บท
ตั้งค่า

บทที่ 4 บรรณาการแคว้นซี 2

เฉินสวี่เหล่ยกลับใจเย็นกว่าที่คิด ถึงจะโพล่งเสียงดัง ตะโกนเรียกยามมาคุ้มกัน ยามที่เดิมคุ้มกันเก้าอี้ไม้ซ้ายขวานั้นก็ชักดาบออกมาล้อมด้านหน้าใต้เท้าเฉินไว้ด้วย เวลาเดียวกัน เสี่ยวหวากําลังเพียรพยายามใช้ลิ้นดันผ้าที่อุดปากออกอยู่ ผ้าคลุมศีรษะสีแดงทั้งหนักทั้งใหญ่ ทำให้เห็นไม่ชัดว่าข้างนอกเกิดอะไรกันแน่

รู้แค่มีคนบุกเข้ามา ไม่รู้คนนั้นเป็นใคร เสียงตึงตังปึงปังราวฟ้าผ่านั่นเบาลง คนพวกนี้น่าจะยังไม่เลิกตีกันหรอกนะ อู๋เสี่ยวหวาคิดฉวยโอกาสนี้หนีไปหาอันเต๋อจื่อที่ถูกคุมขังอยู่ในคุกของศาลาว่าการแล้วรีบเผ่นกลับแคว้นซี

และยอมจำนนรอส่งมอบเป็นของบรรณาการดีกว่า แล้วเรื่องบัดซบพวกนี้ไว้เขาค่อยมาฟ้องฮ่องเต้แคว้นเหยาทีหลัง ให้ลงโทษข้าราชการสุนัขบ้าตัณหาคนนี้ให้หนัก ดูแลบ้านเมืองประสาอะไร ไม่รู้ว่าเจ้าเมืองควานเหลียงเป็นเช่นนี้

คิดได้เช่นนั้นเขาใช้ปลายเท้ายันพื้น ออกแรงทั้งตัว ขยับเก้าอี้ไปด้านข้าง ให้ราบรื่นที่สุด กระบี่ไร้ตา หากฟันโดนตัวเขาคงไม่ดี เขาเขยื้อนไปได้ทีละน้อย ทว่าเปลืองแรงมาก เก้าอี้ขยับได้แค่ไม่กี่คืบ ผ้าคลุมหน้าบนศีรษะกลับร่วงลงมากว่าครึ่ง เผยตาข้างหนึ่งออกมา ดวงตากลับหรี่ลง ตกตะลึงงันกับภาพเบื้องหน้า

ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นทหารกลุ่มใหญ่! หรือนี่จะเป็นเหล่าทหารขององค์รัชทายาทกัน? ทหารเหล่านั้นมือกําดาบคมกริบ บนตัวสวมชุดเกราะ ยืนล้อมสวน ทางเดินคดเคี้ยวและบันไดกันเต็มไปหมด ได้กลิ่นคาวเลือดโชยในอากาศด้วย ดูให้ดีอีกครั้ง ที่พื้นในลานมีศพจำนวนมาก บ้างหงาย บ้างคว่ำ บรรดาแขกเหรื่อที่ตกใจกลัวจนฉี่ราดตดหายกันนานแล้วขดตัวอยู่ข้างโต๊ะเก้าอี้ซึ่งล้มระเนระนาด

คอยระวังดาบของทหาร เบื้องหน้าบริเวณที่ถ้วยชามแตกเกลื่อนกลาดเต็มพื้น ชายรูปลักษณ์องอาจสง่างามน่าเกรงขามผู้หนึ่ง กำกระบี่ยาวประกายวาวไว้มั่นด้วยมือขวา จ่อปลายกระบี่คมกริบที่คอเฉินสวี่เหล่ยตัวแข็งทื่อ ตกใจจนแม้พูดยังไม่กล้า กลัวกระทั่งกลืนน้ำลายก็อาจถูกปลายกระบี่เฉือนคอได้ ทำได้แต่เหลือกตาจ้องชายผู้นั้น นัยน์ตาเต็มไปด้วยการวิงวอนร้องขอชีวิต คล้ายรู้ตัวว่ากําลังชะตาขาด

อู๋เสี่ยวหวาเองก็มองชายผู้นั้น รู้สึกราวกับกำลังฝัน สูดหายใจเข้าปอดอย่างช่วยไม่ได้ เขาจดจำได้ว่าผู้นี้คือใครเพราะเคยเห็นภาพวาดเขามาแล้ว

“องค์รัชทายาทหวังซีเอ่อ!”

เสียแต่ในปากเขามีผ้าอุดอยู่ เสียงร้องด้วยความตื่นตะลึงสุดขีดนี้ได้แค่ตะโกนในใจ กระบี่คมกริบในมือหวังซีเอ่อค่อย ๆ กดลง เลือดสด ๆ ย้อมคอเสื้อไหมของเฉินสวี่เหล่ยเป็นสีแดงเข้ม เวลานี้เขาไม่สนหน้าตาอีกต่อไป คนเบื้องหน้าเขาจะไม่รู้จักได้อย่างไร ถ้ายังไม่รีบคุกเข่าร้องขอชีวิตมีหวังตายหมดทั้งชั่วโคตร เขาจึงวิงวอนด้วยน้ำเสียงชวนน่าสงสารซ้ำ ๆ

“องค์รัชทายาทโปรดไว้ชีวิตกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ! โปรดเมตตาไว้ชีวิตด้วย!”

โดยบนหน้ายังมีความงุนงงไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาไปหลบลู่หมิ่นเบื้องสูงตอนไหนกัน

“ไว้ชีวิต? เจ้าไม่ต้องโขกหัวให้ข้าเพื่อสำนึก ขุนนางข้าราชสำนักทำผิดกฎหมายบ้านเมืองย่อมต้องให้ฮ่องเต้ลงอาญา”

หวังซีเอ่อพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ แม่ทัพใหญ่ที่อยู่ข้าง ๆ บิดแขนของใต้เท้าเฉินแล้วมัดตัวเขาไว้โดยไม่ชักช้า เวลานี้องค์รัชทายาทค่อย ๆ เงยหน้ามอง ‘เจ้าสาว’ ในชุดมงคลสีแดงที่ยังคงถูกมัดแน่นหนา ในปากถูกอุดด้วยผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมอยู่

เมื่อถูกนัยน์ตาสีดำล้ำลึกของอีกฝ่ายจ้องเช่นนั้น ในใจอู๋เสี่ยวหวาร้อนรนขึ้นมาทันที รู้สึกไม่ดีเอามาก ๆ เหมือนถูกดงหนามแทงหลังอยู่ฉึก ๆ แล้วแววตาสงสัยก็คลายลง คนรู้จักกันนี่เอง ดวงหน้าที่เห็นในม้วนภาพวาดที่ส่งมาจากแคว้นซี ตามเจอตัวแล้วเขาสบถในใจ

“ถวายความเคารพองค์ชายสิบแคว้นซี ขออภัยที่ไม่ได้ต้อนรับองค์ชายให้ดี กระหม่อมละเลยหน้าที่แล้ว”

หวังซีเอ่อหาได้ใส่ใจสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้น ทักทายตามหน้าที่เจ้าบ้านที่ดี พูดคุยและกล่าวขอโทษด้วย ทั้งที่ยังไม่ได้แก้มัด..

“เทพโอรสสวรรค์! เขาเป็นองค์ชายสิบแคว้นซีจริงหรือเนี่ย!”

ใต้เท้าเฉินโพล่งเสียงดังแล้วก็เป็นลมไปฉับพลัน เสียงสูดหายใจเฮือกตั้งรอบด้าน แม่นมหงกุมหน้าอ้าปากเหวอลืมไปแล้ว นางกลั้นใจไว้จนหน้าเขียวคล้ำ อึ้งอยู่เป็นนานจึงคุกเข่าลงกับพื้น เถ้าแก่หรงฝู่เลาหอเจิ้นเซียงตกใจกลัวจนสติหลุด เหมือนว่าขาดอากาศหายใจ อย่างไรก็โขกศีรษะไม่หยุด

“องค์ชายสิบ! ขอทรงอภัยให้ด้วย! กระหม่อมมีตาหามีแววไม่! องค์ชายสิบ โปรดให้อภัยด้วย!”

องค์รัชทายาทหวังซีเอ่อส่งสายตาให้ทหารคุมตัวทุกคนออกไป เจ้าหน้าที่ข้าราชการน้อยใหญ่ รวมทั้งพ่อค้าคหบดีที่มาร่วมงานเลี้ยง ต่างมีส่วนพัวพันหนีไม่พ้น แต่ละคนตกใจหมอบสั่นกับพื้น หน้าซีดเป็นกระดาษ

“องค์ชายสิบ ขอประทานอภัยที่ต้องไร้มารยาท”

หวังซีเอ่อกล่าวจบ ดาบเหล็กอย่างดีด้ามหนึ่งก็ออกมาจากช่วงเอว เดินตรงไปทางเจ้าสาวที่ขยับตัวไม่ได้

‘องค์รัชทายาท นี่ท่านคิดจะฆ่าข้าปิดปากงั้นหรือ!’

อู๋เสี่ยวหวาเหงื่อผุด เย็นสันหลังวาบ รู้ตัวว่าไม่ควรหนีการเป็นของบรรณาการ แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องเจอไม้แข็งเช่นนี้ แค่หนีถ่วงเวลาเองนะ..

ขณะที่อู๋เสี่ยวหวาคิดเหลวไหลด้วยความตื่นตระหนก เห็นเพียงแสงวิบวับเบื้องหน้า เชือกบนข้อมือข้อเท้าก็ขาด จากนั้นดาบก็ถูกเก็บคืนที่เดิมเรียบร้อย พอได้อิสรภาพคืน อู๋เสี่ยวหวาก็รีบดึงผ้าที่อุดปากออก หลังจากลุกจากเก้าอี้ไท่ซือ เขาก็สะบัดแขน ทุบหัวเข่า บิดเอว ยืดเส้น ยึดสายเหมือนปลดภาระหนัก หวังซีเอ่อกุมมือคารวะอีกครั้ง กล่าวรับผิดเสียงทุ้มต่ำ

“องค์ชายสิบ ท่านลำบากมากแล้ว มาเยือนแคว้นเหยาแต่ได้รับการดูแลที่ไม่ดีพอ”

“โปรดรับคำขอโทษจากพวกข้าด้วย!”

ทหารทั้งหมดคุกเข่าลง ก้มศีรษะพูดคำเดิมซ้ำ ๆ ต่อจากองค์รัชทายาทโดยพร้อมเพรียง

“ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรที่สาหัสมากนี่ องค์รัชทายาทหวังซีเอ่อและท่านแม่ทัพใหญ่มาช่วยได้พอดีเลย ข้าขอบใจพวกท่านมากกว่า”

อู๋เสี่ยวหวากล่าวกลั้วหัวเราะ ไม่รู้เหตุใดตนเองจึงไม่อาจมองใบหน้าหล่อเหลาคมคายที่เย็นเป็นน้ำแข็งขององค์รัชทายาทด้านข้างได้ตรง ๆ

“ข้าไม่บาดเจ็บเลยสักนิด ดังนั้นไม่เป็นไร พวกท่านทุกคนลุกขึ้นกันเถิด แคว้นซีเองก็ติดหนี้บุญคุณแคว้นเหยาเช่นกัน”

อู๋เสี่ยวหวากล่าวขอบคุณ น้อมคาราวะองค์รัชทายาทด้านข้าง ถึงแม้เขาจะพูดเช่นนี้ แต่ทหารทุกนายกลับยังคงคุกเข่าไม่ขยับ เห็นชัดว่ารอแม่ทัพใหญ่ออกคําสั่ง

“ยังไม่รีบลุกขึ้นอีก ต้องให้องค์ชายสิบร้องขอพวกเจ้างั้นหรือ!?” จงถานไถหมิงหันมาตวาดเหล่าพลทหารทั้งหมด

“รับทราบ น้อมรับพระประสงค์องค์ชายสิบพ่ะย่ะค่ะ”

“องค์ชายสิบ” หวังซีเอ่อกล่าวเสียงเบา

“พ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท”

“พระองค์ทรงเหนื่อยล้าแล้วกระมัง กระหม่อมจะพาองค์ชายสิบไปพักผ่อนที่กองทัพที่ตั้งอยู่นอกเมืองควานเหลียง รีบขึ้นม้าเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

อู๋เสี่ยวหวาเอื้อมมือไปจับมือของหวังซีเอ่อขึ้นซ้อนหลังม้าอยู่ด้านหลัง

องค์รัชทายาทหวังซีเอ่อพาอู๋เสี่วหวาย้ายไปพักที่กระโจมองกองทัพ ส่วนเด็กรับใช้ที่มากับอู๋เสี่ยวหวาก็ได้รับการปล่อยตัวและได้พามาภายหลัง

“ข้าไม่ได้เป็นอะไร สบายดีไม่ต้อง..”

เดิมอู๋เสี่ยวหวาอยากพูดคําว่าไม่ต้องกังวล ข้าสบายดีขอตัวก่อน ขณะที่กำลังจะก้าวเข้าไปในกระโจมที่พัก แต่องค์รัชทายาทก็ก้าวเท้าตามเขามาติด ๆ และโอบเอวดึงเข้าไปในอก คําพูดจึงได้ขาดช่วงไป พอเขาประคองใบหน้าข้างหนึ่งให้หันมาแล้วก้มลงจูบดูดดื่ม อู๋เสี่ยวหวาจึงตัวแข็งทื่อราวถูกสาปเป็นหินไปทั้งตัว! ลิ้นเหิมเกริมจอมอวดดีดันแยกฟันให้เปิดโดยปฏิเสธไม่ได้ง่าย ๆ เมื่อลิ้นร้อนเริ่มรุกรานกวาดเข้ามาลิ้มรส อู๋เสี่ยวหวาอดโมโหในใจไม่ได้ เขาโกรธมากเลย ใช่อยู่ที่เขาเป็นของบรรณาการแคว้น แต่ข่มเหงกันแบบนี้เลยหรือ?

“องค์รัชทายาท! ท่านจะทำอะไร! อ๊ะ! อึ้ก!”

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาพิจารณาว่าเขาโกรธหรือไม่โกรธ นัยน์ตาของอู๋เสี่ยวหวาเบิกกว้าง หางตาเหลือบมองด้านข้างด้วยความไม่สบายใจ คนพวกนั้นยังอยู่กันนะ! นี่มันน่าอับอายกว่าถูกตำหนิต่อหน้านางกำนัลข้ารับใช้เสียอีก!

ทว่านอกจากท่านแม่ทัพใหญ่แล้ว ทุกคนในที่นี้ล้วนคุกเข่าก้มหน้าลงกับพื้นตามกฎระเบียบ ไร้ผู้หาญกล้ามองพระพักตร์องค์รัชทายาท อย่างไรก็ตามอู๋เสี่ยวหวายังจับแขนองค์รัชทายาทหวังซีเอ่ออย่างลนลาน อยากผลักเขาออก

ความเจ็บแปลบตามมาด้วยความรู้สึกเป็นสุขถาโถมราวคลื่นทะเล เหมือนเป็นการลงโทษที่ต่อต้าน หวังซีเอ่อขบกัดริมฝีปากและดูดดุนลิ้นให้เสียวขึ้นสมองพร้อม ๆ กับปลุกเร้าเคล้นคลึงตามเนื้อตัวคนตัวเล็ก อู๋เสี่ยวหวายังคงดิ้นขัดขืนแม้ถูกกักอยู่ในวงแขน แต่จนแล้วจนรอด แค่สูดอากาศเข้าไปใหม่สักเฮือกก็ทำไม่ได้ ความมืดมิดโผล่ขึ้นเบื้องหน้า แค่ยืนยังยืนไม่อยู่ ครั้นอีกฝ่ายถอนริมฝีปากผละห่างในที่สุด กลับค้อมเอวลงอุ้มเขาขึ้นทางขวางแบบฉับพลัน อู๋เสี่ยวหวาแก้มแดงซ่านแม้อยากต่อว่าทุบตี

“สามหาวอาจหาญนัก! วางข้าลงนะองค์รัชทายาทหวังซีเอ่อ!” อู๋เสี่ยวหวาได้แค่เผยอปากอ้า หายใจหอบต่อว่า

“ไปอารักขาด้านนอก”

องค์รัชทายาทสั่งการหนึ่งประโยคแบบง่าย ๆ บรรดาทหารที่คุกเข่านิ่งไม่ไหวติงมาตลอดขยับตัวลุกขึ้นโดยพร้อมเพรียง ควบคุมตัวเหล่าแขกเหรื่อในงานเลี้ยงออกมา ถอยไปอารักขาด้านนอก ส่

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel