ตอนที่ 1 ชายาลี่อ๋อง
จินเหยาขึ้นเกี้ยวแปดคนหามแต่งเข้าจวนลี่อ๋อง ตามราชโองการสมรสพระราชทานของฮ่องเต้เมื่อสองเดือนก่อน บิดาของจินเหยาเป็นอาจารย์ในสำนักศึกษาหลวง ไม่ได้มียศมีตำแหน่งขุนนางใหญ่โต แต่เขากลับมากความรู้ความสามารถ เป็นที่นับหน้าถือตาไม่น้อย ส่วนตัวจินเหยาเองก็มีชื่อเสียงดีงาม ทั้งนางยังชอบเล่าเรียนและเขียนอักษร อักษรข่ายซู[1] ของนางนั้นงดงามไร้ที่ติเป็นที่ร่ำลือ ทั้งนางยังหน้าตางดงาม สุภาพเรียบร้อย จึงเป็นที่สนใจในสำนักศึกษาหลวงไม่น้อย เพียงแต่ถึงอย่างไรสถานะของบิดานางก็ไม่ได้สูงส่งจนนางได้มีโอกาสแต่งเข้าจวนอ๋องแต่อย่างใด แต่นั่นเพราะเป็นที่ตัวลี่อ๋องเองที่ไม่ได้รับความสนใจจากฮ่องเต้ ซ้ำตัวเขาไม่กระทำเรื่องโดดเด่น จึงอยู่ในวังอย่างไร้ตัวตน ตอนอายุสิบหกได้ออกมาตั้งจวนอ๋อง ปีนี้เขาอายุยี่สิบสอง ด้วยเพราะขุนนางมากมายเอ่ยถึงอายุของเขาให้ฮ่องเต้ได้ยินโดยบังเอิญ จึงนำพามาซึ่งการพระราชทานสมรสให้เขาและบุตรสาวของอาจารย์ในสำนักศึกษาที่ไม่มีอำนาจใดๆ มาสั่นคลอนบัลลังก์ขององค์รัชทายาทในภายภาคหน้าได้
[1] อักษรข่ายซู(楷书)หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอักษรจริง (真书)เป็นอักษรจีนรูปแบบมาตรฐานใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
ตั้งแต่ได้รับราชโองการ ลี่อ๋องไม่เคยโผล่หน้ามาให้เห็น นั่นย่อมเข้าใจได้ เขาสูงศักดิ์ เรื่องต่างๆ จึงส่งตัวแทนมาจัดการ สินสอดก็เป็นในวังจัดการให้ทุกอย่าง จวบจนวันแต่งงานมาถึง เกี้ยวเจ้าสาวมาแล้ว นางก็ลงจากเกี้ยวเข้าไปในโถงพิธีของจวนอ๋องถึงได้รับรู้ถึงร่างสูงข้างกาย รับราชโองการแต่งตั้งเป็นชายาอ๋องอย่างถูกต้องเสร็จแล้วก็กราบไหว้ฟ้าดินเป็นไปตามธรรมเนียมและถูกประคองเข้าห้องหอ ลี่อ๋องตามมาเปิดผ้าคลุมหน้า ดื่มสุรามงคลแล้วก็จากไปรับรองแขก
ทั้งหมดนี้ผ่านไปอย่างฝืดเฝื่อนยิ่ง เพราะใบหน้าของเขาเรียบเฉยจนเป็นนิสัยไปแล้ว ใครก็ไม่กล้าล้อเล่นทั้งนั้น รวมทั้งพวกที่คิดจะมาก่อกวนห้องหอตามธรรมเนียมก็ด้วยเช่นกัน
บิดาของจินเหยาเป็นแค่บัณฑิตคงแก่เรียน บ้านเดิมก็เป็นแค่ชาวนา ดีหน่อยที่มารดาเป็นบุตรสาวเถ้าแก่ร้านผ้า สินเดิมที่ได้มาตอนออกเรือนก็ยกให้จินเหยาทั้งหมด แต่นับว่ายังน้อยเมื่อเทียบกับชายาอ๋องท่านอื่น แต่จะทำอย่างไรได้ คนทั้งเมืองหลวงต่างรู้ดีว่าจินฟานเป็นอาจารย์ที่ไม่ยึดถือเอาหน้าตาและทรัพย์สินเป็นที่ตั้งมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ทว่าบุตรสาวได้แต่งเข้าราชวงศ์ก็ถือว่าเกินความสามารถของเขาไปแล้วเช่นกัน
จินเหยาพาสาวใช้ติดตามมาสี่คน นี่ก็เกินพอดีเพราะเดิมทีนางมีสาวใช้คนสนิทแค่คนเดียว ที่เหลือมารดาจัดหามาให้เพื่อไม่ให้ดูน้อยหน้าฐานะชายาชินอ๋องเกินไป ตอนนี้อี้หลวนสาวใช้คนสนิทกำลังยกนำชามาให้นางดื่มถึงเตียงที่ถูกประดับประดาไว้งดงาม แต่กระนั้นก็ยังเหมือนจะขาดอะไรไปบางอย่างที่ทำให้ดูไม่สมบูรณ์นัก
จินเหยารับถ้วยชามาดื่มไปสองอึกใหญ่ แล้วกวาดตามองห้องหอที่กว้างขวางและงามตาสมฐานะจวนชินอ๋อง แม้จะเปิดผ้าคลุมหน้าแล้วแต่นางก็ยังไม่กล้าขยับกายไปไหน ทั้งที่ท้องหิวจนแสบไปหมดก็ยังไม่กล้าแม้แต่จะชะเง้อมองหา ได้แต่ดื่มชาเข้าไปจนหมดถ้วย
ตอนยามจื่อ[2] เซียวอวี้หรือลี่อ๋องผลักประตูเข้ามา อี้หลวนรีบเก็บถ้วยชาแล้วถอยออกจากห้องหอ ก่อนจะปิดประตูตามหลัง
[2] ยามจื่อ คือช่วงเวลา 23:00-00:59 น.
จินเหยารีบลุกขึ้นเดินเข้าไปช่วยเขาถอดเสื้อคลุมสีแดงสว่าง มือที่กำลังถอดเสื้อชะงัก เขาก้มลงมองหญิงสาวข้างกาย นางเอาเสื้อนอกของเขาไปแขวนที่ข้างฉากกั้นแล้วเดินกลับมาหาเขา ทำท่าจะช่วยปลดสายคาดเอวแต่เขากลับคว้ามือนางไว้ ใบหน้าที่แต่งแต้มไว้ด้วยแป้งชาดเงยขึ้นมองเขา
เซียวอวี้ถอยไปนั่งที่ขอบเตียง "วันนี้เหนื่อยมากแล้ว พักผ่อนเถอะ" เขาปลดสายคาดเอว ถอดเสื้อนอกแล้วก็โยนมันไปไว้ปลายเตียง ถอดรองเท้าแล้วเอนกายลงนอนบนเตียงใหญ่ทันที แต่เพราะธัญพืชมงคลเต็มเตียง เขาเลยลุกขึ้น สะบัดผ้าห่มเอาพวกมันออกแล้วล้มตัวลงนอนอีกครั้ง
จินเหยาได้กลิ่นสุราจากเขาฉุนจัดก็เข้าใจว่าเขาเมามากแล้ว นางจึงรีบก้าวขึ้นเตียงโดยไม่ถอดเสื้อผ้าสักชิ้น เขานอนอยู่กลางเตียง นางจึงนอนอยู่ริมเตียง ไม่กล้าแตะตัวเขาสักนิด แม้แต่ผ้าห่มก็ไม่กล้าดึงมาคลุมกาย
ด้วยเพราะวันนี้ต้องตื่นมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง จินเหยาทั้งง่วงและเพลียมาก ในขณะที่กำลังสะลึมสะลือนั้นเอง บุรุษข้างกายขยับตัวรวดเร็ว จินเหยากายพลิกตลบครั้งหนึ่ง นางมาอยู่ใต้ร่างของเขาเสียแล้ว จินเหยาตกใจจนเผลออุทานเสียงหนึ่ง ท่าทางเช่นนี้ไม่ปกตินัก เพราะเซียวอวี้ผู้เงียบขรึมเขาจับนางนอนคว่ำ!
เซียวอวี้ไม่ได้สนใจจินเหยามากนัก พระชายาพระราชทานผู้นี้เขาแค่รับไว้เพราะเสด็จพ่อยัดเยียดให้มา ซ้ำเขายังไม่มีความคิดจะมีปฏิสัมพันธ์อะไรกับนางอยู่แล้ว ตอนนี้ที่เขาแตะต้องนางเพราะคิดเพียงแค่อยากตัดปัญหาบางประการ เขาจึงจำต้องทำให้ผ้าแพรขาวที่ปูเตียงอยู่เปื้อนเลือดพรหมจรรย์ของจินเหยาให้ได้
เขาขมวดคิ้วเมื่อเห็นเสื้อผ้าของนางยังอยู่ครบทุกชิ้น ไม่เว้นแม้แต่มงกุฎหงส์ด้วยซ้ำ เขามองร่างบางอยู่ครู่หนึ่งจึงยกสะโพกของนางถลกกระโปรงชุดแต่งงานหลายชั้นและดึงรั้งกางเกงตัวในของนางจนไปกองอยู่ที่ข้อเท้า จากนั้นก็แทรกกายแข็งขึงเข้าไปในร่างกายอันคับแคบของนาง
"ท่านอ๋อง!" จินเหยาทั้งตกใจและหวาดกลัวสุดขีด นางจึงอุทานออกมาเสียงดังพร้อมทั้งขัดขืน
เซียวอวี้กดแผ่นหลังนางเอาไว้ จากนั้นก็นำพากายตัวเองตอกย้ำเข้าไปในกายนางด้วยความรวดเร็ว
"อ้า! ท่านอ๋อง เจ็บ!" จินเหยาหน้าถอดสี น้ำตาไหลพราก สองมือกำผ้าปูที่นอนแน่น ใบหน้าเหยเก ร่างกายสั่นระริกเพราะความเจ็บปวดราวถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ยามนี้เองที่นางรับรู้ได้ถึงของเหลวที่ไหลลงมาตามต้นขา แต่นางไม่มีเวลามาสนใจเพราะเซียวอวี้เริ่มขยับกายด้วยความทรมานไม่ต่างกัน เขาไม่ได้อยากจะทำนัก แต่ด้วยร่างกายที่คับแน่นของนางทำให้เขาไม่อาจทนได้อีก ในเมื่อพรากพรหมจรรย์ของนางแล้ว จะทำให้สำเร็จสักครั้งจะเป็นอะไรไป สุดท้ายเขาจึงไม่ทน ร่างกายสูงใหญ่ตอกย้ำกายนางครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดเพื่อให้ได้รับการปลดปล่อย แม้นางจะครวญครางอ้อนวอนอย่างไรเขาก็ยังคงทำต่อไป
สุดท้ายร่างที่สั่นเกร็งเริ่มผ่อนคลาย และเปลี่ยนจากต่อต้านเป็นตอบสนองด้วยเสียงครางแผ่วเบาจนกระทั่งนางกายกระตุกสุขสมไปอย่างน่าประหลาด เขาจึงไม่อยากจะสานต่ออีกแล้ว จึงเร่งส่งท่อนเนื้อเต็มกำลังจนมาถึงขีดสุด เขาตัวเกร็ง หลังโก่ง รู้สึกเสียวซ่านตรงหลังเอว จากนั้นจึงดึงกายออกมาปลดปล่อยใส่ที่นอนด้านข้าง มีกลิ่นอายประหลาดอวลไปทั้งห้อง และความร้อนอบอ้าวที่ขุ่นข้นทำให้เขาไม่ชอบใจนัก
ไม่นานเขาก็ทิ้งนางลงจากเตียงไปทันที เดินหายเข้าไปหลังฉากกั้น ได้ยินเสียงใช้ผ้าชุบน้ำและบิด คาดว่าเขากำลังเช็ดตัวอยู่
จินเหยาทั้งเจ็บทั้งรู้สึกประหลาด แต่ที่มากกว่าคือนางรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจนัก นางพลิกตัวนอนหันหลังออกนอกเตียง สองมือกอดอกงอตัว ทั้งเจ็บ ทั้งเสียใจประเดประดังเข้ามาจนแทบหายใจไม่ออก นางนอนอยู่ท่านี้นานเท่าไรไม่รู้ได้ จนกระทั่งผล็อยหลับไปทั้งน้ำตา
เซียวอวี้กลับมาอีกครั้งในชุดนอนตัวยาวสีขาว เขาเห็นนางนอนแน่นิ่งไปแล้วก็ไม่ได้สนใจ สะบัดผ้าห่มได้ก็สอดตัวขึ้นไปนอนบนเตียงและหลับไปอีกคน
