บทที่ 6
ความปรารถนาเดียวของรินนลีตอนนี้คือ อยากจะฆ่าคนที่อยู่ตรงหน้าให้ตายคามือเลยก็ว่าได้ หญิงสาวเหนื่อยกับการดิ้นรนเพื่อหนีการกักขังอย่างไม่มีสาเหตุเต็มที่แล้ว อยากจะให้สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้เป็นเพียงละครฉากหนึ่งเท่านั้นที่เธอได้เห็นจนชินตาในเวลาที่ไปกองถ่าย
สาวร่างบางนั่งทรุดลงกับพื้นกระท่อมอย่างหมดอาลัยตายอยาก เมื่อรู้ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางหนีพ้นแน่ สิ่งที่รินนลีทำได้ตอนนี้คือออมแรงไว้ก่อน
“ทำไม ทำไมฉันต้องอยู่ที่นี่ ไหนนายลองบอกเหตุผลมาให้ฉันฟังหน่อยซิ” รินนลีตั้งคำถามขึ้นมาใหม่
ภูบดินทร์ส่ายหน้าแทนคำตอบ ไม่พูดอะไรทั้งนั้นเพราะรู้ดีว่าถึงอธิบายไปรินนลีก็ไม่ยอมรับฟังอยู่ดี ชายหนุ่มมองหน้าหญิงสาวที่บัดนี้เปลี่ยนท่าทีจากพายุลูกใหญ่ กลายเป็นดีเปรสชั่นที่พร้อมจะกลายเป็นพายุได้ทุกเมื่อด้วยสายตาที่อ่อนลงขึ้น
“ตอนนี้อย่าเพิ่งถามอะไรเลย เอาเป็นว่าผมขอรับรองด้วยเกียรติว่า ถ้าคุณอยู่ที่นี่จะไม่มีอันตรายใดๆ เกิดขึ้นกับคุณเด็ดขาด” ภูบดินทร์ยืนยันอย่างหนักแน่น
“ไม่มีอันตราย งั้นเหรอ” รินนลีย้อนถามเสียงสูง
“ใช่” ชายหนุ่มตอบรับทันที
“ฉันไม่เข้าใจที่นายพูด” รินนลีตะโกนเสียงดัง
“ตอนนี้ฉันอยากกลับบ้าน นายเข้าใจไหม ฉันไม่สนใจอันตรายอะไรทั้งสิ้น ฉันอยากกลับบ้านไปหาแม่ นายเข้าใจไหม” รินนลีพูดเสียงเครือ ตาแดงขึ้นมาเล็กน้อย แต่พยายามกลั้นไม่ให้น้ำตาแห่งความอ่อนแอพรั่งพรูออกมา
คนที่รินนลีเป็นห่วงที่สุดในตอนนี้ก็คือคุณอำไพนั่นเอง รินนลีมั่นใจว่าการที่หายตัวไปแบบนี้ จะทำให้มารดาทุกข์ใจแน่ๆ
ภูบดินทร์เริ่มเครียดกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า เพราะมันนอกเหนือจากสคริปที่ตนและพี่ชายคิดเอาไว้ ชายหนุ่มเข้าใจความรู้สึกของรินนลีดีและรู้ว่าสองแม่ลูกผูกพันธ์กันแค่ไหน ทำให้หัวใจของเจ้าของสวนหนุ่มเริ่มรวนเรกับแผนการณ์ของพี่ชาย ซ้ำทำท่าจะโอนเอนมาเห็นใจนักข่าวสาวที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ ด้วยแม้แต่น้อย
ทว่า ความรักพี่ชายทำให้ภูบดินทร์ต้องตัดความสงสารและเห็นใจรินนลีออกไปก่อน คนหน้าเข้มสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแรงๆ อีกครั้ง แล้วเอ่ยกับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนขึ้นว่า
“คืนนี้อยู่ที่นี้ไปก่อนแล้วกัน ผมจะอยู่เป็นเพื่อนคุณ แล้วพรุ่งนี้ผมค่อยหาทางให้คุณติดต่อกลับบ้านแล้วกัน” นี่คือคำพูดที่ดีที่สุดที่ภูบดินทร์ทำได้ในขณะนี้
เขาใช้วิธีเลี่ยงเดินออกไปเพื่อไม่ต้องรับฟังคำพูดใดๆ ของอีกฝ่าย นั่งเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูเงียบๆ และร้องบอกเป็นระยะให้รินนลีกินข้าว จนในที่สุดนักข่าวสาวยอมเปิดปิ่นโตกินข้าวเพื่อประทังชีวิต
ภูบดินทร์จึงค่อยโล่งใจขึ้นแต่ทว่าเมื่อเอ่ยถามอะไร กลับได้รับคำตอบสั้นๆ ด้วยคำว่า ไม่ ที่มาพร้อมสีหน้าบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งทำให้เจ้าของสวนหนุ่มต้องคิดทบทวนว่าสิ่งที่ตนและพี่ชายกำลังทำอยู่ตอนนี้ถูกหรือผิดกันแน่
“คุณนอนในห้องนี้แล้วกัน ผมจะไปนอนข้างนอก ถ้ามีอะไรก็ตะโกนเรียกได้ตลอดเวลา” ภูบดินทร์เอ่ยเพียงแค่นั้นแล้วเดินจากไป
เสียงปิดประตูทำให้รินนลีถอนหายใจกับตัวเองเบาๆ เห็นทีว่าคืนนี้กระท่อมน้อยหลังนี้คงจะเป็นที่พักพิงอย่างเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว นักข่าวสาวบอกกับตัวเองว่าพรุ่งนี้จะดีกว่าวันนี้แน่ ไม่ว่าอย่างไรเธอต้องหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้ แต่คืนนี้คงต้องพักเอาแรงเสียก่อน เช้าเมื่อไรค่อยว่ากันอีกที
ระหว่างทางที่เดินหลับไปที่เรือนใหญ่นั้น ภูบดินทร์เฝ้าครุ่นคิดถึงคำพูดของหญิงสาวตลอดเวลาเรื่องแม่ เขารู้จักน้าอำไพมาตั้งแต่เล็ก และรู้ดีว่าสองคนแม่ลูกนี้รักกันมากขนาดไหน การที่รินนลีหายตัวไปอย่างนี้ หญิงวัยกลางคนคงอยู่ไม่เป็นสุขแน่
ก่อนที่จะกลับไปที่กระท่อมอีกครั้ง ภูบดินทร์ตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาภูชิต และเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟังอย่างละเอียด ชายหนุ่มตัดสินใจไม่เล่นบทโจรกระท่อมอีกต่อไปแล้ว
“ผมคงเล่นบทโจรกระท่อมให้พี่ต่อไม่ได้แล้วล่ะ พี่ภู ผมสงสารน้าอำไพ ลูกสาวคนเดียวหายตัวไปแบบนี้ ไม่รู้ว่าป่านนี้แกจะเป็นห่วงมากแค่ไหน อีกอย่างนะ การหายตัวของรินนลีก็เพราะเรื่องการแต่งงานบ้าๆ นี้ ถึงผมจะเข้าใจพี่แต่ผมก็สงสารน้าอำไพด้วย พี่ภูมีทางออกอื่นไหมที่ไม่ต้องทำแบบนี้" น้ำเสียงภูบดินทร์เป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
หรือเราจะบอกความจริงกับน้องรินไปเลยดีไหม นายเสือ”ภูชิตเองก็เครียดไม่แพ้กัน เขามัวแต่คิดเรื่องตัวเองจนลืมคิดถึงความรู้สึกของหญิงวัยกลางคนไปเสียสนิท เมื่อคิดตามเหตุผลที่น้องชายพูด คุณหมอหนุ่มถึงได้ตาสว่างว่าทำสิ่งใดผิดพลาดไป
“พี่จะเอาไงก็รีบคิดเถอะ ผมต้องไปเฝ้ายายขนมครกแล้ว ก่อนแค่นี้นะ”ภูบดินทร์รีบตัดสายโทรศัพท์ทิ้งแล้วลงจากเรือนไปทันที
เจ้าของสวนหนุ่มผูกเปลระหว่างต้นชมพู่สองต้นที่หน้ากระท่อม ยึดเป็นที่นอนสำหรับเฝ้าเชลยสาวจำเป็นในค่ำคืนนี้ แสงจันทร์เต็มดวงช่วยทำให้อารมณ์ที่ขุ่นมัวในใจของภูบดินทร์ดีขึ้น ทว่าทุกครั้งที่ชำเลืองมองไปที่กระท่อม เขากลับคิดถึงใบหน้าหวานของคนที่อยู่ด้านในว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง
‘อยู่ดีไม่ว่าดีต้องลงมานอนตากยุงเล่นในสวนสักคืน แถมยังต้องมาคอยเฝ้ายัยขนมครกเน่านี่อีก เวรของเอ็งแล้วไอ้เสือ’
เสียงไก่ขันเป็นสัญญาณบอกเวลา หญิงสาวบิดตัวไปมาไล่ความขี้เกียจรีบลุกขึ้นตะโกนเรียกให้คนที่อยู่ด้านนอกเข้ามาหาทันที
“นาย นาย เปิดประตูมาคุยกับฉันให้รู้เรื่องหน่อย” นักข่าวสาวตะโกนเสียงดัง
ภูบดินทร์เปิดประตูเข้ามาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับยื่นขันน้ำที่มีแปรงสีฟันและผ้าขนหนูผืนเล็กเตรียมไว้ให้ เดินนำหญิงสาวมาที่โอ่งน้ำด้านหน้ากระท่อม และรอให้รินนลีจัดการกับธุระของตนให้เรียบร้อยก่อน
ฟ้ายังไม่สว่างมากนัก แต่ก็สว่างพอให้รินนลีได้มองหน้าคนที่ยืนคุมตัวอยู่ข้างๆ ได้อย่างชัดเจน รูปร่างสูงโปร่งไม่ผอมหรือไม่อ้วนเกินไป หากแต่สมส่วนกำลังดีบ่งบอกถึงว่ามีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ใบหน้าครึ้มไปด้วยเคราบางๆ แต่ก็ไม่ได้บดบังความหล่อชนิดหาตัวจำได้ยากคนนึง ทำให้รินนลีคิดต่อไปอีกว่า
‘หน้าตาแบบนี้ ไม่น่าเป็นโจรได้’
“ตกลงเรามาพูดกันดีๆ นายจะเอาไงกับฉัน” หญิงสาวเอ่ยถามเป็นคำแรก
“เดี๋ยวกินข้าวเช้าก่อน ผมจะต่อโทรศัพท์ให้คุณคุยกับแม่” ภูบดินทร์ตอบสั้นๆ แล้วถือวิสาสะคว้าข้อมือของหญิงสาวดึงกลับเข้าไปในกระท่อม แล้วพูดว่า
“คุณรออยู่ที่นี่ เดี๋ยวผมไปเอาข้าวมาให้”
ภูบดินทร์หายไปสักพัก ก่อนจะกลับมาอีกครั้งด้วยข้าวต้มร้อนๆ พร้อมกับโอวัลตินแก้วใหญ่อีกหนึ่งแก้ว ชายหนุ่มวางทุกอย่างลงบนแคร่แล้วบอกกับหญิงสาวว่า
“กินซะ ผมจะพาคุณกลับไปส่งบ้าน”
รินนลีหันหน้ามามองภูบดินทร์ด้วยแววตาที่ตื่นเต้น จับแขนของชายหนุ่มไว้แน่นพร้อมเขย่าถามด้วยความดีใจว่า
“นายไม่ได้โกหกฉันใช่ไหม”
“นายจะปล่อยฉันไปจริงๆ ใช่ไหม”
ภูบดินทร์ไม่ตอบแต่พยักหน้ารับ รินนีลีร้องลั่นด้วยความดีใจแววตาและท่าทางที่แสดงออกมา ไม่มีความโกรธเกลียดแม้แต่น้อย รอยยิ้มที่เบิกบานบนใบหน้าทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสบายใจขึ้น
“นายไม่ต้องลำบากให้ฉันกินข้าวก็ได้ แล้วก็ไม่ต้องไปส่งฉันที่บ้านแค่บอกมาว่าที่นี่คือที่ไหน เดี๋ยวฉันหาทางกลับเองได้” รินนลียิ้มกว้างด้วยความดีใจ เป็นยิ้มแรกของหญิงสาวสำหรับการอยู่ที่นี้
