องค์ชายสิบอู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแคว้นซี

114.0K · จบแล้ว
Ainthira06 / โจวเหว่ยฟาง周伟芳
36
บท
672
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

รอยยิ้มของวังหลวงแคว้นซี คือองค์ชายสิบที่ถูกถวายตัวเป็นเครื่องบรรณาการจากแคว้นที่เรืองอำนาจอย่างแคว้นเหยา ส่งมอบมาให้สวามิภักดิ์แด่องค์รัชทายาท ‘หวังซีเอ่อ’ เพื่อหลีกเลี่ยงสงคราม แต่มิมีผู้ใดล่วงรู้ว่ารอยยิ้มของ ‘อู๋เสี่ยวหวา' นั้นมีให้องค์รัชทายาทเพียงผู้เดียวเท่านั้น ท่ามกลางวันเวลาอันแสนสงบสุข ฮ่องเต้กลับสละราชบัลลังก์ ส่งไม้ต่อยกตำแหน่งให้หวังซีเอ่อก้าวขึ้นรับหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบนับแต่ขึ้นครองราชย์ ซีเอ่อตั้งปณิธานว่าจะครองแผ่นดินโดยความชอบธรรม แต่เมื่อพรหมลิขิตให้พระชายาองค์ชายต่างแคว้นเข้ามามีอิทธิพลในการตัดสินใจต่าง ๆ จึงถูกตราหน้าข้อหาเป็นกบฏถึงขั้นประหารชีวิตโดยไร้ความเป็นธรรมในการไต่สวน ตาชั่งเมตตาธรรมอันเด็ดเดี่ยวของหวังซีเอ่อก็เริ่มเอนเอียงทันที

นิยายรักโรแมนติกนิยายจีนโบราณนิยายYaoiทหารฮ่องเต้ท่านอ๋องฮองเฮาจีนโบราณพระชายานิยายประวัติศาสตร์

บทที่ 1 บรรณาการสวามิภักดิ์ 1

วันที่ยี่สิบหกเดือนสามท้องฟ้าปลอดโปร่ง แสงอาทิตย์สาดส่องละลายหิมะยามเข้าสู่ฤดูวสันต์ หอสูงประดับกิเลนบนหลังคาอันเป็นเอกลักษณ์ของอําเภอควานเหลียง เด่นตระหง่านท่ามกลางแสงเหลืองทองแซมแดงสดสะท้อนประกายวาววับพร่างตา นกตัวน้อยน่ารักเกาะที่กิ่งไม้ ต้นหลิวใบเขียวสดดั่งหยกเนื้องามริมแม่น้ำโบกกิ่งไหว ตามสายลมใบไม้ผลิใบ ผู้คนบนถนนสัญจร ประกอบกับใกล้มีแม่น้ำไกลมีภูเขาปรากฏเป็นทัศนียภาพ ประหนึ่งภาพวาดวิจิตรศิลป์อันงดงาม

หนึ่งปีมีหนึ่งครั้ง ซึ่งก็คืองานเทศกาลอําเภอควานเหลียงที่จัดขึ้นเพื่อบูชาเทพฮวาเตี๋ยน นอกจากคึกคักอย่างยิ่งแล้วยังมีความเป็นมายาวนานถึงสามร้อยหกสิบปี

เล่ากันว่าเทพภูเขาลงมาท่องเที่ยวยังโลกมนุษย์ ครั้นเดินทางมาถึงสถานที่อันมีภูมิลักษณ์งดงามแห่งนี้ก็พบสามีภรรยาใจดีคู่หนึ่งให้ขนมเขากิน เทพภูเขากล่าวด้วยความซาบซึ้งใจว่าพวกเจ้าจะให้กําเนิดบุตรชายบุตรสาวคู่หนึ่ง ทั้งสองอยากได้ลูกมานานมาก แต่กลับไม่ท้องสักที

หลังจากเทพภูเขาจากไปก็เป็นเหมือนที่เขากล่าว ทั้งสองให้กําเนิดมังกรหงส์น่ารักสดใสหนึ่งคู่จริง ๆ

ต่อมาทั่วแคว้นทั้งหมดผู้คนเริ่มขยับขยายย้ายออกไปสร้างแผ่นดินขึ้นมาใหม่ ส่วนแคว้นเหยายังอยู่ ณ ที่แห่งนี้กระทั่งมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ภายหลังเมืองเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครรู้จักนี้จึงได้ชื่อว่าเมืองควานเหลียง นับแต่นั้นบ้านเรือนและผู้คนก็เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองพร้อมอำนาจที่ขยายกว้างกว่าที่ใดในใต้หล้า

ดังนั้นงานนี้จึงจัดขึ้นอย่างใหญ่โต เพื่อให้ชาวบ้านได้มาอธิษฐานขอพรให้ครอบครัวอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข โดยเฉพาะเมื่อแผ่นดินร่มเย็น ไม่ว่าคหบดี พ่อค้า หรือชาวนาชาวไร่ในรัศมีร้อยลี้ต่างกระตือรือร้น มากันแบบประคอง เกาะ ลาก จูงมือลูกชายพาลูกสาว ผู้คนหลั่งไหลมากันเหมือนไม่สิ้นสุดนี้ดูครึกครื้นเสียยิ่งกว่าเทศกาลโคมไฟ

“เจ้าข้าเอ๊ย! พ่อแม่พี่น้อง มาดูมาชมกัน โสมเหลาเป่ย กินแล้วสุขภาพแข็งแรง กำลังวังชาดีเลิศ ขับสารพัดพิษไม่กล้ำกราย! อายุยืนร้อยปี!”

ชายฉกรรจ์เปลือยแขนคนหนึ่ง พันผ้าไหมแดงที่คอ ชูโสมที่มีโคลนติดอยู่ขึ้นในระดับศีรษะ กล่าวโหวกเหวกเสียงดังทำให้ผู้คนเริ่มหลั่งไหลมาดูของวิเศษที่เขาอวดอ้าง

ปัง! ปัง!

“ประทัด! ดอกไม้ไฟ! เร่เข้ามาจ้า!”

พ่อค้าแผงลอยถือฆ้องไท่ผิงออกมาตีเรียกลูกค้า ดึงดูดพวกเด็ก ๆ ให้มามุงดูแล้วอ้อนพ่อกวนแม่ให้ซื้อดอกไม้ไฟ ชมปาหี่ชุดต่าง ๆ บนถนน ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาในสถานที่จัดงานวัดประหนึ่งสายน้ำ ถึงช่วงเที่ยงเสียงผู้คนดังอื้ออึง การละเล่นต่าง ๆ ประโคมเกรียวกราว ผู้คนจำนวนมากเบียดเสียดแออัดกันอยู่บนถนนกระทั่งก้าวเดินแทบไม่ได้

“นะ...นายท่าน! ช้าหน่อยขอรับ! รอข้าน้อยด้วย!”

ในกลุ่มคนที่สวมใส่เสื้อผ้าหลากสี เด็กรับใช้สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบสีน้ำตาลผู้หนึ่ง เขย่งเท้ายืดคอร้องเรียกแบบเพลียแรงเสียงแหบแห้งไปพลาง พยายามแหวกฝูงชนเบื้องหน้าที่หนาแน่นจนแม้แต่น้ำหยดเดียวก็ผ่านเข้าไปไม่ได้จนอยากจะร้องไห้งอแง ผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘นายท่าน’ นั้นอันที่จริงอายุน้อยมาก เขาสวมชุดผ้าไหมสีน้ำตาลซีดไร้ลายปัก รวบผมทั้งหมดซ่อนไว้ด้านในหมวกผ้าสีน้ำตาลเรียบง่าย แม้ว่าเจ้าตัวจะหน้าตาหมดจดหล่อเหลาสวยงามดุจหยกก็ตาม

“เสื้อหมวกเลือกคน ดังนั้นแทนที่จะพูดว่าองค์ชายสิบ ให้เรียกว่านายท่านแทน เหมือนปัญญาชนยากจนเดินทางไปเมืองหลวงให้ทันสอบมากกว่า ดูธรรมดามากจริง ๆ การปลอมแปลงสมบูรณ์แบบ”

ในขณะที่ทุกคนในที่นั้นถูกเบียดจนหน้าดำหน้าแดง เขากลับมีสีหน้าสบาย ๆ วนมาอ้อมไปด้วยใบหน้าอมยิ้มน้อย ๆ ดันเบียดตามคนอื่นจนไปยืนบนตอหินอันหนึ่ง ครอบครองชัยภูมิสูงไว้ได้ เขายกมือป้องบังแดด มองไปรอบด้าน จากนั้นจึงกระโดดลงจากเสาหินไปอีกครั้ง ตอนกลับขึ้นมามีเด็กชายสวมกางเกงเปิดก้นอยู่บนบ่าเขา ซึ่งก็คือเด็กชายที่ร้องไห้หาแม่ในฝูงชนนั้นนั่นเอง สักพักก็มีสาวชาวบ้านหน้าตื่นตระหนกมุ่งมาหาเขา จึงเอาเด็กชายส่งคืนให้หญิงนางนั้น อีกฝ่ายขอบอกขอบใจเขายกใหญ่ ก่อนอุ้มลูกเดินไปอย่างรีบเร่ง

จากนั้นชายหนุ่มก็ล้วงห่อเมล็ดสนต้มออกมาจากในอกเสื้อ กินไปพลางดูชายสูงทั้งเจ็ดแสดงพละกําลังด้วยความตื่นตาตื่นใจ คนผู้นั้นโกนผมจนเกลี้ยงเกลาเหมือนหลวงจีน ลำแขนกลมนูน แข็งแรงมาก

สิ่งที่เขาแสดงอลังการมาก มีดใบใหญ่ราวยี่สิบกว่าเล่ม มัดเชือกแน่นหนาผูกเป็นบันได กระทั่งราวจับก็ล้วนเป็นใบมีดแหลมคม ชายฉกรรจ์หยิบหัวไชเท้าหัวหนึ่งขึ้นมาฟาดฉับลงไปบนบันไดมีดเสียงดังฉับหนึ่งที หัวไชเท้าขาดเป็นสองท่อนทันตา ผู้คนพากันโยนเหรียญใส่กล่องไม้ที่เปิดอยู่ ชายกล้ามใหญ่ได้เงินไปพอสมควร พลันกุมมือคารวะ

หลังจากกล่าวเสียงดังฉะฉานขอบคุณเหล่าชาวบ้านที่ชื่นชมเสร็จก็สาวเท้าก้าวใหญ่ไปยืนขึ้นไปอยู่ด้านบนสุด! ถึงแม้เขาจะมีร่างใหญ่กํายําแต่มือเท้าคล่องแคล่ว ตอนอยู่ด้านบนยังใช้หัวแขวนตะขอทอง ลักษณะนี้แม้ไม่ถูกมีดบาดก็ตกหัวทิ่มตายคาที่ได้ ยิ่งผู้คนร้องตื่นตกใจ การเคลื่อนไหวของชายฉกรรจ์ก็ยิ่งดูอันตราย ชวนหวาดเสียวขึ้นด้วย มีเพียงแต่...

‘นายท่าน’ หนุ่มผู้นั้นที่เพียงปรบมือไม่ได้ร้องชื่นชมอะไร ในใจเขายังกล่าวว่าองครักษ์ชุดเกราะดำแคว้นซียังดูสมจริงกว่าอีก ต่อยหินแตกสลายมาแล้ว นายท่านหนุ่มยังโยนเงินแท่งหนึ่งใส่กล่องที่วางรอไว้นั้นด้วย ส่งผลให้แต่ละคนทยอยโยนเงินบ้าง เหรียญทองแดงบ้างให้เหล่าชายฉกรรจ์ พวกเขาดีใจจนอดไม่ได้กุมมือคารวะทั้งที่ยังห้อยอยู่ข้างบน

“ขอบคุณ ขอบคุณพ่อแม่พี่น้องทุกท่าน ต่อไปยังมีที่น่าชมยิ่งกว่า!!”

“นายท่าน!!”

เด็กรับใช้เหงื่อชุ่มหลังตามมาถึงในที่สุด ผู้คนยังโห่ร้องชื่นชมต่อเนื่อง ชายหนุ่มกลับตบบ่าเขา กล่าวอย่างร่าเริง

“อันเต๋อ ป่ะ พวกเราไปซื้อของต่อ”

“นายท่าน! พวกเราซื้อของมากมายแล้วนะ ท่านดูสิ ข้าเกือบจะเป็น พ่อค้าหาบเร่อยู่แล้ว!! อ้าว นายท่าน ช้าก่อนขอรับ!”

ชายหนุ่มไม่สนใจ ตนเองพุ่งไปข้างหน้าอย่างตื่นเต้น เด็กรับใช้รีบหอบของจําพวกว่าว หน้ากาก เทพภูเขา รวมทั้งขนมท้องถิ่น วิ่งไล่ตามชายหนุ่มไป บนสะพานหินรูปจันทร์เสี้ยวมีพ่อค้าขายถังหูลู่หาบใหญ่ ชายหนุ่มตรงขึ้นสะพานไปเหมือนเด็ก กู่ร้องพร้อมโบกไม้โบกมือ

“ซื้อถังหูลู่หน่อย ข้าเอาสิบหกไม้!”

“ได้เลย! คุณชาย ถังหูลู่สิบหกไม้!”

ท่ามกลางเด็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง ชายหนุ่มยืนรับถังหูลู่ทั้งหกไม้ด้วยความพึงพอใจ แล้วยื่นส่งให้เด็กรับใช้

“ขอบคุณนายท่านที่แบ่งให้ข้าน้อย ข้าอยากบ่นนายท่านอีกสักสองสามคําเสียจริง...”

เด็กรับใช้ทั้งซาบซึ้งใจที่ได้รับแบ่งของและอยากจะบ่นชุดใหญ่ใส่นายท่าน แต่ก็ต้องอ้าปากค้างไว้

“เราไปนั่งกันตรง ริมฝั่งแม่น้ำใต้สะพาน พักเหนื่อยกันเถอะ”

“อะ...อา ขอรับ นายท่าน”

สองคนนายบ่าวมายังริมฝั่งแม่น้ำ หาที่สงบที่หนึ่งนั่ง ซึ่งมองเห็นอักษรจารึก ‘สะพานฮวาซิง’ สีแดงชาดบนสะพานได้พอดี กระแสลมวสันตฤดูพัดผ่านผิวน้ำ พาให้เกิดระลอกคลื่นเล็ก ๆ ขยายตัวเป็นวงกระเพื่อมเข้าหาฝั่ง แสงสะท้อนจากผิวน้ำส่องกลับไปบนสะพาน เกิดเป็นภาพที่งดงามประหนึ่งภาพวาดหมู่บ้านริมน้ำอันตรึงตรา ที่ตรงนี้มีร้านน้ำชาแบบเปิดโล่งสำหรับให้คนนั่งพักเท้าร้านหนึ่ง เป็นที่ที่เขาทั้งสองเข้ามานั่งพัก

“ดีจังเลยนะ!” ชายหนุ่มมองเหตุการณ์และทิวทัศน์เช่นนี้แล้วอดไม่ได้ที่จะกล่าวชื่นชม

“นายท่านว่าชิ้นไหนมันน้อยบ้างขอรับ...จะกินกันหมดหรือไม่ขอรับ"

เด็กรับใช้กล่าวเสียงอ่อน แน่นอนว่าถังหูลู่คือของหวานสำหรับกินเล่นที่ดีที่สุด แต่นี่มันจะเยอะเกินไปแล้ว สีหน้าที่จะยิ้มก็ไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออกของเด็กรับใช้ถามนายท่าน

“อืม... สิบหกไม้เยอะเกินไป กินไม่หมดหรอก...”

“นายท่าน...”

เด็กรับใช้ลอบมองเจ้านายหนุ่มที่กําลังถือถังหูลู่ไว้ทั้งสองมือด้วยสีหน้าซังกะตาย

“อะ อันเต๋อ ข้าให้เจ้าเพิ่ม นี่รางวัลของเจ้า” ชายหนุ่มหยีตายิ้ม เป็นรอยยิ้มที่งดงามเสียยิ่งกว่าดอกท้อ ยื่นทั้งสามไม้ในมือขวาให้อันเต๋อ เพราะตนเองก็กินไม่หมดเช่นกัน

“อันนี้อร่อยมาก!”

“ขอบคุณนายท่านที่ให้รางวัล...”

แล้วเด็กรับใช้ก็สั่งชุดน้ำชาที่เลื่องลือของร้านมาหนึ่งกา มองดูเหมือนเป็นเครื่องเคลือบไฉนสัมผัสหยาบมือเช่นนี้ ฝีมือแย่มาก! น้ำชาก็ด้วย ไม่มีกลิ่นหอมเอาเสียเลย เด็กรับใช้มองถ้วยชาหยาบ ๆ ไร้ความวาวนั้นด้วยความไม่พอใจมาก ประกาศว่าเป็นชาชั้นดีแต่หาได้มีกลิ่นหอมไม่

‘นายท่าน’เอาสองมือรองใต้คาง นัยน์ตาดำใสแจ๋วคู่นั้นมองผู้คนบนทางเดินแบบไม่วางตา ผู้คนประคองคนแก่จูงเด็ก สามีร้องภรรยาคลอพบเห็นภาพอบอุ่นนี้ที่ในวังแคว้นซีหาเทียบเสียได้เมื่อไรกัน

“ท่านต้องการให้ในแคว้นซีของเราครึกครื้นเช่นนี้ใช่หรือไม่นายท่าน”

เพียงคำพูดประโยคเดียวทำให้ชายหนุ่มลอบยิ้มให้ เด็กรับใช้หนุ่มน้อยเองก็ส่งยิ้มตอบกลับ

“ใช่ ข้าจึงต้องเดินทางมาหาความเจริญหาใช่แสวงหาสงคราม...”

“ยังไม่ถึงเวลาที่นายท่านจะถูกส่งมอบนี่ขอรับ รอพวกเรากลับไปค่อยให้ห้องเครื่องจัดทําถังหูลู่ และให้ข้าราชบริพารใหญ่แต่งตัวเลียนแบบพ่อค้าดีหรือไม่ท่าน”

“ความคิดเจ้าเข้าท่าดี เสียแต่กลัวว่าภาพเสือใช้การไม่ได้ กลับกลายเป็นสุนัขน่ะสิ จะทำให้บางคนโมโหเปล่า ๆ”

ชายหนุ่มถอนหายใจ หันหน้ามามองเด็กรับใช้นัยน์ตาเคลือบด้วยละอองน้ำทว่ามีเสน่ห์เหลือล้น รวมถึงแพขนตาหนายาวที่กระพือขึ้นลงยามกระพริบตา พาให้หัวใจคนสั่นไหว แม้ว่านี่จะเป็นแค่การมองแบบปกติมากก็ตาม

“อะ...องค์...อ๊ะ ไม่สิ เอ่อ นายท่าน! ดื่มชาเถอะขอรับ!”

เด็กรับใช้หน้าแดงกล่าวตะกุกตะกัก “ข้ารินชาให้ท่านนะขอรับ”

“ไป๋อันโหว หรือว่าเจ้าอยากกลับแคว้นซีแล้วใช่หรือไม่ ทําไมวันนี้พูดถึงแต่แคว้นซีและเรื่องในวังตลอดเลย”

ในดวงตาชายหนุ่มแสดงความสงสัยเล็กน้อย

“จะเป็นไปได้ยังไงขอรับ!” เด็กรับใช้รีบอธิบาย “ก่อนออกมาก็พูดกันแล้วนี่ขอรับ นายท่านไปไหน อันเต๋อจื่อก็ไปนั่น ถึงโดนข้าศึกแคว้นเหยาตัดหัว บ่าวก็จะไม่เสียใจภายหลังเด็ดขาด!”

“ค่อยยังชั่วหน่อย ไม่เสียเปล่าที่ปกติข้าเอ็นดูเจ้า”

ชายหนุ่มยิ้มหน้าบานอย่างพอใจ เชื่อในคําพูดของเด็กรับใช้ เด็กรับใช้แอบถอนหายใจ พาองค์ชายสิบแคว้นซีเสด็จออกภายนอกข้ามแคว้นมา ยังไม่ถึงวันส่งมอบบรรณาการก็ออกเยือนดินแดนเสียก่อนแล้ว ไม่ให้ใจหวั่นเนื้อสั่นได้ไงไหว ถ้าสามารถกลับแคว้นไปก่อนได้ย่อมเป็นเรื่องดีมาก ดังนั้นเขาจึงคอยกระตุ้นเตือน อยู่เรื่อย ๆ

“คิด ๆ ดู พวกเราออกมากันได้สองเดือนแล้ว...”

ชายหนุ่มพูดแล้วก้มหน้าดื่มชา เมื่อครู่ยังรู้สึกว่ารสชาติไม่เลวอยู่เลย ตอนนี้กลับฝาดขมเฝื่อนหนักหน่วง ติดปลายลิ้น ชุ่มโชกเข้าไปถึงในหัวใจ

“ปานนี้ฮ่องเต้ต้องทรงกริ้วจนหน้าเขียวเป็นแน่แล้วกระมังขอรับ ที่นายท่านหลบหนีปลอมตัวออกมา”

ไม่รอเด็กรับใช้กล่าวจบ ชายหนุ่มก็พูดโดยไม่ปรึกษาใคร ซ้ำยังขมวดคิ้วแน่น