บทที่ 2 - พันธะต้องห้าม
หลี่หลินตื่นขึ้นพร้อมกับหัวใจที่เต้นระรัว ร่างกายของนางรู้สึกหนักอึ้งราวกับผ่านการเดินทางที่ยาวนาน เสียงลมที่พัดผ่านหน้าต่างปลุกนางให้ตื่นจากความฝันอันแปลกประหลาด
“เหวินหลง...” นางพึมพำชื่อของชายหนุ่มออกมาอย่างไม่รู้ตัว ความฝันเมื่อคืนชัดเจนเกินกว่าจะเป็นเพียงจินตนาการ
หลี่หลินลุกขึ้นจากเตียง สายตาจับจ้องไปยังภาพวาดบนผืนผ้าไหมที่ยังวาดไม่เสร็จ ภาพชายหนุ่มในชุดสีดำประดับลายเกลียวเงายืนอยู่ใต้แสงจันทร์
“เจ้าเป็นใครกันแน่...” นางเอ่ยออกมา เสียงเบาราวกับกลัวว่ามันจะทำลายความเงียบของห้อง
นางนั่งลงหน้าผืนผ้าไหม มือเรียวหยิบพู่กันขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกที่ซับซ้อน ความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ว่าคืออะไร
แต่ทุกครั้งที่พู่กันเคลื่อนไหว ภาพของเขาก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
หลายวันต่อมา
หลี่หลินใช้เวลาส่วนใหญ่หมกมุ่นอยู่กับการวาดภาพ ความคิดของนางจดจ่ออยู่กับเหวินหลง และคำพูดที่เขาบอกว่านางเป็นผู้เดียวที่สามารถมองเห็นเขาได้
ภาพวาดหลายภาพกองซ้อนกันในห้อง บ้างเป็นภาพเขายืนอยู่ใต้แสงจันทร์ บ้างเป็นภาพเขานั่งอยู่ท่ามกลางเงา แต่นางยังคงรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่ขาดหายไป
วันหนึ่ง ในขณะที่นางกำลังนั่งวาดภาพอยู่ เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้นางสะดุ้งเล็กน้อย
“คุณหนูหลี่หลิน” เสียงของหญิงรับใช้เอ่ยขึ้นเบา ๆ “มีแขกมาหาท่านเจ้าค่ะ”
หลี่หลินเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ นางไม่ค่อยมีแขกมาเยี่ยมที่นี่นอกจากพ่อค้าผ้าไหมที่มารับภาพวาดไปขายในเมืองหลวง
“ให้เขาเข้ามาได้” นางตอบ ก่อนจะจัดระเบียบผืนผ้าไหมที่วางอยู่บนโต๊ะให้เรียบร้อย
ประตูห้องถูกเปิดออก หญิงรับใช้ค้อมศีรษะเล็กน้อยก่อนจะหลีกทางให้ชายหนุ่มร่างสูงผู้หนึ่งก้าวเข้ามา
“ขออภัยที่มารบกวนโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า ข้าคือ หลิวจิ้ง ผู้ดูแลหอศิลป์แห่งเมืองหลวง” เขาเอ่ยเสียงนุ่มสุภาพ ใบหน้าหล่อเหลาและท่าทางสงบเยือกเย็นทำให้หลี่หลินรู้สึกประทับใจเล็กน้อย
“ยินดีที่ได้พบเจ้า หลิวจิ้ง” นางกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มบาง ๆ “เหตุใดท่านถึงมาพบข้าในที่ห่างไกลเช่นนี้”
“ข้าได้ยินกิตติศัพท์ของท่านมานานแล้ว ว่าท่านมีฝีมือที่หาได้ยากยิ่ง จึงปรารถนาจะมาชมผลงานของท่านด้วยตาตนเอง” หลิวจิ้งกล่าวด้วยความจริงใจ สายตาของเขากวาดมองไปรอบ ๆ ห้องที่เต็มไปด้วยภาพวาด
“ท่านสนใจภาพวาดของข้าหรือ?” หลี่หลินถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจ
“ใช่ แต่ข้ากลับพบว่ามีบางอย่างที่น่าสนใจกว่าเสียอีก” หลิวจิ้งกล่าวพร้อมกับชี้ไปยังภาพวาดที่นางเพิ่งวาดเสร็จเมื่อวันก่อน
ภาพนั้นเป็นภาพของเหวินหลง ยืนอยู่ท่ามกลางเงาที่ปกคลุมด้วยแสงจันทร์
“ภาพนี้...มันดูแปลกประหลาดอย่างน่าหลงใหล ท่านได้แรงบันดาลใจจากที่ใดหรือ?” หลิวจิ้งถามด้วยความสนใจ
หลี่หลินลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “เป็นเพียงภาพที่ปรากฏในความฝันของข้าเท่านั้น... อาจจะเป็นจินตนาการที่ไร้สาระก็เป็นได้”
“จินตนาการที่ไร้สาระหรือ...” หลิวจิ้งยิ้มบาง ๆ “บางครั้งสิ่งที่เราคิดว่าไร้สาระอาจมีความหมายที่ลึกซึ้งกว่าที่เราคิด”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร?” หลี่หลินถามด้วยความสงสัย
“โลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจเข้าใจ หากท่านสามารถมองเห็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดมองเห็นได้ ท่านก็คงไม่ใช่คนธรรมดา”
คำพูดนั้นทำให้หลี่หลินรู้สึกหนาวเย็นไปทั้งร่าง นางพยายามจะตีความคำพูดของเขา แต่ก็ไม่อาจเข้าใจได้ทั้งหมด
“ท่านกล่าวเกินไปแล้ว ข้าเป็นเพียงจิตรกรธรรมดา” นางกล่าวเสียงเบา
“บางทีอาจจะเป็นเช่นนั้น...” หลิวจิ้งกล่าวพร้อมกับยิ้มอย่างเป็นมิตร “ข้าเพียงแค่มาเพื่อชมผลงานของท่าน หากท่านไม่รังเกียจ ข้าปรารถนาจะซื้อภาพวาดนี้ไป”
หลี่หลินมองภาพวาดที่เขาชี้ “ภาพนี้หรือ...”
“ใช่ ข้ารู้สึกว่ามันมีพลังบางอย่างที่ดึงดูดใจ ข้าอยากจะเก็บรักษามันไว้”
“ถ้าเช่นนั้น ท่านสามารถนำมันไปได้ ข้าไม่คิดเงิน” นางตอบด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ
“ท่านใจดีเกินไปแล้ว” หลิวจิ้งกล่าวก่อนจะโค้งคำนับอย่างสุภาพ
“หวังว่าเราจะได้พบกันอีกในวันหนึ่ง”
“เช่นกัน...” หลี่หลินตอบพร้อมกับรอยยิ้มบาง ๆ
เมื่อหลิวจิ้งจากไป นางกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป บางสิ่งที่นางไม่อาจอธิบายได้
