Chapter 10 ศักดิ์ศรีสำคัญกว่าชีวิต?
วันนี้ทั้งวันฉันเรียนไม่รู้เรื่องเลย เวลาเรียนคหกรรมฉันก็ต้องอยู่กับเพื่อนร่วมห้องที่เป็นผู้ชายเพราะครีมไม่อยู่กับฉัน เราสองคนไม่ได้พูดกันสักคำ จริงๆฉันพูดกับครีมนะ แต่มันไม่พูดกับฉัน สุดท้ายฉันก็ต้องเงียบ ฉันถูกพวกนิ้งซุบซิบและหัวเราะเยาะเพราะพวกมันคงรู้ว่าเราทะเลาะกัน
ตกเย็นฉันเดินออกมานอกรั้วโรงเรียนและอยู่ดีๆก็มีคนเดินมาดักหน้าฉันไว้
กึก~
เป็นผู้ชายที่ใส่ช็อปสีเทาสามสี่คน...
ฉันพยายามเบี่ยงตัวหลบแต่พวกเขาก็เบี่ยงตัวตามมาขวางไว้ ฉันเงยหน้ามองพวกเขาอย่างไม่พอใจ
"ขอทางหน่อยค่ะ"
ฉันพูดทั้งๆที่รู้ว่าพวกนี้จงใจดักหน้าฉัน เพราะพื้นที่ตรงนี้กว้างมากนะ จะนอนกลิ้งบนพื้นไปมายังได้ ทำไมต้องมาขวางทางล่ะถ้าไม่ตั้งใจ
"คนนี้เหรอ มึงแน่ใจนะ?"
ผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดเอียงคอมองหน้าฉันและถามขึ้น ฉันได้ยินเสียงของคนที่เป็นแบล็คกราวข้างหลังตอบเขากลับมา
"แน่ใจพี่ ผมจำได้"
ฉันไม่รู้หรอกว่าพวกนี้จะจำอะไรฉันได้ และมันเกี่ยวกับฉันยังไง แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันจำได้คือพวกนี้เคยมีเรื่องกับไอ้พี่เกียร์ ฉันจำได้จากสีช็อปและหน้าตาคุ้นๆของพวกนี้
ขวับ~
ฉันถอยหลังและหันหนีเพื่อเดินกลับเข้าไปในโรงเรียนทันที
หมับ~
แต่ก็ถูกคว้าแขนเอาไว้จนได้ ผู้ชายคนนั้นดึงแขนฉันให้หันกลับไปหาเขา
"เดี๋ยวสิน้อง"
เขามองฉันยิ้มๆ แต่หน้าตายิ้มๆของเขานี่มันไม่เป็นมิตรเอาซะเลย
"แฟนใหม่ไอ้เกียร์ป้ะ?"
"ห้ะ?"
ฉันร้องถาม เอาอะไรมาคิดว่าฉันเป็นแฟนไอ้หมอนั่น
"เมื่อวานไอ้นี่มันเห็นว่าน้องซ้อนท้ายรถไอ้เกียร์อยู่"
เขาพูดพลางพยักเพยิดไปที่ผู้ชายคนหนึ่งที่ตอบคำถามเขาในครั้งแรก ฉันเหลือบมองผู้ชายคนนั้น
เห็นอะไร เห็นตอนไหน เห็นตั้งแต่เมื่อไหร่วะ?
"ผิดคนแล้ว"
ฉันตอบพลางบิดแขนออกจากพวกนั้น
"แต่...เสียงคุ้นๆว่ะ"
ผู้ชายคนนั้นขมวดคิ้วจ้องฉัน
"ไม่ผิดหรอกพี่ จำได้ เมื่อวานใส่เสื้อคลุมสีฟ้า กางเกงยีนส์ขาสั้น ปล่อยผม รองเท้าสีขาว ซ้อนท้ายรถมันอยู่"
แหม พูดมาซะตรงเปะเลยนะ แต่ใครจะไปยอมรับล่ะ
"โอ้โห เสื้อกางเกง รองเท้าแบบนั้นมีตามตลาดนัดเยอะแยะไปนะ แล้วนี่ก็หน้าโหลด้วย มีคนเหมือนเพียบเลย ไม่ใช่แล้วล่ะ"
ฉันปฏิเสธจนคนที่จับแขนฉันเริ่มไม่แน่ใจ แต่ไอ้คนข้างหลังก็ยังสะกิดยิกๆบอกว่าใช่
"ถ้าไม่เชื่อ เดี๋ยวจะไปตามผู้หญิงอีกห้องมาให้ดู หน้าเหมือนฉันมากเลยนะ บางทีอาจจะเป็นคนนั้นก็ได้"
"..."
"ปล่อยนะ ไปตามมาให้แป่บเดียว ไม่หนีหรอก ยังไงทางออกมันก็มีทางเดียวนี่"
ฉันเกลี่ยกล่อมจนผู้ชายคนนั้นยอมปล่อยแขน พอแขนเป็นอิสระฉันก็รีบกลับเข้ามาในโรงเรียนทันที
ก็เชิญยืนรอต่อไปเถอะย่ะ คนที่เหมือนฉันในโรงเรียนนี้ไม่มีหรอก มีก็แค่ฉันคนเดียวนี่แหละ และถึงฉันจะบอกว่าโรงเรียนนี้มีประตูทางออกทางเดียว นั่นมันก็จริง
สวบ~
แต่ก็ใช่ว่ากำแพงหลังโรงเรียนจะปีนออกไปไม่ได้ พวกผู้ชายโดดเรียนกันเยอะแยะไป
ฉันหยุดยืนที่กำแพงหลังโรงเรียน ถามว่าเคยโดดไหม ก็ไม่เคยนะ แต่เคยเห็นพวกเพื่อนๆผู้ชายโดดอยู่ ฉันเห็นบ่อยแต่ไม่เคยบอกอาจารย์เพราะพวกมันจะเรียนหรือจะโดด มันก็ไม่ใช่เรื่องของฉัน ไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว ถ้าพวกนั้นไม่รักตัวเอง ก็คงไม่มีใครช่วยได้หรอก จริงมั้ย?
แต่วันนี้ฉันคงต้องโดดกำแพงบ้างแล้วล่ะ
ฮึบ~
ฉันโยนกระเป๋าข้ามกำแพงไป และไปลากเก้าอี้ที่พวกผู้ชายใช้ต่อขาเพื่อปีนกำแพงมาและกระโดดเกาะขอบกำแพงเพราะฉันตัวเตี้ยกว่าพวกนั้น การปีนของฉันก็เลยทุลักทุเลกว่า
พรึ่บ~
หลังจากขึ้นมาบนกำแพงได้สำเร็จ ฉันก็ตวัดเรียวขาไปอีกฝั่งของกำแพงเพื่อเตรียมจะโดดลงไปแต่ก็ต้องชะงัก
"สูงนี่หว่า"
ฉันพึมพำ เพราะระดับดินระหว่างในโรงเรียนกับภายนอกกำแพงไม่เท่ากัน ดินในโรงเรียนถูกถมให้สูงกว่า ดังนั้นด้านนอกที่เป็นดินลูกรังและเป็นถนนเส้นเล็กๆ ด้านข้างมีหญ้าคาขึ้นสูงมากทำให้ฉันแอบกลัวนิดๆ
โดดลงไป ทรงตัวไม่ดีมีสิทธิ์ขาหักเลยน่ะนั่น
"จะนั่งโชว์กางเกงในอีกนานมั้ย?"
"เห้ย!"
ฉันหันไปมองทางต้นเสียงที่อยู่ดีๆก็พูดขึ้น เห็นใบหน้าของไอ้พี่เกียร์ที่ดันโผล่มายืนพิงกำแพงอยู่ข้างๆขาฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ดีที่ตอนตวัดขาออกมา ขาฉันไม่ฟาดหน้าเขาเข้าให้
ถึงว่า...ได้กลิ่นบุหรี่จางๆ
"อะ อะไรเนี่ย!"
ฉันถามเสียงสูงพลางรีบจับชายกระโปรงตัวเองให้มิดชิด ไม่รู้ไอ้บ้านี่เห็นกางเกงในฉันจริงมั้ย แต่เฮ้ย ฉันใส่ซับในนะเว้ย แต่ยังไงมันก็ไม่สมควรที่ใครจะมามองอยู่ดีแหละ
"ลงมาให้ไว"
เขาเงยหน้ามาพูดกับฉันเล่นเอาฉันต้องขยับตัวเพราะกลัวเขาจะมองเห็นอะไรในมุมช้อนแบบนี้
"มายุ่งอะไรด้วย"
"ลีลามาก!"
หมับ~
"อ๊ะ"
พรึ่บ~
"กรี้ดดด!"
รู้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น เอาตามลำดับเลยนะ พอเขาพ่นคำว่า'ลีลามาก'ออกมา เขาก็ตะปบข้อเท้าฉันและดึงฉันลงมาจากกำแพงอย่างรวดเร็วจนฉันไม่ทันตั้งตัว ฉันกรี้ดเพราะความตกใจและความกลัว หัวใจฉันตกไปอยู่ตาตุ่มเพราะคิดว่าต้องเจ็บแน่ๆแต่พอตกลงไปแล้วกลับไม่เป็นอย่างที่คิด
เพราะว่าเขา...
ฟลุ่บ~
เขาเป็นคนรับตัวฉันไว้ และตอนนี้แขนของเขาก็รวบตัวฉันอยู่เพื่อไม่ให้ฉันล้มลงไป
"อะ ไอ้บ้า ทำอะไรวะ ตกมาขาหักจะทำไงห้ะ!"
ฉันโวยใส่เขาทันทีที่ตั้งสติได้และไม่วายดิ้นออกจากอ้อมแขนเขาด้วย
"หาหมอ"
เขาตอบพลางยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
"กวนตีน!"
"ด่าใคร!"
"มีกันอยู่สองคน ด่าตัวเองมั้ง"
"เออ มีกันอยู่สองคน ลากลงดงเลยดีมั้ย"
หมับ~
ไม่พูดเปล่าเขายังคว้าแขนฉันและทำท่าจะลากฉันลงไปในพงหญ้าคาจริงๆด้วย
"ยะ อย่านะ อย่ามาทำแบบนี้ ไม่มีอารมณ์มาตีกับพี่นะ!"
ฉันรั้งตัวเองไว้และบอกเขา พอพูดแบบนี้แล้วความรู้สึกแย่ๆที่อุตส่าห์ทำใจลืมไปชั่วขณะก็วนกลับมาอีก
เขาหันมามองหน้าฉันและกรอกตาบ้าง
"แค่นี้ก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว"
"เออ ก็ไปขึ้นรถ"
"ทำไม"
"ก็จะไปส่ง หรือจะออกไปหาไอ้พวกเวรนั่นล่ะ"
"พี่รู้ได้ไง?"
"รู้แล้วกัน อย่าพูดมาก รำคาญ"
"..."
ฉันมองหน้าเขา อยากรู้จริงๆว่าเขาเป็นคนยังไงกันแน่ ทั้งๆที่ฉันคิดว่าเราอาจญาติดีกันไม่ได้ แต่เขากลับยังมาวุ่นวายอยู่กับฉัน เขาปากไม่ดีแต่บางทีการกระทำเขาก็สวนทาง
บางทีฉันก็แอบคิดว่าฉันเห็นเขาแค่ในมุมๆเดียว...ไม่สิ ฉันเคยเห็นอีกมุมของเขาเล็ดลอดออกมานิดหน่อยในวันนั้นไง ที่บ้านพักคนชราน่ะ
"ขึ้นรถดิ"
เขาเดินไปคล่อมรถและใส่หมวกกันน็อก ฉันยังยืนอยู่ที่เดิมและมองแผ่นหลังของเขาจนเขาหันหน้ามาและโยนกระเป๋าของฉันที่ไม่รู้ว่ามันไปห้อยอยู่ที่แฮนด์รถของเขาเมื่อไหร่มาให้ฉัน
ฟึ่บ~
ฉันรับกระเป๋ามากอดไว้อย่างช่วยไม่ได้
"เอ้า จะรอพรมแดงเหรอแม่คุณ"
ปากนี่นะ ถ้าเขาไม่ปากปีจอแบบนี้คงจะดีกว่านี้เยอะ
"ขึ้นรถ!"
เขากดเสียงต่ำอีกครั้ง ฉันชั่งใจอยู่สักพักถึงได้ถอนหายใจและเดินไปเพื่อจะซ้อนท้ายรถเขา
"คล่อม"
"ห้ะ"
"นั่งคล่อม"
เขาพูดผ่านหมวกกันน็อก ฉันหลุบตาลงมองกระโปรงตัวเอง คือฉันใส่กระโปรงไงประเด็น
"ฉันขับเร็ว หงายหลังตกลงไปไม่เก็บ"
เขาบอกและหันไปสตาร์ทรถ ฉันเข้าใจที่เขาพูดนะ คือถ้าฉันโดดขึ้นรถนี่แล้วนั่งไพล่มันก็เสี่ยงที่ฉันจะหงายหลังตกลงไปได้เหมือนกันเพราะจากที่เคยซ้อนเขาก็รู้แหละว่าเขาขับรถไวจริงๆ
พรึ่บ~
ก็ต้องยอมนั่งคล่อมจนได้ เขาหันมามองฉันด้วยหางตาก่อนจะออกรถโดยไม่พูดอะไรอีกเลย
พี่เกียร์ขับรถพาฉันมาสถานที่แห่งหนึ่ง อยู่ดีๆเขาก็จอดรถ ฉันเองก็ได้แต่ลงจากรถอย่างงงๆ ตรงนี้เป็นลานหญ้ากว้างๆ ด้านหน้าเป็นบึงน้ำ เงียบสงบและลมพัดโชยมาเบาๆ
หวังว่าในบึงคงไม่มีจระเข้ที่เขาแอบเอามาเลี้ยงไว้หรอกนะ
"..."
ฉันเงียบมองเขาที่ตวัดขาลงจากรถและยืนพิงรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง ถอดหมวกกันน็อกและล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงเหมือนจะหยิบอะไรบางอย่างออกมาแต่แล้วก็ชะงักและชักมือออกมาพร้อมกับเงยหน้ามองท้องฟ้าเงียบๆ
ส่วนฉันจะทำอะไรได้ล่ะ จริงๆฉันเองก็อยากหาที่เงียบๆอยู่เหมือนกัน
"..."
ก็ได้แต่สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เก็บอากาศบริสุทธิ์เข้าไปชโลมปอดกับหัวใจและหลับตาลงปล่อยให้ความเงียบและลมพัดผ่านร่างกายอันเหนื่อยล้าของตัวเองไป
รู้สึกดีจัง...
"..."
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานหรือเปล่า แต่ฉันรู้สึกดีขึ้นนะ มันเหมือนได้พักทั้งสมองและร่างกาย ได้อยู่นิ่งๆ ได้อยู่เงียบๆ ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น จนฉันค่อยๆลืมตาขึ้น
และก็ดันเห็นว่าเขามองฉันอยู่ ก็เลยต้องเบนสายตาหนีไปทางอื่น
"ตรงนี้เงียบดี"
และพยายามที่จะพูดขึ้นเพื่อไม่ให้บรรยากาศมันเงียบเกินไป ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ฉันอยากอยู่เงียบๆ แต่พอลืมตามาและพบว่าโลกแห่งความจริงตรงหน้าเป็นอย่างไรฉันก็ต้องพูด พูดเพื่อไม่ให้รู้สึกโดดเดี่ยว
"อืม"
เขาครางรับสั้นๆ ฉันหันไปมองเขาก็เห็นว่าเขายังมองฉันอยู่
"จะ...มองทำไมนัก"
ก็เลยอดท้วงไม่ได้ เผื่อเขาจะลืมตัวไปว่ากำลังทำอะไรอยู่
"มีเรื่องจะพูดด้วย"
"ห้ะ?"
คนอย่างเขาเนี่ยนะ มีเรื่องจะพูดกับฉัน
"ไอ้พวกช็อปเทานั่น หลบได้ก็หลบ"
"ทำไมต้อง..."
"เธอซวยเองที่มาอยู่กับฉันให้พวกมันเห็น"
"อ้าว"
มันผิดที่ฉันเหรอ ไม่สิ มันผิดที่ดวงซวยๆของฉัน
"พวกมันจ้องเล่นงานฉันอยู่ กัดไม่เลิก"
"ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย"
ฉันส่ายหน้าเขายืดตัวขึ้นตรงและมองหน้าฉัน อยู่ดีๆเราก็คุยกันด้วยถ้อยคำที่ปกติมากขึ้น หมายถึงไม่เสียงดังใส่กัน และไม่กวนกันไปมาน่ะนะ
"มีเรื่องกันเอง ทำไมต้องเอาคนอื่นไปเกี่ยวด้วย"
"ก็ไม่ได้อยากจะเอาไปเกี่ยว แต่พวกมันปัญญาอ่อนไง อะไรที่เกี่ยวกับฉันมันจะหาเรื่องให้โดนตีน เข้าใจมั้ย"
"ไม่เข้าใจ อยู่ดีๆไม่ชอบกันเหรอ"
"ไปถามพวกมันดิ"
"..."
"ฉันก็อยู่ของฉัน ถ้ามันไม่แกว่งตัวมาหาตีนก็ช่างแม่งมัน แต่มันไม่ใช่ไงก็เห็นไม่ใช่เหรอ ว่าฉันมีเรื่องกับพวกมันกี่ครั้งแล้ว แต่ถ้าไม่อยากหลบ ถ้ามันเข้ามาหา ก็บอกมันไปว่า..."
"..."
"เป็นแฟนไอ้คิณซะ"
"ห้ะ"
"ก็เลือกเอา"
"พวกมันคงมองว่ามั่ว วันนั้นอยู่กับอีกคน วันนี้มาบอกว่าเป็นแฟนอีกคน"
"กวนตีน?"
ไม่ได้กวนแค่แขวะ จำได้มั้ยล่ะ ว่าเมื่อเช้าเขาเป็นคนว่าฉันเอง
"พูดเรื่องจริง"
"หึ"
"แล้วเมื่อไหร่เรื่องมันจะจบ"
"ตายมั้ง"
เขาพูดออกมาแบบเฉยชามาก แต่เชื่อมั้ย คำว่าตายจากปากเขาทำเอาฉันใจหล่นวูบ สำหรับฉัน ความตายเป็นการลาจากที่ทรมานที่สุดในโลกเลย เป็นความทรมานของคนที่ยังอยู่...
"ศักดิ์ศรีมันสำคัญกว่าชีวิตเหรอ..."
Rrrr~
แต่แล้วเสียงมือถือของเขาก็ดังขึ้น เขาละสายตาจากฉันและล้วงเอามือถือจากกระเป๋าเสื้อช็อปด้านในเสื้อแจ็กเก็ตที่เขาใส่ออกมา เขาหลุบตาลงมองที่หน้าจอ
"เออ"
และกรอกเสียงลงไป
"พวกมึงอยู่ไหน?"
ฉันไม่รู้ว่าปลายสายเป็นใคร แต่ถ้าให้ฉันเดา ฉันว่าเป็นพี่เรย์
"รีบเหรอ แดกแต่หัววัน เออ เดี๋ยวกูกลับ ไปส่ง..."
เขาหยุดเสียงลงก่อนจะพูดขึ้นอีก
"เรื่องของกู แค่นี้แหละ"
พูดจบเขาก็ตัดสาย จากนั้นก็หันมามองฉันและพูดกับฉันสั้นๆ
"กลับ"
