บทที่ 4
ภูบดินทร์หัวเสียอีกครั้งเมื่อต้องขับรถตามรถเต่าสีแดงที่ตามมาตั้งแต่สายของวันนี้ ภูชิตบอกแผนการณ์คร่าวๆ ให้น้องชายทำตาม โดยเริ่มจากการหาทางเข้าใกล้รินนลีให้มากที่สุด และวิธีการแสนง่ายแต่ว่ายากสำหรับเจ้าของสวนหนุ่มก็คือ การขับรถสะกดรอยตามเพื่อหาทางเอาตัวรินนลีไปเก็บไว้นั่นเอง
‘น้องรินเป็นนักข่าวสายบันเทิงต้องออกข้างนอกไปทำงานนอกสถานที่ทุกวันอยู่แล้ว แกทำหน้าที่สะกดรอยตามแล้วคอยหาจังหวะทำยังไงก็ได้ให้น้องรินหายมาอยู่ที่‘กระท่อมโจร’ของแกสักอาทิตย์สองอาทิตย์ ให้พี่คุยกับคุณแม่ให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นพี่จะเป็นคนไปขอโทษน้องรินเอง’
แผนการที่พี่ชายวางไว้และเงื่อนไขที่ขัดไม่ได้ ทำให้วันนี้ภูบดินทร์ต้องทิ้งงานในสวนของตนเพื่อมาตามหารินนลี ผู้หญิงที่มารดาจะจับคู่ให้แต่งงานกับพี่ชายนั่นเอง
‘มุกจะกลับมาอาทิตย์หน้า แกไม่ต้องกลัวพี่ รับรองว่าถ้าคุณแม่ได้เจอกับมุกแล้วเรื่องแต่งงานไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน’
ข่าวล่าสุดที่พี่ชายคนดีส่งข่าวให้รู้ พร้อมกับส่งแผนการณ์อันแยบยลมาให้ด้วย ภูบดินทร์เหนื่อยใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเหลือเกิน ใจหนึ่งก็นึกสนุกที่จะได้แกล้งยายขนมครกเน่า แต่อีกใจก็ค้านกับความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ด้วยรู้ว่าเรื่องนี้พี่ชายนั้นผิดเต็มประตู
“เอ๊ะ น้องแบงค์มาทำอะไร ที่คอนโดนี้”
ชานนท์ขับรถเต่าสีแดงเลี้ยวตามเข้ามาจอดใกล้ๆ รถตู้ เมื่อเห็นซุปตาร์คนดังลงจากรถขึ้นไปบนคอนโดก็ทำให้รู้สึกสงสัย จากสายข่าวที่ให้มาวันนี้ซุปตาร์คนดังมีงานที่จะต้องไปโชว์ตัวในห้างสรรพสินค้าดังแห่งหนึ่ง แล้วทำไมถึงได้แวะลงที่นี่ก่อนหรือว่าที่นี่จะมีอะไรที่สำคัญกว่า
“โอ๊ะ น้องรินขา สงสัยเราจะได้สกู๊ปใหญ่แล้วล่ะค่ะ” ชายหัวใจหญิงตาโตเมื่อคิดได้ว่าอะไรเป็นอะไร
"สกู๊ปอะไรคะ พี่นนท์ ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติเลยนี่นา" รินนลีแย้งกลับ พลางเช็กกล้องถ่ายรูปในมือให้พร้อมทำงานทุกเมื่อ สายตาก็คอยมองไปทางประตูเข้าออกคอนโดว่าเมื่อไรซุปตาร์จะลงมาเสียที
“นี่มันคอนโดยายจอมแอ๊บ พี่ว่านะ น้องแบงค์ต้องมาหายัยเจนแน่นอนเลย” ชานนท์จีบปากจีบคอพูดถึง‘เจนจิรา’นางเอกสาวดาวรุ่งดวงใหม่ที่ได้ฉายาจากนักข่าวสายบันเทิงว่า‘จอมแอ๊บ’ นั่นเอง
“งั้นเรารออยู่ในรถไหมค่ะ รอให้น้องแบงค์ลงมาแล้วเราค่อยตามต่อดีไหม” รินนลีพอรู้ว่าคนที่ชานนท์พูดถึงเป็นใคร และรู้ว่าข่าวที่เขียนจับคู่นั่นเพื่อสร้างกระแสความนิยมในตัวคนทั้งสองมากกว่าที่จะเป็นเรื่องจริง
“ไม่ได้ค่ะ” ชานนท์ปฎิเสธทันควัน
“น้องรินต้องขึ้นไปที่ห้อง เดี๋ยวนะขอพี่หาก่อน” พูดจบชานนท์ก็หยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องล่าสุดออกมาจากกระเป๋าแบรนด์เนม ก่อนจะต่อสายไปหาแหล่งข่าวอย่างรวดเร็ว
“ได้จ้า ขอบคุณมากนะ แล้วพี่ชารอนจะมีของขวัญให้อย่างงามเลยนะ บายจ้ะ ” ทันทีที่วางหูจากแหล่งข่าว ชานนท์ยื่นกระดาษแผ่นเล็กๆ ให้กับรินนลี พร้อมกับสั่งว่า
“น้องริน ขึ้นไปตามเลขห้องนี่นะคะ เอากล้องขึ้นไปด้วย ”
"ให้รินขึ้นไปบนคอนโดเหรอคะ" รินนลีรับกระดาษมาแบบงงๆ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะต้องทำอะไรแบบนี้ ตามไปดูชนิดถึงลูกถึงคนลุกล้ำความเป็นสิทธิ์ส่วนตัวโดยไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง
“ไปดูซิว่ามีภาพเด็ดๆ อะไรบ้าง ถ้าถ่ายตอนที่น้องแบงค์อยู่กับยายเจนได้ก็จะดีมากเลย หรือเอาแค่ออกมาจากห้องของยายเจนก็ได้ พี่ว่าแค่นี้ก็เริ่ดแล้วค่ะ” ชานนท์รีบหยิบข้าวของที่เบาะหลังส่งให้ พร้อมทั้งกำชับอีกว่า
“รีบไปรีบมานะพี่จะรออยู่ที่รถ ถ้ามีอะไรฉุกเฉินก็โทร.มานะคะ”
รินนลีลงจากรถแล้วหาทางเข้าไปในคอนโด โชคดีที่มีคนพักอาศัยอยู่ในนี้กำลังจะเข้าไปด้านใน หญิงสาวจึงรอดพ้นเรื่องระบบรักษาความปลอดภัยที่ใช้คีย์การ์ดเป็นการผ่านทาง ไม่ช้านักข่าวสาวก็ขึ้นไปถึงที่หมายและเริ่มดำเนินการตามหน้าที่ของตนทันที
ภูบดินทร์แปลกใจเล็กน้อยที่เห็นรินนลีลงจากรถเต่าสีแดงเพียงคนเดียว โดยที่อีกคนไม่ได้เคลื่อนย้ายตัวเองไปไหน เขาค่อยๆ เคลื่อนรถไปจอดข้างๆ เพื่อสังเกตว่าอีกคนทำอะไรอยู่ แต่ชานนท์ไม่ทันสังเกตว่ามีรถใครมาจอดขนาบข้าง เพราะกำลังรายงานอย่างออกรสออกชาติผ่านทางโทรศัพท์มือถือ
รินนลีก้าวออกจากลิฟต์เดินเลี้ยวซ้ายไปตามเบอร์เลขห้องที่ได้รับมาจากชานนท์เมื่อครู่นี้ หญิงสาวเดินอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้ไปรบกวนห้องอื่น อีกทั้งระวังว่าถ้าเจอซุปตาร์คนดังกล่าวที่นี่ ฝ่ายนั้นจะได้ไม่ทันรู้ตัวว่ามีใครสะกดรอยอยู่
เสียงโครมครามเหมือนกับว่ามีอะไรหล่นดังออกมาจากห้องของเป้าหมาย รินนลีโผเข้าไปที่หน้าประตูห้องเพื่อเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ ใจหายแวบที่เห็นประตูห้องปิดไม่สนิท มือไวเท่าความคิดค่อยๆแง้มประตูเปิดเข้าไปดูพร้อมกับยกกล้องถ่ายรูปคู่ใจขึ้นเพื่อเตรียมเก็บภาพในทันที
‘คุณพระช่วย’
สีหน้าของนักขาวสาวซีดเผือดแต่ปลายนิ้วที่แตะอยู่ที่กล้องยังคงทำหน้าที่ตามอัตโนมัติ ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้รินนลีตกใจแทบสิ้นสติ ไม่ทันสังเกตว่ารอบตัวมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
นาทีนี้ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เธอตัดสินใจวิ่งออกจากห้องให้เร็วที่สุดในชีวิตเท่าที่สามารถจะทำได้ วิ่งกลับมาที่หน้าลิฟต์แล้วรีบกดเรียกลิฟต์ให้เร็วที่สุด แต่สัญญาณไฟสีแดงบอกให้รู้ว่าลิฟต์ยังอยู่ชั้น 22 ดังนั้นรินนลีจึงตัดสินใจใช้บันไดหนีไฟ พร้อมทั้งภาวนาในใจว่า ‘ขอให้อย่าเจอกันที่ชั้นล่าง’
ในที่สุดรินนลีก็สามารถกลับลงมาที่ชั้นล่างได้อย่างปลอดภัย โชคดีที่ในระหว่างที่วิ่งลงบันไดหนีไฟนั้น หญิงสาวฉวยจังหวะที่คนชั้นอื่นใช้ลิฟต์ลงมา จึงทำทีว่าลงมาด้วยอีกคนและโล่งใจที่ไม่เห็น 'ใครคนนั้น' อยู่ในลิฟต์ด้วย
รินนลีตั้งใจจะกลับไปขึ้นรถให้เร็วที่สุด เพื่อจะบอกเล่าเหตุการณ์สดๆ ร้อนๆ ที่เพิ่งพบเจอมาให้ชานนท์ได้ทราบ แต่ทว่า...
ก่อนที่จะก้าวขาพ้นประตูคอนโดหรูนั้น จู่ๆ ก็มีมือปริศนากระชากตัวรินนลีไว้ และสั่งให้ทำตามด้วยการเดินไปขึ้นรถที่จอดอยู่ด้านข้างรถของชานนท์ ทันทีที่ขึ้นรถนักข่าวสาวก็หมดสติวูบลงไปทันที
รินนลีลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆพยายามเรียกสติของตนเองกลับมาอีกครั้ง ค่อยๆ ประคองตัวลุกขึ้นนั่ง แล้วพยายามคิดทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้น
นักข่าวสาวกวาดสายตามองไปรอบตัว ที่นี่ไม่ใช่ห้องนอนที่คุ้นเคยแต่เป็นกระท่อมไม้ไผ่ซึ่งเงียบสนิท ที่นี่คือที่ไหนแล้วทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้
หรือว่าเหตุการณ์ที่เห็นในห้องนั้นจะเป็นปัจจัยให้เธอต้องถูกนำตัวมาที่นี่ รินนลีคิดหาหนทางที่จะพาตัวเองออกไปจากกระท่อมแห่งนี้ เธอไม่มีวันนั่งงอมืองอเท้าหรือรอให้ใครมาช่วยเด็ดขาด สัญชาติญาณการเอาตัวรอดทำให้หญิงสาวเริ่มหาวิธีทันที
“ช่วยด้วยค่ะ มีใครอยู่ข้างนอกไหม ช่วยด้วย มีคนถูกขังอยู่ในกระท่อม ช่วยด้วยๆ”
รินนลีตะโกนสุดเสียงพร้อมทั้งพยายามถีบประตูกระท่อมเพื่อหวังว่ามันจะเปิดออกโดยง่าย แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะไม่เป็นใจ เพราะถึงแม้กระท่อมจะเป็นแค่ไม้ไผ่ที่ดูไม่แข็งแรงอะไรมากมายนัก แต่ที่ประตูมีโซ่ล่ามไว้อีกทีต่อให้ใช้แรงมหาศาลแค่ไหนก็คงไม่มีทางจะอาชนะโซ่เหล็กนั่นได้แต่
"ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วยๆ” หญิงสาวส่งเสียงร้องอีก
ร่างเล็กทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างอ่อนแรง หัวใจหญิงสาวคิดถึงแต่หน้ามารดาอันเป็นที่รัก อยากจะกลับไปกอดไปหาใจจะขาดแต่ไม่สามารถทำได้ ดวงตาคู่สวยเริ่มมีน้ำใสคลอเบ้าหากแต่สีหน้ายังคงเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นที่จะหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้
เสียงกุกกักดังมาจากด้านหน้าประตูรินนลีลุกขึ้นอย่างดีใจ คิดในแง่ดีว่าคงจะมีใครสักคนมาเปิดประตูให้แน่ แต่แล้วสิ่งคิดก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เธอหวัง เมื่อประตูกระท่อมเปิดก็พบกับคนแปลกหน้าที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“คุณเป็นใครแล้วคุณพาฉันมาที่นี่ทำไม คุณต้องพาฉันกลับบ้านเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นล่ะก็ฉันจะเอาเรื่องคุณให้ถึงที่สุด” รินนลีตวาดเสียงดังลั่นด้วยท่าทีที่ไม่มีความเกรงกลัวแม้แต่น้อย
ชายแปลกหน้าที่เข้ามาไม่ตอบคำถามเพียงแต่มองหน้าเธอเฉยๆ เท่านั้น รินนลีเดาใจการกระทำของอีกฝ่ายไม่ออก ไม่รู้ว่าคนที่เข้ามามีจุดประสงค์สิ่งใดกันแน่ แต่เมื่อประตูเปิดออกแล้ว ทางเดียวที่คิดได้ตอนนี้คือ...
