ตอนที่ 10 ลอบปลงพระชนม์
“ลำบากหรือไม่” ระหว่างที่นั่งรถกลับจากวังหลวง เซียวอวี้กุมมือหลินเยี่ยไว้ เขารู้ดีว่าที่ฮองเฮาเรียกพวกตนเข้าเฝ้าเพราะอยากกลั่นแกล้งเสียมากกว่า แน่นอนว่าหลินเยี่ยต้องเจอความลำบากใจไม่น้อย ดูได้จากที่พระบิดารั้นเข้าไว้ให้ช่วยอ่านฎีกานานนับสองชั่วยาม
หลินเยี่ยยิ้มน้อยๆ “แค่ยืนนานไปหน่อยก็เท่านั้น”
“ฮองเฮาทรงเป็นเช่นนั้นเอง ต่อไปหากไม่มีความจำเป็นใดเจ้าก็หลบเลี่ยงฮองเฮาไว้หน่อยก็ดี”
“ได้ ข้าจะฟังท่านอ๋อง” หลินเยี่ยซุกใบหน้าเข้าหาอ้อมอกกว้าง เซียวอวี้จึงกอดกระชับนางไว้ ทั้งสองไม่ได้พูดเรื่องใดอีกจนกระทั่งกลับถึงจวน
เมื่อลงจากรถม้ากลับได้ยินเสียงฝีเท้าม้าตามหลังมาด้วยท่าทางเร่งร้อน เซียวอวี้ขมวดคิ้วขณะที่ดันหลินเยี่ยให้เดินต่อไป
ทหารหลายนายพกอาวุธควบม้าตรงมาถึงหน้าเซียวอวี้และกระโดดลงจากหลังมา ประสานมือคำนับเขาครั้งหนึ่งแล้วจึงเอ่ย
“ลี่อ๋อง ฝ่าบาทถูกลอบปลงพระชนม์!”
จินเหยาได้ยินข่าวด้วยความรวดเร็ว นางรีบตรงไปยังโถงหน้า โดยที่ยังไม่ได้เปลี่ยนชุดด้วยซ้ำ บนศีรษะประดับปิ่นปักผมแค่อันเดียว นอกนั้นก็ไม่มีเครื่องประดับอันใดอีก คล้ายว่านางยังอยู่ในช่วงพักผ่อนและถูกทำให้ตกใจกะทันหันก็ไม่ปาน ทุกคนที่เห็นนางเข้ามาต่างคิดเช่นนั้น ทหารหลายนายที่อยู่ด้วยก็ไม่ต่างกัน จินเหยาเดินไปหาเซียวอวี้ที่นั่งข้างหลินเยี่ย
“ท่านอ๋อง เกิดเรื่องใดขึ้น”
“เสด็จพ่อถูกลอบปลงพระชนม์ อาการหนักไม่เบา” เซียวอวี้ตอบนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย ต่อหน้าคนนอกไม่อาจหักหน้าพระชายาของตนให้เป็นที่ติฉิน เขาจึงได้พูดกับนาง
จินเหยาจึงหันไปหาพวกทหาร “แล้วพวกท่านคือ…”
“พวกข้าน้อยคือทหารรักษาการณ์วังหลวง ฝ่าบาทถูกลอบปลงพระชนม์หลังจากลี่อ๋องออกจากวังแล้ว วันนี้ทรงให้ท่านอ๋องเข้าเฝ้าเพียงคนเดียว พวกข้าน้อยจำเป็นต้องกักตัวท่านอ๋องไว้ชั่วขณะ จนกว่าจะสืบความได้กระจ่างแล้ว ขอท่านอ๋องและพระชายาจงอยู่ในจวน คนนอกอย่าได้เข้ามา คนในก็อย่าได้ออกไปจากจวนเถอะขอรับ”
จินเหยาหันมองเซียวอวี้ อีกฝ่ายก็สบตานางและเมินไปทางอื่น จินเหยามิได้มองหลินเยี่ยแม้แต่น้อย นางพูดคุยกับทหารรักษาการณ์ไม่กี่ประโยคก็สั่งสาวใช้ยกชาและของว่างมาให้พวกเขา จากนั้นตัวนางก็ขอตัวกลับเรือน ในเมื่อพวกทหารยังคงอยู่ที่นี่คอยดูแลจวนอ๋องอยู่ เจ้าบ้านก็ไม่อาจทำอะไรได้อีกนอกจากแยกย้ายกันกลับเรือนและรอฟังข่าว
การสืบสวนไม่ง่ายเพราะคนร้ายคือนักฆ่าเดนตายที่พร้อมพลีชีพอยู่ก่อนแล้ว ยังไม่ทันได้สอบสวนฝ่ายนั้นก็ชิงฆ่าตัวตายเสียก่อน
เหล่าชนชั้นสูงก็วิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา บ้างก็โยงไปถึงเซียวอวี้ที่เข้าเฝ้าฮ่องเต้ก่อนพระองค์จะถูกลอบปลงพระชนม์ บ้างก็ว่าเขาถูกฮ่องเต้ตำหนิ บ้างก็ว่าเขาถูกกดดัน บ้างก็ว่าฮองเฮาไม่ได้ทำดีกับหญิงที่เขาโปรดปรานจึงเลือกจะลงมือ บ้างก็บอกว่าเขาสงบเสงี่ยมมาตลอด ไม่มีทางทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้เป็นแน่
แต่ที่แน่ๆ ในตอนนี้คือ คนในจวนลี่อ๋องได้แต่หวาดผวากลัวจะเป็นแพะรับบาปไปด้วยเท่านั้น ถึงขนาดมีสาวใช้แอบเก็บของเพื่อหลบหนีออกจากจวน แต่ถูกพวกทหารรักษาการณ์พบเข้าเสียก่อน จึงถูกจับไปขังคุกของกรมอาญาเสียเลย
บรรยากาศในเมืองหลวงไม่คึกคักเช่นเคย ในวังก็ไม่ต่างกัน หมอหลวงผลัดกันเฝ้าดูพระอาการเวรละสามคน ที่ตำหนักบรรทมฮองเฮา กุ้ยเฟยและสนมชายาทั้งหลายเฝ้าไม่ห่าง โอรสและสะใภ้หลวงก็มากันพร้อมหน้า รวมไปถึงพระญาติอีกโขยงใหญ่ แต่ก็ยกเว้นคนในจวนลี่อ๋องที่ถูกกักบริเวณเพราะยังสืบหาตัวคนร้ายไม่ได้
“คราวนี้เจ้าห้าลำบากจริงๆ แล้ว” คนพูดคือสู่อ๋อง
พระชายาเต๋ออ๋องหันมองหน้าสามี อีกฝ่ายก็หันมามองหน้านางนิ่งไม่ได้พูดสิ่งใด แต่ก็รับรู้จากสายตาได้ว่า พวกตนไม่เชื่อว่าเรื่องนี้คือฝีมือน้องห้า แม้เต๋ออ๋องจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนัก แต่เขาก็รู้เรื่องภายในทุกอย่าง เขารู้ดีว่าพี่ใหญ่กับพี่สามจ้องบัลลังก์ตาเป็นมัน แต่ติดที่องค์รัชทายาทมีบ้านเดิมของฮองเฮาหนุนหลัง ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงชิงมันมาได้นานแล้ว
หมอหลวงหวั่นเดินออกมาพร้อมถวายบังคมฮองเฮา “ฝ่าบาททรงฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทรงตรัสว่าให้ทุกคนกลับไปพักผ่อนและเรียกลี่อ๋องกับพระชายาเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์”
หลี่กุ้ยเฟยลอบกำมือเน้น นางชำเลืองไปทางฮองเฮา เห็นอีกฝ่ายแสร้งเช็ดน้ำตาและสั่งให้ทุกคนแยกย้ายแล้วหันไปสั่งขันทีคนหนึ่งไปตามคนที่จวนลี่อ๋อง
“ท่าทางเช่นนั้นทำให้ใครดูกัน” หลี่กุ้ยเฟยแค่นยิ้ม เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็เผยสีหน้าเศร้าสร้อย แต่ก็แยกย้ายไปพร้อมกับคนอื่น
ฮองเฮาชายตามองตามเงาหลังของหลี่กุ้ยเฟยและสู่อ๋องกับจิ้นอ๋องไปเงียบๆ
“เรื่องโง่เง่าเช่นนี้ก็กล้าทำ” ฮองเฮาออกเดินไปพร้อมกับนางกำนัลข้างกาย ก่อนจะโน้มหน้าลงไปกระซิบบางอย่างข้างหูอีกฝ่าย
“ช่วงนี้ให้จับตาดูจวนสู่อ๋องกับจิ้นอ๋องมากหน่อย”
“เพคะ” นางกำนัลตอบรับเสียงเบาและผละจากไป
“จ้าวโหยว เจ้าว่าใครทำ” ขณะที่เอ่ยนางก็ค่อยๆ เดินไปพร้อมกับลูบปลอกเล็บไปด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“เรื่องนี้บ่าวไม่กล้าปากมาก แต่หากให้คิดกันเล่นๆ เดิมทีสู่อ๋องจะดึงลี่อ๋องเข้าพวก แต่ช่วงนี้มหาเสนาบดีหลินทำการผิดพลาด ฝ่าบาทไม่ค่อยพอพระทัย ซ้ำลี่อ๋องก็คงไม่ได้ดั่งใจสู่อ๋องนัก ดูจากที่เมื่อวานเขาต้อนรับแขกสิ ไม่ไว้หน้าสู่อ๋องพี่น้องแม้แต่น้อย นี่อาจทำให้สู่อ๋องขุ่นเคืองใจ จึงคิดแค้นและตั้งใจจะทิ้งหมากตัวนี้ แต่จะทิ้งทั้งทีก็ต้องมีประโยชน์กับตัวเองบ้างไม่มากก็น้อยคงจะดีกว่ากำจัดทิ้งไปเปล่าๆ”
“แต่เขาหาเรื่องหลินเต๋อจง ก็ไม่เท่าเสียโอกาสไปหรอกหรือ”
“มหาเสนาบดีนั้น ใครจะเป็นก็ได้มิใช่หรือ ใต้เท้าหลินอายุมากแล้ว วางตัวเป็นกลางแต่ก็มากเล่ห์เพทุบายนัก ฝ่าบาทเองก็ยังไม่กล้าวางใจในตัวเขาเลยพ่ะย่ะค่ะ สู่อ๋องก็เป็นคนขี้ระแวง เขาไม่ใช้งานคนเช่นนี้แน่ อีกอย่าง หลี่รั่วได้เข้าคณะขุนนางแล้ว ไม่แน่ว่าหลังจากนี่จะ...”
คำที่ละไว้ต่างก็เข้าใจ หลี่รั่วเป็นน้องชายของหลี่กุ้ยเฟย เขาเป็นคนมีความสามารถจริง เพียงแต่เกิดในตระกูลเช่นนั้น ฮองเฮาจึงชื่นชมเขาไม่ลง และต่อไปต้องระวังคนผู้นี้ไว้ให้มากอีกด้วย
