18 ปลดปล่อย
นคินทร์เงยหน้าขึ้นไปสบตาคนพูด เป็นอย่างที่คิด ใบหน้าสวยหม่นลง ดวงตาแดงก่ำพร้อมหยาดน้ำตาไหลออกมาอาบแก้ม หญิงสาวพยายามก้มหน้าหลบ ไม่ให้อีกฝ่ายเห็นความอ่อนแอของตนในยามนี้
“พระเจ้า ผมขอโทษที่ถามคุณแบบนั้น คือ..ผมเสียใจด้วยครับ”
คนรู้สึกผิดกล่าวขอโทษ สงสารหญิงสาวจับใจ สัมผัสได้ถึงความเศร้าเสียใจของเธอ
“ไม่เป็นอะไรคะ เรื่องเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน เลยยังทำใจไม่ได้ คงต้องใช้เวลาอีกสักพักเดี๋ยวมันก็จะดีขึ้น”
แพรไหมบอกอย่างคนที่เข้าใจความสูญเสีย เรื่องนี้เพียงต้องใช้เวลาในการทำใจ หญิงสาวตรงหน้าเข้มแข็งกว่าที่คิด ถึงภายนอกจะดูบอบบางอ่อนแอ
ภายในกับเข้มแข็ง มีความเป็นนักสู้ รู้ว่าปัญหาเกิดขึ้นที่ไหน ทั้งยังรู้ว่าเวลาจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดนี้ได้ ช่างน่าชื่นชมจริง ๆ เขาคิด
“ถ้าคุณไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรนะผมเข้าใจ”
นคินทร์บอกอย่างสำนึกผิด และไม่อยากเป็นคนตอกย้ำความเจ็บปวดนี้อีก
“ไม่แน่ว่ามันอาจจะดีขึ้น ถ้าได้เล่าให้ใครสักคนฟังตอนนี้”
“ผมยินดีเป็นคนนั้น หากคุณต้องการ”
ใบหน้าหล่อยกยิ้มส่งกำลังใจให้หญิงสาวตรงหน้า ที่พยายามเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุดก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องของตัวเอง
“คุณพ่อคือทุกอย่างในชีวิตของฉัน มันทำใจยากมาก ตั้งแต่เสียแม่ไป ฉันก็อยู่กับพ่อมาตลอด เรามีกันเพียงสองคนพ่อลูก อยู่ด้วยกันไม่เคยห่างกันเลยตั้งแต่จำความได้”
“คุณคงสนิทกับท่านมาก”
“มากค่ะ คุณพ่อเป็นเหมือนเพื่อนอีกคนเลย เราสามารถคุยกันได้ทุกเรื่อง คุณพ่อเป็นที่ปรึกษาที่ดีมาก ขนาดไปนอนบ้านเพื่อนสนิท ยังตามไปนอนด้วยเลย
ท่านบอกเหตุผลว่า อยากทำความรู้จักเพื่อนฉันด้วย แรก ๆ ก็รู้สึกเกรงใจพ่อเพื่อนมาก ที่พ่อตามไปแต่ต่อมาถึงเข้าใจว่าท่านเป็นห่วงและพ่อของฉันก็เข้ากับพ่อของเพื่อนได้ดีมาก เราเหมือนครอบครัวเดียวกันเลยตอนนี้”
พูดไปยิ้มไปนคินทร์สัมผัสได้ถึงความสุข ทุกครั้งที่หญิงสาวเอ่ยถึงบิดา
“แล้วพี่น้องของคุณล่ะ”
“ฉันเป็นลูกคนเดียวค่ะ”
พูดไปน้ำตาเจ้ากำก็ไหลตามออกมาอีก นี่เขาถามอะไรผิดไปหรือเปล่าเนี่ย
“คำถามของผมทำให้คุณต้องเสียน้ำตาอีกแล้ว”
“เปล่าค่ะ แต่ไอ้น้ำตาพวกเนี่ยมันชอบไหลออกมาเอง ฉันหยุดมันไม่ได้”
แพรไหมหัวเราะบอกด้วยสีหน้ามีรอยยิ้ม ทั้งที่ดวงตายังมีน้ำตาไหลออกมาอยู่
-ช่างน่าเอ็นดูเสียจริง- เขาคิดในใจ
“แล้วหลังจากนี้คุณจะทำยังไงต่อ”
“กลับบ้านค่ะ กลับไปเรียนต่อให้จบ จากนั้นค่อยคิดอีกทีว่าจะเอายังไง”
“ผมคิดว่าคุณอยู่ที่นี่เสียอีก”
“ฉันอยู่ที่ไทยค่ะ มาที่นี่ก็เพราะคุณพ่อมาเที่ยวหาลุง ไม่คิดว่าท่านจะไม่ได้กลับบ้านไปพร้อมกัน”
หลังได้ระบายออก ก็รู้สึกดีขึ้นราวกับความเจ็บปวดถูกแบ่งเบาออกไปได้จริง ๆ แพรไหมรู้สึกสบายใจมากขึ้น
ทั้งสองพูดคุยกันถูกคอ บทสนทนาคลายทุกข์ของคนเศร้าสองคนดำเนินไปเรื่อย ๆ พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวในชีวิต จนรู้ว่าหญิงสาวตรงหน้ารุ่นราวคาวเดียวกับน้องสาวทั้งยังเรียนแบบเดียวกัน ยิ่งทำให้คุยกันถูกคอไปอีก
แพรไหมเล่าเรื่องของเพื่อน ๆ ให้เขาฟัง พอได้เล่าวีรกรรมของเพื่อนก็พอทำให้มีรอยยิ้มได้ตามมาด้วยเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข ยามนึกถึงหน้าเพื่อนรักทั้งสามคน
ส่วนนคินทร์ก็เล่าวีรกรรมของตัวเองบ้าง ของน้องสาวบ้างให้หญิงสาวฟัง ทั้งสองพูดคุยกันถูกคออย่างสนุกสนาน เวลาล่วงเลยไปถึงช่วงที่ร้านต้องปิดทั้งคู่ไม่มีวี่แววจะลุกกลับ
จนพนักงานต้องมาขอร้องเชิญให้ทั้งสองออกจากร้านเพราะร้านจะต้องปิดแล้ว และตอนนี้ทั้งคู่เมามากแล้ว โดยเฉพาะแพรไหมที่ตอนนี้นอนฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะเป็นที่เรียบร้อย
เธอรู้สึกหนักหัวจนเขาต้องเข้ามาประคองพาร่างเล็กเดินออกมานอกร้าน เพราะในร้านเหลือเพียงเธอและเขาเท่านั้น
“คุณกลับเองไหวใช่มั้ย”
นคินทร์ถามด้วยความเป็นห่วง ดูท่าทางแล้วเธอไม่น่าจะกลับเองไหว
“คิดว่าไหวค่ะ สบายมากไม่ต้องห่วงแค่นี้จิ๊บ ๆ”
บอกพร้อมพยายามเดินไปด้านหน้า แต่กลับกลายเป็นเดินถอยหลังไปเรื่อย ๆ ซะอย่างนั้น
“โอ้วว ๆ ๆ เดี๋ยว ๆ ๆ คุณ... จากที่เห็นผมคิดว่าคุณกลับเองคงไม่ไหว ถ้างั้นผมไปส่งคุณก็แล้วกัน”
กลับเองไม่ไหวแน่ ๆ แค่ยืนตรงยังทำไม่ได้ คนเมาถูกประคองไปยังรถ พอขึ้นรถได้ก็หลับทันที
“คุณตื่นก่อน บอกก่อนว่าคุณพักอยู่ที่ไหน”
คนเมาที่หลับไป ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นเสียแล้ว จึงทำได้เพียงพาเธอไปยังห้องพักของตัวเองแทน
“ไปที่ถนน...ครับ”
“ครับ”
คนขับรับคำก่อนจะพาทั้งสองมาส่งยังจุดหมาย
