกถอดออกอย่างระมัดระวังเผยรอยแผลยาวตามแนวแส้ที่บางส่วนผิวหนังปริฉีก มีเลือดซึม และบางส่วนแดงช้ำปะปนสีม่วงคล้ำทั้งบวมเป่งจนคนมองยังต้องเบือนหน้าหนีทั้งกัดกรามข่มอารมณ์ไม่ให้เผลอรุนแรงอันอาจกระทบบาดแผล
แรงบางเบาที่ใช้ความอุ่นชื้นเช็ดคราบเลือดออกอย่างเชื่องช้าจากนั้นจึงโรยผงบางอย่างจนรู้สึกแสบทำให้ฉีฟางหลิงพยายามขยับหนี
“อย่าเพิ่งขยับ” เสียงทุ้มพร่าเอ่ยเบาด้วยดวงตาแดงก่ำ ขณะมือยังไม่หยุดพันผ้าสะอาดรอบบาดแผลอย่างใจเย็น
จากนั้นหญิงสาวจึงสลบไปอีกครั้งกว่าจะรู้สึกตัวด้วยการโยกเขย่าไปตามแรงเคลื่อนไหวของม้าที่กำลังวิ่งเร็วแข่งกับสายลมที่พัดแรง
“โอ๊ย!” เสียงร้องแผ่วเบาเรียกวิญญาณสาวที่เหม่อลอยไม่อาจนับวันนับคืนให้ถลันเข้ามาสบดวงตาอ่อนล้าก่อนจะทักทายด้วยความโล่งอก
“ฟื้นได้เสียที ข้ารออยู่หลายวันแล้ว ขืนยังไม่ได้พูดจากันให้เข้าใจ อาจไม่มีโอกาสอีก”
“ใคร? เธอเป็นใคร? โอ๊ย!” เพราะรีบร้อนขยับตัว หญิงสาวจึงต้องสูดปากเมื่อความเจ็บระลอกใหญ่โจมตีขึ้นมา
“ข้าคือเจ้าของร่างที่เจ้าสวมอยู่อย่างไรเล่า ฉีฟางหลิง อย่าเพิ่งรีบขยับตัวให้มาก ยามนี้หลังของเจ้าแตกยับไม่เหลือชิ้นดีแล้ว”
ร่าง? ร่างอะไร?
ฉีฟางหลิงรีบก้มลงมองสำรวจเนื้อตัวของตนเองก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อหยิกแขนแล้วเกิดความรู้สึกเจ็บ
เฮ้ย!...ไม่ใช่ฉันจริงด้วย แต่...ทำไมเจ็บล่ะ
“ไม่ต้องตกใจหรอก ฉีฟางหลิง คราแรกข้าเองก็ทำสิ่งใดไม่ถูกเช่นกัน ข้ารู้เพียงว่าวิญญาณของตนเองได้กระเด็นหลุดออกจากร่างอันโดนทำร้ายปางตาย ขณะกำลังยืนทำใจมองพวกเขาเฆี่ยนตีร่างอันแตกยับ
จู่ๆ วิญญาณของเจ้าก็พุ่งเข้าไปในร่างของข้าแล้วสิงสู่อยู่จนบัดนี้ ไม่ว่าจะปลุกเรียกหรือทำอย่างไรเจ้าก็ไม่ยอมออกมา”
“อ้าว...ออกสิ จะอยู่ทำไม เธอรีบกลับมาเลย ร่างที่เจ็บเจียนตายแบบนี้จะอยู่ไปทำไม” หญิงสาวพยายามขยับตัวแต่ก็ต้องนอนนิ่งอีกคราวเมื่อยิ่งขยับก็ยิ่งเจ็บปวด
“ข้าคงกลับเข้าไปไม่ได้แล้วด้วยสิ้นอายุขัยไม่อาจอยู่ต่อ ส่วนเจ้า...ข้าได้ยินผู้ที่มารับวิญญาณบอกว่ายังมีวาสนาจึงต้องอยู่ต่ออีกหลายปี” คำบอกของวิญญาณสาวทำให้ฉีฟางหลิงรีบโบกไม้โบกมือเป็นเชิงปฏิเสธ
“เฮ้ย...ไม่เอา จะอยู่ต่อก็หาร่างที่ดีกว่านี้หน่อย เอาร่างคนใกล้ตายมาแบบนี้จะอยู่ยังไง”
วิญญาณซึ่งไม่อาจกลับเข้าร่างของตัวเองได้แต่ถอนหายใจแล้วรีบพูดในสิ่งที่ต้องการจะบอก
“เอาล่ะ เจ้าตั้งใจฟังให้ดีก่อน ฉีฟางหลิง ข้ามีเวลาอีกไม่มากจึงอยากบอกเล่าให้เจ้าได้เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นเผื่อว่าเจ้าจะใช้ชีวิตต่อไปได้
ข้าเป็นหลานสาวของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันและได้รับการแต่งตั้งเป็นถึง ‘องค์หญิงฉางเล่อ’ มีนามว่า ‘ฉีฟางหลิง’เช่นกัน”
อ้อ...ชื่อเดียวกันนี่เอง
