บท
ตั้งค่า

บทที่ 7

ภูบดินทร์เห็นยิ้มกว้างที่มีความสุขของรินนลีอย่างเต็มตาเป็นครั้งแรก ชายหนุ่มนิ่งมองรอยยิ้มนั้นราวกับว่าไม่อยากให้ภาพนั้นหายไปไหน จนไม่ได้ฟังคำพูดของรินนลีเลย

“นาย นายๆ ” รินนลีกางมือมาโบกไปมาใกล้ๆ ที่หน้าของภูบดินทร์ ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกตัวขึ้นมาแล้วรีบกลบเกลื่อนพูดว่า

“คุณกินข้าวให้อิ่มก่อน แล้วผมจะพาคุณไปส่งที่บ้านเอง” เขาตัดบทสั้นๆ แล้วเดินออกไปด้านนอกทันที ปล่อยให้รินนลีกินข้าวอย่างมีความสุขต่อไปเพียงลำพัง

หลังจากปล่อยให้รินนลีกินข้าวเช้าให้อิ่มเรียบร้อย ภูบดินทร์ก็เตรียมที่จะนำเธอไปส่งที่บ้านตามที่พูดไว้ สิ่งที่นักข่าวสาวประหลาดใจมากที่สุดก็คือ วิธีการที่จะพาตัวเธอออกจากสถานที่แห่งนี้ช่างดูลึกลับนัก

ภูบดินทร์เอาผ้ามาปิดตาเธอไว้และค่อยๆ พาเดินออกมา โดยไม่ให้รินนลีได้มีโอกาสเห็นเลยว่าจะต้องเดินเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาหรือไปทางไหนบ้าง มีเพียงแต่เสียงกระซิบที่หูคอยบอกทางให้ อีกทั้งกำชับแกมขอร้องว่าอย่าเอาผ้าออกจนกว่าจะอนุญาต

เมื่อรถแล่นไปได้สักพัก รินนลีจึงเปิดปากถามชายหนุ่มเป็นคำแรกว่า

“คุณจะพาฉันไปไหน”

“ผมก็จะพาคุณไปส่งบ้าน ตามที่คุณต้องการยังไงล่ะ”

“จริงๆ นะ นายไม่ได้หลอกฉันแน่นะ”

“อืม”

รินนลีนั่งเงียบโดยไม่เอาผ้าผูกตาออกตามที่ภูบดินทร์ขอร้อง ทำให้ไม่มีโอกาสได้เห็นว่า ตลอดทางที่ขับรถไปนั้นสายตาของชายหนุ่มที่จับจ้องมองหญิงสาวอยู่เป็นระยะๆ นั้นเป็นอย่างไร

“ฉันถามอะไรหน่อยได้ไหม” รินนลีเอ่ยถามเป็นคำแรก

“จะถามอะไร”

“ฉันอยากรู้ ทำไมนายถึงจับฉันมา”

“เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันเล็กน้อย เจ้านายผมเค้าให้จับผิดตัวน่ะ”

“เรื่องเข้าใจผิด จับผิดตัวเหรอ”

“อืม เป็นเรื่องเข้าใจผิดจริงๆ ผมต้องขอโทษคุณด้วย เจ้านายผมเค้าบอกว่าไว้มีเวลาเค้าจะไปขอโทษคุณด้วยตัวเองอีกครั้ง”

“แล้วเจ้านายของนายคือใคร ฉันรู้จักไหม”

“คุณรู้จักซิ แต่ผมไม่บอกคุณตอนนี้หรอก เจ้านายผมสั่งไว้”

“เอาน่า คุณอย่าถามมากผมตอบอะไรไม่ได้หรอก เดี๋ยวคุณก็รู้เองว่าเจ้านายผมเป็นใคร” ภูบดินทร์แกล้งพูดตัดบทและบังเอิญว่ามีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน

รินนลีหวังใช้วิชาชีพนักข่าวตะล่อมถามเพื่อให้ได้คำตอบที่ต้องการ แต่เมื่อได้ฟังเสียงสนทนาที่ภูบดินทร์คุยกับบุคคลที่สามอยู่นั้น ทำให้เธอลืมเรื่องที่ต้องการอยากรู้ไปในทันที เพราะคำสนทนาที่ได้ยินตอนนี้ชวนให้สนใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะระวังให้มากที่สุด” เสียงภูบดินทร์เข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“มีอะไรหรือเปล่า บอกฉันหน่อยเผื่อว่าเราจะได้ช่วยกันแก้ไขได้” รินนลีถามอย่างใจเย็น

ตอนนี้สิ่งเดียวที่หญิงสาวกลัวที่สุดก็คือ กลัวว่าจะกลับไม่ถึงบ้าน กลัวว่าจะมีคำสั่งใดมาเปลี่ยนแปลงให้กักขังเธอไว้อีก ดังนั้นรินนลีจึงได้แต่ภาวนาในใจว่าขอให้ทุกอย่างราบรื่นและไม่มีอุปสรรคใดอีก

“คุณไม่ต้องกลัวผมรับรองว่าผมจะไปส่งคุณให้ถึงบ้านอย่างปลอดภัย และถ้ามีอะไรต่อจากนั้นผมจะช่วยคุณเอง คุณไม่ต้องกังวลไป” ชายหนุ่มบีบมือหญิงสาวเบาๆ เพื่อปลอบใจให้คลายความกังวล

รินนลีไม่เข้าใจคำพูดของชายหนุ่มสักเท่าไรนัก แต่ก็เก็บปากเก็บคำเงียบไว้ไม่พูดอะไรออกมาทั้งสิ้น รอดูสถานการณ์เท่านั้นว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก

ภูบดินทร์เลี้ยวรถเข้าไปจอดซุ่มใกล้ๆ บ้านของรินนลี เพื่อรอดูสถานการณ์บางอย่างที่กำลังเกิดขึ้น ก่อนจะตัดสินใจว่านักข่าวสาวควรจะเข้าไปบ้านในเวลาไหน

“นี่ใกล้บ้านคุณแล้วนะ ผมจะเปิดผ้าออก แต่คุณต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่วู่วาม คุณต้องฟังผม สัญญาก่อน” ภูบดินทร์มองสถานการณ์แล้วหันมาหารินนลีที่นั่งรออยู่อย่างใจเย็น

"ตกลง" หญิงสาวรับคำทันที

เมื่อได้รับอิสรภาพรินนลีก็เห็นมารดายืนอยู่ที่หน้าประตูบ้าน ความดีใจทำให้หญิงสาวรีบลงจากรถเพื่อไปหาคุณอำไพ แต่ถูกภูบดินทร์ร้องห้ามไว้เสียก่อน

“แม่”

“ปลดล็อกให้ฉันหน่อย ฉันจะรีบไปหาแม่” รินนลีหันมาหาชายหนุ่ม

“คุณดูโน่นก่อน” ภูบดินทร์ชี้ไปข้างหน้า ขณะนี้รถตำรวจที่เพิ่งออกจากบ้านของหญิงสาวแล่นผ่านหน้ารถที่ทั้งคู่นั่งอยู่

“ตำรวจ” รินนลีอุทานด้วยความตกใจ

“ใช่ ตำรวจ คุณรอก่อน ดูให้แน่ใจก่อนว่าไม่มีใครแล้วคุณค่อยเข้าไปดีไหม” ภูบดินทร์แนะนำ

“นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย ฉันงงไปหมดแล้วทำไมถึงมีตำรวจมาที่บ้าน หรือว่าแม่จะแจ้งตำรวจเรื่องที่ฉันหายตัวไป”

“ผมว่าคงไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก ว่าแต่คุณมีทางเข้าบ้านทางอื่นไหม” ภูบดินทร์หันมาถาม

“มี” รินนลีรีบบอกเส้นทางพิเศษที่ไม่มีใครรู้ให้ชายหนุ่มวนรถกลับไปทันที

ภูบดินทร์เลี้ยวรถมาอีกซอยทางนี้เดิมคือประตูทางเข้าบ้านเดิมของหญิงสาว แต่พอถนนตัดผ่านอีกด้านของบ้านอีกทั้งทางเข้าด้านนั้นสะดวกกว่า บิดาของรินนลีจึงเปลี่ยนทิศทางการเข้าออกเสียใหม่เพื่อให้สะดวกกับตนเองและผู้อื่นที่มาเยี่ยมเยียน ประตูเล็กนี้จึงไม่ค่อยมีใครได้ใช้อีกเลยหลังจากนั้น นอกจากรินนลีที่ขอกุญแจมารดาไว้สำรองเผื่อฉุกเฉินที่ต้องกลับบ้านดึกและไม่อยากให้ใครรู้

รินนลีค่อยๆ เปิดประตูบ้านเข้าไปอย่างเงียบๆ เห็นมารดานั่งอยู่บนโซฟาห้องนั่งเล่นด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ภูบดินทร์ที่เดินตามเข้ามาด้วยสะกิดให้หญิงสาวรีบเข้าไปหาคุณอำไพก่อนที่จะมีใครมาเห็น

“แม่...” รินนลีโผเข้าหามารดาทันที

“หนูรินไปไหนมาลูก รู้ไหมว่าแม่เป็นห่วงแค่ไหน” คุณอำไพกอดรัดบุตรสาวแน่น ลูบหน้าลูบตารินนลีด้วยความดีใจอย่างที่สุด

“รินกลับมาแล้วไงค่ะแม่ ต่อไปนี้รินจะไม่ไปไหนทั้งนั้นแม่สบายใจได้” บุตรสาวก้มลงกอดมารดาอีกครั้งด้วยความคิดถึง

“หนูริน” น้ำเสียงหญิงวัยกลางคนสั่นเครือเล็กน้อย

“แม่คะ แม่ร้องไห้ทำไมใครทำอะไรบอกริน” รินนลีตกใจที่เห็นท่าทีของมารดาเป็นเช่นนี้

“เมื่อครู่นี้ ตำรวจมาที่บ้านเรา” คุณอำไพจับมือรินนลีไว้

“ตำรวจแจ้งข้อหาริน เขาแจ้งข้อหาฆ่าคนตาย หนูไม่ได้ทำใช่ไหม บอกแม่ซิหนูริน หนูไม่ได้ทำใช่ไหมลูก” คุณอำไพฟูมฟายถาม

“รินงงไปหมดแล้วค่ะแม่ นี่มันเรื่องอะไรกัน ใครฆ่าใครคะแม่” รินนลีเองก็งงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ข้อหาร้ายแรงขนาดนี้เกินจะรับไว้ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับตัวเธอด้วย

“ตำรวจมาบอกว่า รินเป็นผู้ร้ายฆ่าคนตายฆ่านักแสดงที่ชื่อเจนจิราอะไรนั่น หนูทำหรือเปล่าลูก ตอบแม่มาซิ”

“อะไรนะข้อหาฆ่าคนตาย ฆ่ายายเจนจิราเหรอคะ” รินนลีอุทานเสียงหลง ตกใจกับสิ่งที่ได้ยินจากปากมารดาจนถึงกับยืนอึ้งพูดอะไรไม่ออกเลยทีเดียว

“แม่คะ แม่ฟังรินนะ รินไปทำข่าวที่คอนโดยายเจนจิรานั้นจริง แต่รินไม่ได้ฆ่าใคร รินไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น รินจำได้ว่ารินเปิดประตูห้องเข้าไปแล้ว...” รินนลีพยายามว่าเกิดอะไรขึ้น

“รินเปิดประตูเข้าไปแล้ว รินเห็นคุณแบงค์” หญิงสาวทบทวนความจำของตนเอง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel