บทที่ 6 รับเลย
รับเลย
"แกเอาอีกแล้วนะ"
เสียงเข้มน่าเกรงขามดังขึ้นภายในห้องทำงานที่เงียบสงบ ดึงความสนใจของชายหนุ่มร่างสูงที่กำลังนั่งตรวจเอกสารอยู่ให้ต้องหยุดการกระทำทั้งหมดลง ก่อนที่เขาจะหันกลับมาสบสายตากับแขกผู้มาเยือนใหม่ ที่ตัวชายหนุ่มก็รู้ดีว่าหากเกิดเหตุการณ์อะไรแบบนี้ขึ้น แล้วตัวเขาจะต้องพบเจอกับอะไร
"ช่วยไม่ได้ ผมไม่ได้บังคับให้เธอลาออกเสียหน่อย"
มาร์คพูดทั้งที่ทั้งที่กลับมาสนใจยังกองเอกสารในแฟ้มมากมายนั้นต่อ สร้างความรู้สึกหงุดหงิดใจให้ผู้มาเยือนได้ขึ้นมาเล็กน้อย อีกฝ่ายมีใบหน้าหล่อเหลาคมคาย แม้ว่าอายุจะเยอะแล้วแต่กลับยังดูดีและเด็กกว่าวัยที่แท้จริง นั่นก็คือ แอล พ่อของชายหนุ่มอย่างมาร์คนั่นเอง
เขาถอนใจยาวๆออกมาอย่างเบื่อหน่าย เพราะว่าตลอดไตรมาสนี้บริษัทต้องเสียเวลาหาเลขาใหม่ให้แก่เขามาแล้วหลายคน เดือนนี้ก็ลาออกไปแล้วคนหนึ่ง
"แกเลิกเอาเรื่องส่วนตัวมายุ่งกับเรื่องงานได้ไหม ฉันรู้ว่าแกจัดการปัญหาได้ แต่ว่าช่วยห่วงชื่อเสียงของแกและบริษัทหน่อย"
"ผมก็ไม่ได้เอาเรื่องส่วนตัวมายุ่งกับเรื่องงานนะครับ หล่อนเองต่างหากที่แยกแยะเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวไม่ได้"
ชายหนุ่มผู้เป็นพ่อที่ได้ฟังยังถึงกับคิ้วกระตุกในความดื้อด้านเอาแต่ใจของอีกคนไม่รู้ได้ใครมา เพราะพรีมายามัวแต่ให้ท้ายแบบนี้ไง โตมาเลยกลายเป็นคนแบบนี้
แอลเอามือล้วงกระเป๋าส่งสายตากดดันให้แก่อีกฝ่าย แต่ทว่ามาร์คนั้นกลับไม่ได้สนใจหรือรู้สึกสะทกสะท้านอะไรเลย จนในที่สุดก็เป็นฝ่ายของแอลเองที่ทนไม่ไหวกับความขุ่นมัวในบรรยากาศจนต้องหาทางสรุปเรื่องให้แทน
"งั้นแกจะเอายังไงต่อ?"
"ผมหาเลขามาได้แล้ว เธอจะมาเริ่มงานพรุ่งนี้"
ชายหนุ่มวัยกลางคนหรี่ตามองอีกฝ่ายทันที ที่แท้ก็เป็นสิ่งที่มาร์ควางแผนเอาไว้แล้ว เพราะตลอดมาตัวแอลเป็นคนจัดหาเลขามาให้เพราะไม่อยากให้มาร์คทำตัวเหลาะแหละ
แต่ทว่าสุดท้ายมาร์คก็ยังหาทางให้ตัวเองจนได้ ผู้เป็นพ่อได้ยินถึงกับยกมือขึ้นมานวดที่บริเวณสันจมูกหนึ่งทีเพราะไม่คิดว่าตัวเองจะเสียรู้ให้แก่อีกฝ่ายเสียแล้ว
"ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นล่ะก็… เราเห็นดีกันแน่"
ถ้อยคำถูกเปล่งออกมา มาร์ครู้ดีว่านี่ไม่ใช่เพียงแค่คำเตือน หากแต่เป็นการข่มขู่ด้วย กระนั้นชายหนุ่มกลับทำแค่เพียงเลิกคิ้วขึ้นแล้วพยักหน้ารับโดยที่ตนเองยังไม่ได้เงยหน้าออกมาจากกองเอกสารเลยแม้แต่น้อย
แอลถอนหายใจออกมาอีกครั้ง รู้สึกไม่ชอบใจเจ้าลูกชายคนนี้เอาเสียเลย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็สายเกินกว่าที่จะแก้ไขอะไรได้แล้ว ในตอนนี้ก็มีแต่ปล่อยให้มันเป็นไปอย่างนั้นก่อน ร่างสูงใหญ่เอ่ยออกมา
"ดี" ก่อนที่เขาจะหันหลังกลับแล้วสาวเท้าออกไป
เมื่อลับสายตาจากอีกฝ่ายแล้วมาร์คจึงค่อยๆละสายตาจากกองเอกสาร ใบหน้าคมคายยิ้มออกมาเล็กๆอย่างมีเลศนัยก่อนจะหันไปคว้าเอากระดาษแผ่นหนึ่งที่มีข้อมูลของผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นมาดู
ปลายนิ้วเรียวลูบไล้ไปตามตัวหนังสือแต่ละตัวอย่างช้าๆราวกับกำลังซึมทราบบางอย่างจากมันได้ เขาไล้เลื้อยเรื่อยมาจนถึงรูป รูปหนึ่งที่แนบมากับเอกสาร คนในรูปเป็นหญิงสาวหน้าตาสวยงาม
แม้จะไม่ได้สวยถึงขั้นดารานางแบบอย่างที่เขาชอบ แต่เธอคนนี้กลับมีเสน่ห์มากมายดึงดูดให้มาร์คไม่สามารถเอาเธอออกไปจากหัวของเขาได้เลย
" คนนี้แล้วกัน "
ชายหนุ่มเปรยขึ้นมาเบาๆพร้อมรอยยิ้มที่จุดขึ้นบนใบหน้า
โทรศัพท์
…
วันต่อมาเขาเรียกคนในรูปที่เขาเลือกมาสัมภาษณ์
"สวัสดีดีค่ะ คุณนิราศินีหรือเปล่าคะ ?
" ใช่ค่ะ "
" โทรจากบริษัทXXXนะคะพรุ่งนี้สะดวกมาสัมภาษณ์งานมั้ยคะ "
" สะ สะดวกค่ะ ได้เลยค่ะ "
วางสาย
"เยส !! ได้สัมภาษณ์งานบริษัทพี่มาร์คแล้วเย้ แต่เขาจะรับฉันมั้ยนะ เราจะได้เจอกันมั้ยเนี่ย "เธอพร่ำบ่นดีใจกับตัวเองเพียงลำพัง
ก่อนหน้านี้หญิงสาวเมื่อเห็นจากหน้าข่าวในโซเชียลของการรับตำแหน่งประธานคนใหม่ของมาร์ค และสืบรู้มาว่าบริษัทของเขาเปิดรับสมัครพนักงาน เป็นเหตุให้หญิงสาว รีบมาร่อนใบสมัครทิ้งเอาไว้ เพื่อจะได้ไกล้ชิดกับมาร์คอีก
บริษัทของมาร์ค
ตึกสูงใหญ่ใจกลางเมืองมีหลายชั้นหญิงสาวมาถึงยกใบหน้าสวยมองด้วยความตื่นเต้น ไม่ใช่เพราะได้มาที่บริษัทใหญ่ๆหรอกเธอตื่นเต้นที่จะได้เจอคนที่เธอแอบรักแอบชอบเมื่อ4 ปีที่แล้ว
หญิงสาวมาในชุดกระโปรงทรงเอและเสื้อสูทสีดำรองเท้าคัดชูส้นสูง 2 นิ้ว ด้วยท่าทีที่ดูเรียบร้อยสวมแว่นตาหนาเตอะ ซึ่งแน่นอนไม่มีใครจำเธอได้หรอกว่า ตอนกลางเธอเป็นสาวสวยสุดเซ็กซี่ที่ทำงาน เต้นโพลแดนซ์ให้คนอื่นดู
ด้วยความที่ชอบศิลปะของมันเธอจึงฝึกฝนมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย จวบจนสามารถเอามาประกอบวิชาชีพเพื่อหาเงินได้
โปรดติดตามตอนต่อไป...รี๊ดขา..อ่านจบขอหัวใจขอคอมเมนท์ให้ไรท์ ด้วยนะคะ
