ตอนที่ 2 เข้าเฝ้า (1)
อี้หลวนไปเฝ้าอยู่หน้าห้องของลี่อ๋องและพระชายาตั้งแต่ยามอิ๋น[3] สาวใช้เฝ้ากลางคืนของจวนอ๋องก็อยู่ด้วย จนกระทั่งสาวใช้เวรยามเช้าถือถาดเครื่องล้างหน้าและอ่างล้างหน้าเดินมาหน้าห้องและส่งเสียงเรียก
[3] ยามอิ๋น คือช่วงเวลา 03:00-04:59 น.
"ท่านอ๋อง"
ในห้องเงียบมาก พวกสาวใช้ตั้งใจฟังจนได้ยินเสียงทุ้มต่ำติดแหบพร่าดังขึ้น
"เข้ามา"
สาวใช้เดินตามหลังเข้าไปเป็นแถว อี้หลวนละล้าละลังแต่ก็เดินตามหลังสาวใช้ขั้นหนึ่งของจวนอ๋องเข้าไป แม้อี้หลวนจะไม่กล้ามองเข้าไปที่เตียงใหญ่อย่างไร ความอยากรู้ก็ทำให้นางเหลือบตามองคราหนึ่ง จนเห็นคุณหนูของตนนั่งอยู่ที่ขอบเตียง ใบหน้างามยังคงเปล่งปลั่งแต่ขอบตาดำคล้ำอยู่สักหน่อย ทั้งเซียวอวี้และจินเหยาอยู่ในชุดสีขาวตัวใน
จินเหยารีบลุกขึ้นเดินตามท่านอ๋องไปล้างหน้าล้างตาด้วยความกระอักกระอ่วนใจ แม้ว่านางจะปวดช่วงล่างมากเป็นพิเศษแต่ก็ไม่กล้าชักช้า รีบชำระกายเสร็จก็ให้สาวใช้ช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าและเกล้าผม
ระหว่างนั้นมีแม่นมคนหนึ่งเดินไปที่เตียงดึงผ้าแพรออกมาแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นร่องรอยที่แปดเปื้อนอยู่บนนั้น นางถอนสายตาย้ายไปที่ห้องข้าง คือห้องที่จินเหยานั่งให้สาวใช้เกล้าผมให้อยู่
แม่นมรีบพับผ้าผืนนั้นเก็บใส่กล่องที่เตรียมมาด้วย พลางคิดว่ามีเลือดออกขนาดนี้เหตุใดพระชายายังลุกขึ้นได้อีก แม่นมผ่านอะไรมามากแล้วจึงดูออกว่านี่คือเลือดพรหมจรรย์ไม่ใช่เลือดระดูและยังมีของเหลวที่ท่านอ๋องทิ้งไว้ปะปนอยู่ด้วย นี่ยิ่งทำให้แม่นมอดเห็นใจพระชายาไม่ได้ที่ต้องมาทนรองรับอารมณ์ร้อนรุ่มของท่านอ๋อง
แต่งตัวเสร็จแล้วสาวใช้เริ่มตั้งสำรับ ตอนนี้เองที่ขันทีอู่หยงเดินเข้ามา จากนั้นก็เริ่มปรนนิบัติเซียวอวี้ทานอาหาร จินเหยาที่นั่งอยู่ด้วยกันไม่กล้าให้ใครมาปรนนิบัติ นางจึงนั่งกินโจ๊กข้าวฟ่างไปเงียบ ๆ เซียวอวี้เองก็ไม่ได้พูดกับนางสักคำ
จนกระทั่งรับมื้อเช้าเสร็จจินเหยาเดินตามลี่อ๋องไปจนถึงประตูหน้า ระยะทางมิใช่น้อยๆ แต่เขาเลือกที่จะเดินทั้งที่เขาสามารถนั่งเกี้ยวไปได้ จินเหยาไหนเลยจะกล้าบ่นสักคำ ทั้งสองนั่งรถม้าประจำตำแหน่งชินอ๋อง จินเหยาไม่กล้าปริปาก ลี่อ๋องเองก็เหมือนจะไม่อยากพูดกับนาง บรรยากาศจึงอึดอัดอย่างมาก นางจึงก้มหน้ามองสองมือที่วางอยู่บนหน้าตัก มิได้ขยับหรือมองอะไรส่งเดชเลย
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม รถม้าจอดลงหน้าพระราชวัง ทั้งสองลงรถ ทหารโค้งคำนับลี่อ๋องและพระชายาเสร็จก็ยืนตัวตรงเช่นเดิน
ไม่มีใครออกมารอรับ และทั้งสองต้องเดินเท้าอีกราวหนึ่งเค่อ[4] ก็ถึงตำหนักส่วนหน้า ที่นี่ชื่อว่าตำหนักหยางหมิง เป็นห้องโถงขนาดใหญ่มีเสาสามคนโอบด้านละเก้าเสา ใช้รับรองแขกบ้านแขกเมืองและใช้เป็นที่ประชุมของขุนนางขั้นสามขึ้นไปในทุกๆ ห้าวัน
[4] หนึ่งเค่อ คือเวลาประมาณ 15 นาที
ขันทีน้อยเชื้อเชิญทั้งสองเข้าไป แต่มิได้ยกเก้าอี้มาให้นั่ง และในนั้นก็ไม่ได้มีใครอีกเลย จินเหยาเห็นลี่อ๋องยืนสำรวมไม่ได้หันมองไปทางไหนทั้งนั้น นางจึงก้มหน้ายืนรออยู่ตรงนั้นอย่างเดียวกับเขา จนกระทั่งผ่านไปอีกสองเค่อจึงได้ยินเสียงประกาศของขันที ทั้งแหลมเล็กและดังกังวาน
“ฮ่องเต้เสด็จ! ฮองเฮาเสร็จ!”
ลี่อ๋องคุกเข่าลง จินเหยาจึงรีบทำตาม ทั้งสองก้มหน้าต่ำ
“ถวายบังคมเสด็จพ่อ ถวายบังคมเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ”
จินเหยารับรู้ได้ถึงชายอาภรณ์เหลืองอร่ามพาดผ่านข้างตัวไปจนเกิดไอเย็นอย่างประหลาด ทั้งสองรออยู่ไม่นานก็ได้ยินเสียงดังขึ้นที่พระที่นั่งแล้ว
“ลุกขึ้นเถอะ” เสียงทุ้มเย็นดังขึ้น
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ”
“ขอบพระทัยเพคะ” จินเหยาเสียงเบาราวกับยุงและรีบลุกขึ้น นางยืนก้มหน้าหลุบตามิกล้ามองส่งเดช
ด้วยเพราะตำแหน่งฐานะของบิดาไม่ได้ใหญ่โต การจะเจอเชื้อพระวงศ์ก็ไม่ง่ายนัก นี่ถือเป็นครั้งแรกที่นางได้เข้าวังด้วยซ้ำไป แม้จะประหม่าไปบ้างแต่ก็ไม่ได้ทำให้นางสูญเสียกิริยามารยาทอันพึงมีแต่อย่างใด
“ในที่สุดเจ้าห้าก็แต่งงานเสียที” ฮ่องเต้ตรัสด้วยท่าทีผ่อนคล้ายเล็กน้อย
“ต้องขอบพระทัยเสด็จพ่อที่พระราชทานชายาให้พ่ะย่ะค่ะ”
“ฮ่าๆ ดีๆ ชายาลี่อ๋อง เจ้ามีอะไรติดขัดหรือไม่”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทและฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันสบายดียิ่ง ไม่มีอะไรติดขัดเพคะ”
“อือ” อี้เต๋อฮ่องเต้ตอบรับคำหนึ่งแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก
“ชายาลี่อ๋องคงไม่เคยเข้าวัง”
“นี่เป็นครั้งแรกเพคะ” จินเหยาก้มหน้าตอบและฮองเฮากับฮ่องเต้ก็ไม่ได้บอกให้นางเงยหน้าขึ้นด้วยซ้ำ
“บิดาเจ้าเป็นอาจารย์ในสำนักศึกษา ตัวเขาเองก็เข้าวังน้อยนักเช่นกัน”
“เพคะ” จินเหยารู้ดีว่าฮองเฮาจะสื่ออะไร จะบอกว่านางที่เป็นชายาลี่อ๋องนั้นต่ำต้อย ซ้ำยังได้แต่งกับลี่อ๋องที่ไม่มีใครสนใจ ทั้งสองช่างต่ำต้อยเหมือนกันเสียจริง เป็นคำพูดเชือดเฉือนผู้คนขณะที่ยังยิ้มอยู่จริงๆ
ทั้งสองฟังวาจาของฮองเฮาอยู่อีกสักพักก็ถูกฮ่องเต้ไล่กลับ แม้แต่มื้อเที่ยงก็ไม่ได้เรียกให้อยู่กินพร้อมกัน แต่แบบนี้ก็ดีกับจินเหยามาก เพราะไม่อยากทนฟังคำพูดจาไพเราะแต่แฝงด้วยยาพิษของฮองเฮาต่อแล้ว
ต้องนั่งรถม้าเดินทางกลับอีกครึ่งชั่วยาม จนกระทั่งถึงจวนลี่อ๋อง จินเหยาถึงระบายลมหายใจออกมาหนักๆ คราหนึ่ง
เมื่อกลับถึงเรือน จินเหยานั่งมองของพระราชทานอยู่ที่เรือนริมน้ำที่มีชื่อว่าเรือนเฉียนเกอ ซึ่งเรือนนี้ไม่ใช่เรือนที่นางเข้าหอเมื่อคืน แต่หลังจากกลับจากการเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เซียวอวี้แยกทางไปตั้งแต่หน้าประตูวัง มาถึงจวน พ่อบ้านก็พานางมาที่เรือนนี้และบอกว่าเป็นที่พำนักของนาง
จินเหยาไม่ใช่มองไม่ออกว่าเซียวอวี้ไม่ชอบนาง แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะเฉยชากับนางได้ถึงขนาดนี้ นางมองของพระราชทานจนใจลอย สุดท้ายเป็นอี้หลวนที่เรียกสตินาง
"พระชายา พระชายาเจ้าคะ ของพวกนี้จะเก็บไว้ที่ใดเจ้าคะ"
