ตอนที่สอง เจ้าเป็นองค์หญิง
ตอนที่สอง
เจ้าเป็นองค์หญิง
ข้าเป็นหลานสาวของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันและได้รับการแต่งตั้งเป็นถึง ‘องค์หญิงฉางเล่อ’ มีนามว่า ‘ฉีฟางหลิง’เช่นกัน”
อ้อ...ชื่อเดียวกันนี่เอง
หญิงสาวพยักหน้า แม้ไม่อยากฟังต่อแต่วิญญาณซึ่งรีบร้อนกลับไม่เปิดโอกาสให้หลีกเลี่ยงรีบเล่าต่อทันที
“บิดาของข้าคือ ‘ฉางอ๋อง’ อนุชาซึ่งพลีชีพไปในการรบเมื่อหลายปีก่อน ส่วนมารดาของข้าเป็นเพียงสาวใช้อุ่นเตียงคนหนึ่งและเสียชีวิตไปนานแล้ว
ด้วยบิดาต้องอยู่ชายแดนไม่ค่อยได้กลับมายังเมืองหลวง ข้าจึงเติบโตภายใต้การเลี้ยงดูในฐานะธิดาบุญธรรมของพระสนมเสียนเฟยซึ่งไร้โอรสธิดา
ชีวิตความเป็นอยู่ที่ผ่านมาของข้านับว่าหรูหราสุขสบายไม่น้อย ด้วยถึงอย่างไรข้าก็เป็นหลานสาวแท้ๆ ของไทเฮา”
“อืม...ฟังดูก็น่าจะดี เป็นถึงองค์หญิง หลานฮ่องเต้ หลานสาวของไทเฮา มีแม่บุญธรรมเป็นเสียนเฟย แล้วทำไมกลายเป็นนักโทษที่ถูกตีแทบตายแบบนี้ได้ล่ะ” ฉีฟางหลิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ข้าไม่รักดีเอง เห็นหินกรวดคิดว่าคือทองคำ เพียงพบหน้า ‘หลี่เฉียง’ บุตรชายเสนาบดีกรมคลังซึ่งหล่อเหลาสุภาพอ่อนโยน ข้าก็หลงใหลได้ปลื้มไปกับคำหวานของเขา
เมื่อสกุลหลี่กล้าส่งคนมาสู่ขอ ข้าจึงออกปากว่าอยากแต่งงานกับเขา” ใบหน้าเศร้าหมองที่มีน้ำตาปริ่ม มองแล้วช่างน่าสงสาร ฉีฟางหลิงจึงถามเสียงแผ่ว
“แล้ว...”
“ด้วยความยิ่งใหญ่ของเสด็จลุงฮ่องเต้ ไม่นานราชโองการสมรสจึงออกมาตามแต่ใจของหลานสาวอย่างข้า
เดิมทีข้าเอาแต่ฝันหวานในชีวิตหลังแต่งงานที่แสนสุข คิดแค่ว่าพวกเขาเป็นสกุลขุนนางซึ่งหวังปืนป่ายเชื่อมโยงกับราชวงศ์ ย่อมต้องเอาอกเอาใจข้าผู้เป็นสะใภ้สูงศักดิ์ซึ่งยอมลดตัวลงมาแต่งด้วย
คิดไม่ถึงว่าเพียงแต่งเข้าจวนมาแค่วันเดียว ก็ต้องพบกับภัยพิบัติอย่างสุดคาดเดา”
ฟังมาถึงตอนนี้ ฉีฟางหลิงก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องเจ็บแทบตายจึงเอ่ยเร่ง
“เล่าออกมาให้หมดได้ไหม อย่ามาลีลามาก ฉันขี้เกียจถามทีละคำ มันเจ็บแผล เข้าใจไหม?” หญิงสาวค้อนลมค้อนฟ้าด้วยความไม่พอใจที่ตัวเองต้องมาแบกรับความเจ็บปวดแทนวิญญาณที่ไร้ความรู้สึก
“หลี่เฉียง เขาช่างร้ายกาจซ่อนแผนการร้ายเอาไว้ภายใต้ท่าทางสุภาพอย่างแยบยล การที่เอาตัวเข้าล่อข้าก็เพื่อหาแพะรับบาปในเรื่องที่ตนเองก่อ
พวกเขาพ่อลูกสกุลหลี่ต่างติดต่อกับองค์ชายสี่แห่งแคว้นลู่ซึ่งเป็นศัตรูของแคว้นต้าไห่เราเอาไว้นานแล้ว แผนการก่อกบฏถูกวางไว้อย่างแนบเนียนจนสามารถส่งคนเข้าแทรกซึมในราชสำนักนับไม่ถ้วน
ที่สำคัญคือพวกเขาสืบรู้ว่าข้าสนิทสนมกับ ‘ลู่หวังเหว่ย’องค์ชายหกแห่งแคว้นลู่ แผนการโยนความผิดให้แพะอย่างข้าจึงเกิดขึ้นโดยที่หญิงโง่อย่างข้าตกหลุมพรางโดยง่ายดาย”
“แล้วเธอจะติดต่อกับองค์ชายหกของแคว้นอื่นทำไม โง่หรือเปล่า? สองแคว้นเป็นศัตรูกันอยู่เห็นๆ หาเรื่องใส่ตัวเองชัดๆ” ฉีฟางหลิงค่อยๆ จับไปทีละประเด็นแล้วจึงเอ่ยคำต่อว่าออกมา
“เมื่อหลายปีก่อนข้าและลู่หวังเหว่ยรู้จักกันโดยบังเอิญ เขาช่วยข้าเอาไว้จากการตกม้าแต่กลับหลงป่าอยู่ด้วยกันหลายวัน ด้วยความสัมพันธ์ครั้งนั้น พวกเราจึงลอบคบหากันด้วยไมตรีจิตไม่ได้คิดนอกลู่นอกทาง
ข้ามักส่งอาหารที่หายากและอาวุธแปลกๆ ที่ได้รับจากท่านตาไปให้เขา ส่วนเขาก็ส่งของกำนัลหลายอย่างมาให้ข้าเช่นกัน”
“อืม...ฟังดูก็เป็นความสัมพันธ์ที่ดี แต่...องค์ชายแคว้นศัตรูกับองค์หญิงต่างแคว้นจะมีไมตรีกันได้อย่างไร ไร้หัวคิดจริง”
ฉีฟางหลิงยังคงก่นด่าไม่ไว้หน้าเมื่อคิดว่าตัวเองต้องเจ็บตัวเพราะเรื่องนี้
“ใช่ ข้ายอมรับว่าคิดน้อยไปจริงๆ ล่าสุดเมื่อเขารู้ว่าข้ากำลังจะแต่งงานจึงส่งของกำนัลพร้อมจดหมายมาให้อย่างที่เคยทำ แต่กลับถูกสกุลหลี่ลอบดักขโมยไปได้และถูกนำมาเป็นหลักฐานชี้ชัดโยนความผิดข้อหากบฏให้กับข้าในคืนวันแต่งงานนั่นเอง”
วิญญาณฉีฟางหลิงหรือองค์หญิงฉางเล่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่บอกไม่ถูกว่าละอายใจ เสียใจ หรือช้ำใจ แต่ฉีฟางหลิงซึ่งเจ็บปวดบาดแผลที่หลังกลับลุกขึ้นโวยวาย
