บทที่ 5
“คุณมาเปิดประตูให้ฉันแล้วใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นฉันกลับบ้านได้แล้วใช่ไหม” รินนลีพูดจบไม่รอฟังคำตอบ ตั้งท่าจะวิ่งออกจากกระท่อมอย่างเดียว
“เดี๋ยว...”เสียงเข้มของบุรุษแปลกดังขึ้น รินนลีไม่ฟังเสียงใดทั้งสิ้น ออกตัววิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
“เดี๋ยวสิคุณ...” ชายแปลกหน้าคว้าตัวเธอไว้ทัน แต่นาทีนี้รินนลีไม่ต้องการฟังคำใดนอกจากออกไปจากที่นี่ เธอดิ้นสุดฤทธิ์พร้อมทั้งตะโกนอย่างสุดเสียงร้องเรียกให้คนช่วย หวังว่าจะมีใครผ่านมาและได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือนี้
“ช่วยด้วยๆ ใครก็ได้ช่วยรินด้วย” นักข่าวสาวพยายามสะบัดตัวออกจากการจับกุม แต่มันไม่ได้ผลเพราะนอกจากชายแปลกหน้าจะไม่ปล่อยเธอแล้ว เพียงแค่ออกแรงดึงเบาๆ ร่างเล็กก็ลอยละลิ่วเข้าไปในอ้อมแขนของอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย
รินนลตกใจอีกหนเมื่อเงยหน้าขึ้นมาพบว่า เพียงแค่คืบเดียวหน้าของเธอกายแปลกหน้าก็จะใกล้ชิดกันเกินความจำเป็นแล้ว นักข่าวสาวดิ้นหนีไปไหนไม่ได้อีกเพราะอ้อมแขนที่โอบรัดไว้อย่างแข็งแรง คล้ายกับคีมที่บีบตัวเธอให้ต้องอยู่ในอ้อมแขนนี้โดยปริยาย
“ปล่อยฉันนะ ตาบ้า” รินนลียังไม่เลิกแผลงฤทธิ์ หญิงสาวเอามือของตนเองยันอกหนาๆ ของอีกฝ่ายและพยายามที่จะออกห่างจากชายหนุ่มให้มากที่สุด จ้องหน้าฝ่ายตรงข้ามอย่างเอาเป็นเอาตาย
ภูบดินทร์นิ่งไม่ทำตามที่หญิงสาวขอ แต่กลับพิศดูหน้าว่าที่เจ้าสาวของพี่ชายอีกครั้ง ใบหน้ามนรูปไข่ปากบางจิ้มลิ้มพริ้มเพราสีออกชมพูอ่อนดวงตามนกลมโตที่สวยอย่างธรรมชาติคิ้วยาวเรียวเข้าที่ ดูไปแล้วว่าที่เจ้าสาวของพี่ชายก็น่ารักดีเหมือนกัน
“นายจะปล่อยฉันได้หรือยัง” รินนลีถามเสียงดุ รู้สึกแปลกๆ เมื่อประสานสายตากับชายแปลกหน้าที่ตนอยู่ในอ้อมแขนเวลานี้ สายตาที่มองดูเธอไร้ความน่ากลัวหากแต่ทำให้หัวใจของหญิงสาวรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก แววตาที่อ่อนโยนและให้ความรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่เห็น คล้ายกับแววตาของใครบางคนที่อยู่ในความทรงจำแสนนาน
“ฉันอยากกลับบ้าน นายปล่อยฉันไปเถอะนะ ทันทีที่ถึงบ้าน ฉันสัญญาว่าจะมีสินน้ำใจให้นายแน่นอน” รินนลีหยอดคำหวาน
“ฮึๆ ” เสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอของภูบดินทร์สวนขึ้นมาทันที
“นายหัวเราะอย่างนี้หมายความว่าไง นายเป็นใครกันแน่แล้วนายจับฉันมาเรื่องอะไร หรือว่า เรื่องที่คอนโดนั้นไม่ได้นะ นายจะทำแบบนี้ไม่ได้นายต้องปล่อยฉันไป ฉันต้องไปบอกความจริงให้ทุกคนได้รู้” รินนลีถามรัวด้วยความโมโห เมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบสนองความต้องการของตน
“หัดฟังคนอื่นเค้าก่อนซะบ้างซิ คุณเล่นพูดคนเดียวแบบนี้ทุกอย่างคิดเองเออเองไปซะหมด แล้วผมจะตอบประโยคไหนของคุณก่อนดีล่ะ” ภูบดินทร์ย้อนถามกลับมาเป็นคำแรก
“นายไม่ต้องตอบฉันก็ได้ แค่นายปล่อยฉันไปทุกอย่างก็จบ อ้อ...อีกอย่างเอากระเป๋าฉันมาด้วย เร็วๆ” รินนลีตวาดเสียงดังสีหน้าจริงจังอย่างเห็นได้ชัด ยื่นมือมาตรงหน้าหมายจะให้ภูบดินทร์คืนข้าวของให้
“ผมคงปล่อยคุณไปไม่ได้ในตอนนี้” ภูบดินทร์ตอบเพียงแค่สั้นๆ แล้วหันหลังเดินออกไปโดยไม่สนใจว่ารินนลีจะรู้สึกอย่างไร
"นาย ไม่ได้นะ นายต้องปล่อยฉันเดี๋ยวนี้" สาวน้อยเดินตามหลังมาด้วยสีหน้าเอาเรื่อง รินนลีสอดส่ายสายตามองหาทางหนีทีไล่ แต่ยังไม่ทันได้ดูอะไรภูบดินทร์ก็หันหลังเดินกลับมาเสียก่อนแล้วพูดว่า
“ผมเอาหมอนกับผ้าห่มมาให้คุณ”ชายหนุ่มวางของที่อยู่ในมือลงบนแคร่
“แล้วนี้ปิ่นโตมื้อเย็น เอ้านี่ ตะเกียง คุณคงใช่เป็นนะแล้ว พรุ่งนี้ผมจะมาซ่อมไฟให้ แต่วันนี้คงต้องอยู่แบบนี้ไปก่อน”
“ใครบอกนายว่า ฉันจะอยู่ที่นี่...”
รินนลีฉวยจังหวะที่ยืนอยู่หน้าประตูตั้งท่าจะวิ่งหนี แต่ภูบดินทร์ไวกว่าคว้าตัวหญิงสาวไว้ได้ และจัดการเอาตัวเธอมานั่งลงบนแคร่อีกครั้ง โดยมีสายตาอาฆาตของสาวน้อยที่จ้องมองอยู่ไม่ห่าง
"ทำตามที่ผมบอก กินข้าวซะแล้วอย่าคิดหนีอีก คุณต้องอยู่ที่นี่จนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย" คนพูด พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนฟังรู้สึกไม่พอใจแต่ไม่อาจทำอะไรได้ ทางเดียวที่จะระบายความโมโหของรินนลีเวลานี้ก็คือ จ้องหน้าภูบดินทร์อย่างเอาเป็นเอาตาย ชนิดที่เรียกว่าไม่มีวันลืมตลอดชีวิตเลยทีเดียว
