บท
ตั้งค่า

บทที่ 4 บรรณาการแคว้นซี 1

นอกเมืองควานเหลียนไกลออกไปหลายลี้ แม่น้ำยาวสุดลูกหูลูกตาส่องประกายภายใต้แสงอาทิตย์ร้อนระอุงามล้ำเกินบรรยาย บนที่ลุ่มริมฝั่งแม่น้ำตอนเหนือ ทหารหยานชุนปักหลักยืนกันอยู่นานค่อนวัน ธงของกองทัพปลิวสะบัด หอกดาบวาววับ ขบวนแถวเรียงเป็นระเบียบมีวินัยเคร่งครัด ธงผืนใหญ่ที่มีเพียงตัวอักษร ‘หวัง’ สีดำลวดลายมังกรสีแดงสะบัดรับลมมาจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

ดวงหน้าหล่อเหลาคมคาย รูปร่างสูงใหญ่ เขาอยู่บนหลังม้าพันธุ์ดี ขนสีน้ำตาลแดงเงาวับ บุรุษที่เป็นผู้นํา ศีรษะสวมมงกุฎทอง สวมเกราะสีทองเป็นประกาย ชายผ้าคลุมสีแดงพลิ้วสะบัดไหว ท่วงท่าองอาจไม่ธรรมดา บุรุษในชุดเกราะหันหน้าไปทางแม่น้ำที่ดวงตะวันลอยขึ้น ดวงตาคมกริบดุจหมาป่าคู่นั้นเหลือบขึ้นเล็กน้อย แสงแดดเหลือบทองระยิบระยับที่สะท้อนอยู่ภายในนัยน์ตาของเขา

“รายงาน! องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ!”

ไม่นานเพียงหนึ่งจิบชา บุรุษสวมเครื่องแบบทหารผู้หนึ่งควบม้าเร็วตะบึงมาตามถนนหลวงประหนึ่งลูกธนู ก่อนหยุดฝีเท้าอยู่ที่เบื้องหน้าม้าพันธุ์ดีสีน้ำตาลแดง แล้วโดดลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่วคุกเข่ารายงาน

“เรียนองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ!” ทหารองครักษ์เงยหน้ากล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “กระหม่อมตรวจสอบแล้ว องค์ชายสิบบรรณาการแคว้นซีพร้อมขันทีอันเต๋อจื่ออยู่ในเมืองควานเหลียนห่างออกไปสองร้อยลี้พ่ะย่ะค่ะ"

เขาพูดจบก็ส่งของชิ้นหนึ่งให้ด้วยสองมือ มันคือถุงหอมผ้าแพรเย็บด้ายเงินปักลายดอกอิงฮวาบานสะพรั่ง ฝีมือเย็บประณีตทั้งด้านในและด้านนอก สีสันสดใสเหมือนจริง ฝีมือประณีตชั้นเซียน เป็นงานในราชสำนักของแคว้นซี ไม่ต้องสืบก็รู้เลยว่ามันเปลี่ยนมือมาหลายครั้ง กลิ่นหอมเลือนหายไปหมดแล้ว

บุรุษในชุดเกราะทองรับถุงหอมนั้นมาจ้องมอง ก่อนกําไว้ในมือแบบฉับพลัน สีหน้าเย็นชาดุจน้ำค้างแข็งนั้นทำให้หลายคนตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า หลายเดือนแล้วที่ต้องรอคอยบรรณาการจากแคว้นซีมาส่งมอบ แต่ก็ยังมาไม่ถึงเสียทีเมื่อทวงถามก็ได้ความว่าองค์ชายสิบแคว้นซีหายตัวไป องค์รัชทายาทจึงรับช่วงต่อว่าจะออกตามหาบรรณาการแสนล้ำค่านี้ด้วยตนเอง

“ถ่ายทอดคําสั่งองค์รัชทายาท ทหารทุกนายเคลื่อนพลไปยังเมืองควานเหลียง ค้นหาองค์ชายบรรณาการ” เสียงของบุรุษในชุดเกราะหุ้มเบาทว่ามีพลัง แต่ละคําราวกับฟ้าจะถล่มลงมาได้

ปัง! ปัง! ฟิ้ว!

ฟ้าใกล้มืดค่ำลงแต่แสงสียังคงประดับสว่างจ้า หน้าประตูคฤหาสน์ของเจ้าเมืองควานเหลียง ละอองฝุ่นควันและเศษกระดาษสีแดงของประทัดเกลื่อนเต็มถนนใหญ่ ใต้เท้าเฉินผู้นี้แต่งภรรยามาแปดคนแล้ว เมื่อหน้าประตูคฤหาสน์ลั่นฆ้องดังสนั่น ชาวบ้านมารวมตัวมุงดูกันครึกครื้น ทุกคนต่างอยากเห็นว่าบุรุษรูปโฉมงดงามหน้าตาเป็นอย่างไรกัน จึงทำให้เฉินสวี่เหล่ยยอมจัดงานใหญ่โตไปรับมาเป็นภรรยาเช่นนี้

นอกจากภรรยาหลวงแล้ว อนุเหล่านั้นล้วนถูกพาเข้าทางประตูแบบดิ้นรนมากกว่าสมยอม งานครั้งนี้ไม่ได้ป่าวประกาศมากนัก ผู้คนมากมายล้อมวงมุงดูแขกเหรื่อที่มาอย่างต่อเนื่องไม่รู้จบ ใต้เท้าเฉินในฐานะเจ้าบ่าวยืนที่ประตูใหญ่ ประสานมือน้อมคํานับยิ้มแย้มต้อนรับแขกรอบด้าน แขกเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นคนร่ำรวยมีเกียรติ พ่อบ้านตระกูลเฉินรับรายการของขวัญจนมือแทบอ่อนแรงกันเลยทีเดียว ไม่เพียงเท่านั้นพ่อบ้านยังต้องตะโกนขานแต่ละรายการที่รับมาด้วย

“ท่านแม่ทัพไห่และฮูหยินไป๋ เมืองเซิงเฟิ่ง มอบชุดแพรไหมสีขาวลวดลายดอกเหมยสะพรั่งสี่ชุด ต้นไม้ปลอมหนึ่งกระถางสองต้น มีคู่มีสุขร้อยปี!"

เด็กรับใช้สองคนยกชุดแพรไหมสีขาวซึ่งโรยดอกอิงฮวากับดอกกุ้ยเหมยไว้ด้านบน วางในกล่องไม้เคลือบครั่งแดงเข้าไป ข้างหลังมีคนยกกระถางต้นไม้คู่อันหนึ่งด้วยสองมือ สามารถเห็นต้นไม้สนต้นสีทองวาววับคู่หนึ่งได้เต็มตา ขนาดใหญ่จนเกือบบังหน้าคนถือ ชาวบ้านที่มุงดูเห็นแล้วไม่มีเลยที่จะไม่ตื่นเต้นประหลาดใจ

ของชิ้นนี้ต้องจ่ายเงินสักเท่าไรกัน เฉินสวี่เหล่ยย่อมยิ้มหน้าบานต้อนรับฮูหยินไป๋จากอำเภอเซิงเฟิ่งด้วยตัวเอง หลังจากนั้นทั้งสามคนก็พากันถามไถ่สาระทุกข์สุขดิบครู่หนึ่ง ใต้เท้าเฉินก็พาท่านแม่ทัพไห่และฮูหยินไป๋เดินเข้าไปส่งถึงด้านในงาน สั่งคนรับใช้ให้การต้อนรับอย่างดี แล้วย้อนกลับไปต้อนรับแขกที่หน้าประตูต่อ

จวนใหญ่สกุลเฉินใหญ่โตเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งใต้เท้าเฉินรับราชการจวนก็ยิ่งใหญ่โตขึ้นสามเท่า เสียงโหวกเหวกหน้าประตูใหญ่ส่งไปไม่ถึงด้านหลังแม้แต่น้อย บริเวณนั้นมีจวนเล็กหลังงามหนึ่งหลัง ตกแต่งคล้ายตำหนักในราชวังหลวง เห็นชัดว่าเพื่ออวดฐานะร่ำรวย ใต้เท้าเฉินได้สร้าง ห้องต้อนรับ ศาลา สะพานน้อย ธารน้ำ โดยอ้างอิงรูปแบบจากเคหสถานของเมืองหลวงทุกอย่าง

นอกจากนี้ด้านในได้วางกำลังป้องกันแน่นหนาา ในสวนเงาไม้ร่มรื่น กิ่งก้านดอกผลิบาน ภายในมีหน่วยคุ้มกันซ่อนตัวอยู่ คนนอกนึกอยากเข้าก็เข้าไม่ได้ คนในยิ่งแล้วใหญ่อย่าคิดจะออกไปได้

ปัง!

บานประตูไม้แกะสลักละเอียดละออถูกถีบจนสั่นสะเทือน หน่วยคุ้มกันเหล่านั้นชินชาไปเสียแล้วจึงไม่มีสักคนขยับเขยื้อน มีเพียงชะโงกหน้าดูแล้วก็กลับมามีท่าทีเหมือนเดิม

“คุณชายที่แสนดีของข้า วันนี้เป็นวันมงคลของท่าน ควรเตรียมตัวให้สวยงามผุดผ่องเสียหน่อยนะ ท่านจึงจะพบปะแขกเหรื่อในงาน...”

เสียงของหญิงสูงวัยกล่าวขึ้น “ท่านแต่งงานก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลเรื่องกินอยู่มิใช่หรือเจ้าคะ”

หลังจากถูกจับตัวมาอยู่ที่นี่ได้สามชั่วยาม ใต้เท้าเฉินก็ได้อธิบายบอกคนในจวนนี้เกี่ยวกับคุณชายที่ถูกจับตัวมา ทุกคนล้วนต่างคิดว่าคุณชายท่านนี้อวดเบ่งกินแล้วไม่จ่ายที่หอเจิ้นเชียง เจอการสั่งสอนของหรงฝู่เลาเข้าไปได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงกลายเป็นสติขาด ๆ เกิน ๆ กล้าเรียกตัวเองด้วยคําสรรพนาม แทนตัวเองตลอดว่าเป็นองค์ชายสิบแคว้นซี

เป็นถึงบรรณาการส่งมอบให้องค์รัชทายาทหวังซีเอ่อ กล้าที่จะแย่งชิงขององค์รัชทายาทไม่กลัวตายหรือ? แม้ตรวจสอบพบว่าคนรับใช้ของเขาเป็นคนไร้อัณฑะ ซึ่งหากไม่เรียกว่าคนไร้อัณฑะก็เหลือแค่ขันทีในวัง ทว่าเจ้านายเป็นบ้าคนรับใช้ไม่บ้าตามไปด้วยหรือ ยากที่จะเชื่อ หลอกคนอย่างใต้เท้าเฉินไม่ได้หรอก

“ท่านดูสิ ชุดมงคลตัวนี้เป็นของจากหยานชุนเชียวนะ ขึ้นเงาสีแดงสดเหมาะกับผิวพรรณของท่านมาก เพื่อคุณชายแล้ว ท่านเจ้าเมืองเสียเงินไปมาก คุณชายเสิ่น วันข้างหน้าปรนนิบัตินายท่านดี ๆ นะเจ้าคะ”

เพราะเจ้าตัวเอาแต่ออกตัวว่าเป็นองค์ชายสิบบรรณาการขององค์รัชทายาทหวังซีเอ่อ ทุกคนจึงไม่อยากถามมาก และได้ถามเด็กรับใช้ว่าแซ่อะไร เด็กรับใช้บอกชื่อปลอมให้เรียกว่า “คุณชายเสิ่น” ไปเลย

“เหอะ! ถ้าหากดีขนาดนั้น ทำไมเจ้าไม่แต่งเองล่ะห้ะ! พูดอีกอย่างมีบุรุษที่ไหนแต่งงานเป็นเจ้าสาว?!"

“เอ๋...ไม่เห็นแปลก ท่านลืมแล้วหรือว่าเหยาชุนของเราเป็นแคว้นอิสระ ยอมรับเรื่องบุรุษแต่งงานกันได้ สตรีกับสตรีก็ด้วยเช่นกัน ท่านลืมไปแล้วหรือ?”

ประโยคนี้ของแม่นมหงทำให้อู๋เสี่ยวหวาเงียบปากหน้าเจื่อนลง ไม่ผิด เขาลืมเรื่องนี้ไปได้เช่นไรกันนะว่าขนบธรรมเนียมแคว้นเหยานั้นไม่เหมือนแคว้นซีของเขา ถึงแคว้นซีจะไม่ได้ยอมรับเรื่องบุรุษรักกับบุรุษ อิสระในการครองคู่ก็พอลดหย่อนผ่อนผันกันได้ ฉะนั้นแล้วตรงไหนไม่เหมาะสมที่บุรุษจะแต่งในชุดเจ้าสาว แต่ความรู้สึกของ “จับมือกันไปจนแก่เฒ่าฟ้าตราบฟ้าดินสลาย” นั้นแตกต่างกับการแต่งงานที่กําลังจะเกิดขึ้น

นี่มันเป็นการฝืนบังคับให้แต่งงาน แต่เพราะอู๋เสี่ยวหวาเสนอตัวเองเข้ามาเป็นผู้พิทักษ์เอง หนูตกในอวน กับดักชัด ๆ เลยต้องกลายเป็นตัวตายตัวแทน การเหยียบย่ำในศักดิ์ศรีขององค์ชายสิบที่เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ต่างแคว้น ที่หนีไม่ต้องการเป็นของบรรณาการสวามิภักดิ์ พยายามเลื่อนเวลาออกไปแต่ไม่คิดว่าจะมาอับโชคเจอที่ซวยกว่าอีก! อู๋เสี่ยวหวาอดทนไม่ไหว แย่งชุดมงคลในมือแม่นมหงมาโยนลงพื้นแล้วออกแรงฉีกชุด

“ตายแล้ว! คุณชายเสิ่น ทำลายของมงคลเช่นนี้ได้ที่ไหนกันเจ้าคะ! ท่านนึกรังเกียจเดียดฉันท์ใต้เท้าเฉินมากเพียงนี้เลยหรือ..ใต้เท้าเฉินก็รูปงาม คู่ควรเหมาะกับคุณชายเสิ่นนะเจ้าคะ”

แม่นมหงพยายามห้ามสุดกำลังพร้อมพูดโน้มน้าวไปด้วยในเวลาเดียวกัน

“บัดซบ! ใช่ที่ไหนกัน! ข้าเห็นธาตุแท้เขาต่างหาก เดรัจฉานเฒ่าในร่างมนุษย์!”

อู๋เสี่ยวหวาระเบิดอารมณ์ โมโหขึ้นมาจริง ๆ แล้ว

“แล้วก็ใต้หล้านี้มีเพียงเสด็จแม่กับเสด็จยายของข้าเท่านั้น ไม่มีใครอื่นอีกที่เหมาะจะเรียกได้ว่ารูปงาม!”

“คุณชาย หน้าตาของท่านก็เป็นสีสันเลิศล้ำของโลกมนุษย์แล้ว มามา นั่งลง ข้าจะหวีผมให้เจ้า”

“อย่าแตะต้องข้า ไสหัวไป!” อู๋เสี่ยวหวาขัดขืนกล่าวเสียงแข็ง

แม่นมหงถอนหายใจยาว คุณชายท่านนี้ดื้อรั้นถึงเพียงนี้ เห็นใกล้ถึงฤกษ์มงคลแล้วจึงร้องสั่งยามสองสามคนเข้ามา อย่างไรก็ไม่ใช่ผู้หญิง ไม่จำเป็นต้องใส่ใจธรรมเนียม

“ชายหญิงห้ามแตะต้องกัน”

“ปล่อยข้า! หยุดนะพวกสุนัขจรจัด!”

ยามที่ดูมีทักษะต่อสู้สูงสี่คนเข้ามารุมจับแขนรวบขา เอาชุดมงคลแดงผลัดเปลี่ยนให้เขา ยังหวีผมแล้วสวมเครื่องประดับหยกบนศีรษะ

“คุณชายเสิ่นช่างงดงามบาดใจเสียจริงเจ้าค่ะ”

เพื่อไม่ให้เขาซึ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วออกไปก่อเรื่องวุ่นต่อหน้าแขกเหรื่อ แม่นมหงจึงให้ยามมัดคุณชายไว้แน่น ๆ ผูกติดกับเก้าอี้ไม้สักแล้วยังยัดผ้าคลุมหน้าสีแดงในปากด้วย

“อื้อ! อ่อยอ้าอะ ! (ปล่อยข้านะ! ข้าคือองค์ชายสิบนะ!)”

แววตาเสี่ยวหวาเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองไม่พอใจอกแทบจะระเบิด จะให้แต่งงานทั้งอย่างนี้เนี่ยนะ

“เอาละ พวกเจ้าทุกคนคงเหนื่อยกันแล้ว ไปดื่มเหล้ามงคลกันเถอะ คุณชายเสิ่น เดี๋ยวสักครู่จะมีคนมาแบกท่านออกไปนะ”

แม่นมหงให้สาวใช้และยามถอยออกจากห้องทั้งหมด ส่วนนางจัดการธุระของตนเองเสร็จแล้วจึงออกไปรับรางวัล อู๋เสี่ยวหวาเหงื่อซึมเต็มหน้าผากแทบจะเอาเท้ามาเกย อยู่ ๆ ก็เจอคําสาป ‘แต่งงาน’ เสี่ยวหวาอัดอั้นคับข้องใจ โกรธจนอยากฆ่าคนเป็นครั้งแรกในชีวิต และหากวิเคราะห์ถึงท้ายสุด ที่ตนเองตกอับถึงขั้นนี้ล้วนเป็นความผิดของตนเอง

ถ้าไม่ดื้อรั้นหนีออกมาถ่วงเวลาเป็นของบรรณาการ ถ้ายอมไปง่าย ๆ ป่านนี้ชีวิตของเขาคงจะดีกว่านี้ จากแคว้นบ้านเกิดจากวังหลวงมาประสบทุกข์ยากลำบากเช่นนี้ได้เช่นไรก็ไม่รู้ หลังจากกลับแคว้นได้และถูกส่งมอบให้วังหลวงแคว้นเหยาคงจะได้

“เสด็จพ่อ...”

ความคับแค้นไม่พอใจในแต่เริ่มแรก เวลานี้แปรเปลี่ยนเป็นความคิดถึงอันบริสุทธิ์ ยิ่งอยากกลับบ้านเกิดและขอโทษพระบิดาที่ตนนั้นไม่ยอมเชื่อฟังไม่รักดี แต่ไม่ว่าอย่างไร วันนี้เขามีเพียงแต่ต้องสังหารคนชั่วด้วยมือตัวเอง! ตอนนี้คิดถึงบิดาไปก็เปล่าประโยชน์ พวกเขาอยู่ห่างกันไกลนัก

จริง ๆ เสี่ยวหวาคิดว่าสามารถช่วยตัวเองได้ ถึงแม้ไม่เคยฆ่าคนเลยก็ตาม กำลังทหารในบัญชาการแม่ทัพเปียวนี้ทรงอานุภาพประดุจอสนีบาตล้อมจวนหลวงใหญ่ไว้ชนิดแม้แต่น้ำหยดเดียวก็เข้าไปไม่ได้ ทุกคนในจวนหลวงใหญ่ว่าการเงียบสงบ เมาหัวราน้ำกันถ้วนหน้า

ชุนหลี่และยงเจิ้งของหอเจิ้นเชียงถูกท่านแม่ทัพใหญ่ ‘จงถานไถหมิง’ ภายใต้บัญชาการขององค์รัชทายาท ‘หวังซีเอ่อ’ ดึงคอเสื้อโยนขึ้นบนขั้นบันไดหน้าประตูใหญ่ของที่ว่าการอำเภอ เขาทั้งคู่ตกใจจนหน้าไม่มีสีมานานแล้วเหงื่อไหลพลั่กแทบจะคลานกับพื้นไปเคาะประตูบานใหญ่สีแดงเข้มของที่ว่าการอำเภอ ซ้ำยังร้องตะโกนโหวกเหวกเหมือนจะถูกเชือด

“ใต้เท้าเฉิน! ท่านเจ้าเมือง! ระ...รีบเปิดประตูให้ข้าน้อยด้วยขอรับ!"

ยงเจิ้งและชุนหลี่ตัวสั่นงันงก สองเจ้าหน้าที่ศาลาว่าการหลับอุตุ อะไรก็ไม่ได้ยิน ส่วนเจ้านายของทาสสองคนนี้เจ้าของหอเจิ้นเชียงนั้นกําลังเพลิดเพลินกับนางระบำในงานเลี้ยงแต่งงานด้วยกันกับเฉินสวี่เหล่ย แทบจะไม่ได้ยินเสียงอื่นใดจากด้านนอกกำแพงสูง ทั้งสองหนุ่มจนปัญญาได้แต่คุกเข่าราบกับพื้น มองท่านแม่ทัพใหญ่ด้วยสายตาขอความเห็นใจ

“ดะ...ด้านในไม่มีคนตอบขอรับ..”

ปึ้ง! ตึง! ตึง!!

สองคนหนาวสั่นสะท้านไปทั้งตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยกมือกุมหูโดยจิตใต้สำนึก เมื่อหันหน้ากลับไปมอง จึงเห็นองค์รัชทายาทรูปร่างสูงใหญ่เด่นสง่าคนนั้นกำลังถือตะบอง ทันใดนั้นฝุ่นบนพื้นยังสั่นสะเทือนตามเสียงกลอง เมื่อกลองดัง ข้าราชการต้องเปิดศาลเปิดจวนออกมา แต่เสียงกลองในเวลานี้ที่หนักแน่นทรงพลังทะลุทะลวงกำแพงสูงไปได้ไม่ยาก เล่นเอาหูของชุนหลี่และยงเจิ้งเกือบพิการ เสียงกลองอึกทึกกึกก้องปะทุฟ้าคําราม ปลุกเจ้าหน้าที่ศาลาว่าการที่เมาแอ๋ตื่นได้ สองคนในนั้นวิ่งมาเปิดประตูพร้อมกับตวาดด่าไม่สนลูกใคร

“บิดามารดามันผู้ใดตายห่าตายโหง! ไม่แหกตาดูเรอะว่านี่มันเพลาไหนยังจะมาตีกลอง?!"

ประตูใหญ่จวนที่ว่าการเพิ่งแง้มได้เสี้ยวหนึ่งก็มีคนล้มคะมำเข้าไป เป็นชุนหลี่และยงเจิ่งที่สติแตก

“พวกเจ้าทำบ้าอะไร!”

เจ้าหน้าที่ศาลาว่าการที่กลิ่นเหล้าคลุ้งไปทั้งตัวมองชุนหลี่สลับกับยงเจิ้งอย่างงุนงง ทันใดนั้นประตูบานใหญ่ถูกเปิดเขย่าสั่นเสียงดังครึก บุรุษหน้าตาหล่อเหลาคมคายคนหนึ่งสาวเท้าก้าวใหญ่เข้ามา มือข้างหนึ่งของเขาถือป้ายสั่งการตราพยัคฆ์ทองคํา

เจ้าหน้าที่ศาลาว่าการยังสะลึมสะลือ เบิกตามองตราสั่งทัพสีทองอร่ามนั้นให้ดีอีกที แล้วตาก็ลุกวาวหน้าซีดเผือด รีบคุกเข่าลงอย่างแรงทั้งสองเนื้อตัวสั่นเทาไม่ต่างกับทาสทั้งสอง เบื้องหน้าบุรุษผู้มีลักษณะน่าเกรงขามคนนี้คือ

“ผะ...ผู้น้อย คารวะท่านแม่ทัพใหญ่จง!”

เจ้าหน้าที่ศาลาว่าการสองคนหมอบอยู่เบื้องล่างร่างสูงใหญ่ตระหง่านราวรูปปั้นศิลานั้น เนื้อตัวสั่นไม่หยุด แล้วยิ่งตกใจหนักจนแทบตายคาที่เมื่อเจอองค์รัชทายาท

“อะ..องค์รัชทายาทหวังซีเอ่อ!!”

“เจ้าเมืองเฉินอยู่ไหน”

น้ำเสียงทุ้มต่ำกลิ้งผ่านเหนือศีรษะของพวกเขาประหนึ่งฟ้าคำรน ส่งผลให้พวกเขาฟันกระทบกันไม่หยุด ได้แค่เพียงก้มต่ำเอานิ้วที่สั่นพับ ๆ ชี้ไปที่ประตูแดงที่อยู่ด้านข้างโถงใหญ่ของจวนหลวงใหญ่ว่าการอำเภอ

“เชิญด้านในเลยขอรับท่านแม่ทัพใหญ่ ชะ...เชิญเสด็จพ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท”

แม่ทัพใหญ่หนุ่มมองประตูใหญ่ที่เห็นได้ชัดว่าสร้างเพิ่มเติมบานนั้น ประตูบานนี้นําตรงไปยังสวนดอกไม้ด้านหลังของจวนสกุลเฉิน

“เสด็จพ่ะย่ะค่ะ”

กล่าวคือผ่านประตูบานนี้ไปก็ไม่ใช่สถานที่ราชการศาลาว่าการอำเภอควานเหลียงอีก เขาเองก็ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายด้วย แม่ทัพใหญ่หนุ่มเดินผ่านพวกเจ้าหน้าที่ศาลาว่าการที่กดหน้าผากแตะพื้นไม่กล้าเงยหน้าไป ยกเท้าขึ้นถีบประตูบานใหญ่!

เพื่อเปิดทางให้องค์รัชทายาท เกินความคาดหมาย ประตูลงกลอนหนาหนักแต่กลับปริแตก ประตูทั้งสองบานยังลอยลิ่วไปด้านหลัง กระแทกผนังที่แกะสลักลวดลายอักษร ‘อยู่เย็นเป็นสุขปกครองด้วยความเป็นธรรม’ เสียงดังยิ่งใหญ่ สาวใช้และบ่าวรับใช้ที่เดินไปเดินมาอยู่ด้านในต่างมองตาถลน

มันผู้ใดอาจหาญกล้าพังประตูใหญ่ตระกูลเฉิน หลังจากนั้นผู้คนก็ร้องตกอกตกใจ บางคนก็วิ่งหนีหัวซุกหัวซุน สวนในอุทยานโดนเหยียบย่ำเละเป็นโจ๊ก ยามคุ้มกันของจวนสกุลเฉินย่อมต้องออกไปตรวจดูสาเหตุ แต่ถูกนายทหารถืออาวุธครบมือเตะกลับเข้าจวน ทั้งสองฝ่ายไม่พูดพร่ำ เห็นหน้าก็ตะลุมบอนกันเละเทะ เสียงเอะอะเจี๊ยวจ๊าวแบบผิดปกติจากสวนด้านหลังนี้รบกวนใต้เท้าเฉินสวี่เหล่ยที่กําลังตั้งใจไหว้ฟ้าดินกับ “อนุแปด”

เป็นการไหว้ฟ้าดินที่ประหลาด เจ้าสาวถูกพวกยามคุ้มกันแบกมาทำพิธีโดยมัดเชือกแดงตัวติดกับเก้าอี้ไม้ เคลื่อนไหวเองไม่ได้ ศีรษะและใบหน้าคลุมด้วยผ้าสีแดงผืนใหญ่ พิธียังไม่จบด้วยซ้ำก็มียามคุ้มกันเลือดท่วมตัวถูกจับโยนเข้ามา แขกเหรื่อตื่นตกใจพากันหลบหลีกร้องเสียงหลงตกใจ

“เกิดเหตุอันใดขึ้น! รีบรายงานข้ามา!”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel