เส้นทางมาบรรจบ
เส้นทางมาบรรจบ
เช้าวันใหม่ในบ้านหลังใหญ่ของตระกูลญาดาเริ่มต้นด้วยความเงียบที่อัดแน่นไปด้วยอำนาจและความตึงเครียด แสงอาทิตย์ส่องลอดม่านผ้าม่านหนา ลายดอกไม้สีทองสะท้อนบนพื้นหินอ่อนเย็นยะเยือก ญาดานั่งอยู่ริมหน้าต่าง ทอดสายตาออกไปยังสวนที่ตกแต่งอย่างประณีต แม้จะสวยงามทุกอณู แต่กลับทำให้หัวใจของเธอหนักอึ้งเหมือนอยู่ในกรงทอง
เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้นอย่างฉับพลัน ทำให้ญาดาเผลอลุกขึ้น ดวงตาของเธอยังคงพร่าเพราะนอนไม่หลับติดต่อกันหลายคืน เสียงพ่อที่อยู่ในห้องทำงานดังขึ้นพร้อมกับท่าทางเคร่งเครียด
“ใช่…ผมเข้าใจดี แต่เรื่องนี้จำเป็นจริง ๆ เหรอ…ให้ลูกสาวตระกูลเข้าร่วมโครงการพิเศษของกองทัพ เพื่อภาพลักษณ์ตระกูล” คำพูดที่หลุดออกมาทำให้หัวใจญาดาสะดุด เธอหยุดก้าวเท้ารู้สึกเหมือนถูกตรึงด้วยแรงกระแทกที่มองไม่เห็น
ไม่นานพ่อก็เปิดประตูออกมา ใบหน้าที่เคร่งขรึมเต็มไปด้วยอำนาจและความหนักแน่น เมื่อเห็นลูกสาวยืนอยู่ เขาก็เดินเข้ามาอย่างมั่นคง
“ญาดา…เราต้องคุยกันเข้ามาก่อน” ญาดานั่งลงบนโซฟาหนังสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาคมเรียวจับจ้องพ่อด้วยความไม่เข้าใจและความโกรธที่ซ่อนอยู่
“โครงการพิเศษค่ายทหารเข้าไปเรียนรู้งาน ทำไมหนูต้องไปเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนั้นด้วยคะ” น้ำเสียงของเธอสั่นเครือ ทั้งสับสน ทั้งโกรธ และเต็มไปด้วยความไม่พอใจ พ่อเงยหน้าขึ้นสูดหายใจลึก แล้วตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“มันเป็นคำสั่งกึ่งบังคับจากข้างบน ญาดา…ตระกูลของเราอยู่ในสายตาของหลายฝ่าย การที่ลูกสาวของเราไปเข้าร่วมโครงการพิเศษ จะเป็นภาพลักษณ์ที่ดี ว่าเราให้ความร่วมมือกับรัฐ ไม่ใช่เอาแต่หมกตัวอยู่ในโลกของเรา” ญาดาหัวเราะในลำคอ เสียงหัวเราะขมขื่นและเย็นชา
“ภาพลักษณ์…หนูไม่ใช่หุ่นโชว์นะคะพ่อ หนูคือคน ไม่ใช่เครื่องมือสร้างภาพให้ใคร” แววตาพ่อวาบขึ้นด้วยความไม่พอใจ แต่พยายามควบคุมอารมณ์
“ญาดา ฟังพ่อนะ…พ่อรู้ว่ามันไม่ง่ายสำหรับลูก แต่บางครั้ง เราต้องเสียสละเพื่อสิ่งที่ใหญ่กว่า” คำว่า “เสียสละ” แทงลึกเข้ามาในใจของญาดาอีกครั้ง เธอกัดฟันแน่นพลางคิด
อีกแล้ว…ทำไมทุกครั้งที่มีเรื่องสำคัญ พ่อถึงเลือกแทนหนูตลอด? หนูอยากมีชีวิตของหนูเองบ้างไม่ได้เลยเหรอ…
เธอเงียบไปนานก่อนจะถามเสียงเบาแต่ชัดเจน
“หนู…จะต้องไปค่ายทหารจริง ๆ ใช่ไหมคะ” พ่อพยักหน้าโดยไม่ลดละความหนักแน่น
“ใช่ ลูกต้องไป พรุ่งนี้เช้าจะมีรถมารับไปยังค่ายทหาร” ญาดารู้สึกหัวใจหายวาบ แต่ไม่สามารถเอ่ยปฏิเสธได้ความโกรธและความขมขื่นแผ่ซ่าน เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้ก้าวออกจากห้องด้วยสีหน้าเย็นชา ไม่มีแม้แต่คำลาก่อน
การเผชิญหน้าครั้งแรกหน้ากองร้อย
เสียงเครื่องยนต์ของรถหรูดับลงที่ลานกว้างหน้ากองร้อย ความเงียบเข้ามาแทนที่ชั่วขณะ ญาดาก้าวลงจากรถในชุดกระโปรงเรียบหรูที่ถูกเลือกมาอย่างพิถีพิถัน ผมยาวสลวยถูกรวบอย่างเป็นระเบียบ เธอยกสายตาขึ้นมองตึกกองร้อยสูงใหญ่สีเทาหม่นที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า อาคารนั้นไม่ต่างอะไรจากกำแพงขวางกั้น ที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังจะก้าวเข้าสู่โลกอีกใบ โลกที่ไม่ใช่ของเธอ
รอบ ๆ มีเสียงตะโกนคำสั่งของครูฝึกดังสะท้อนลานกว้าง ผสมกับเสียงรองเท้าบู๊ตที่กระแทกพื้นพร้อมเพรียง ทุกอย่างเต็มไปด้วยวินัยและระเบียบ ญาดาสูดหายใจเข้าลึก กลิ่นอายของดินฝุ่นปนเหงื่อของทหารหนุ่มต่างจากกลิ่นดอกไม้ในสวนบ้านเธอโดยสิ้นเชิง
หัวใจเธอเต้นแรงผิดปกติ มือเล็กกำชายกระโปรงแน่น เธอพยายามบังคับร่างกายไม่ให้แสดงอาการหวั่นไหวออกมา
“ไม่เคยมีสิ่งใดง่าย… ครั้งนี้ก็เช่นกัน… แต่หนูจะไม่ยอมแพ้”
ทันใดนั้นเองเสียงฝีเท้าแน่วแน่ก็ดังใกล้เข้ามา ญาดาเงยหน้าขึ้น ดวงตาเธอสะดุดเข้ากับชายหนุ่มในชุดทหารเต็มยศยืนรออยู่ตรงหน้าบันไดกองร้อย
ดวงตาคมเข้มใต้คิ้วหนาเหมือนมีแรงกดดันมหาศาลจ้องตรงมา เขาไม่ได้พูดอะไรในทันทีเพียงแต่ยืนนิ่ง ท่าทางนั้นกลับสร้างความเกรงขามยิ่งกว่าคำสั่งเสียงดัง
ญาดารู้สึกเหมือนร่างกายแข็งค้าง สายตาของเขาเหมือนกำลังชั่งน้ำหนักทุกอิริยาบถของเธอ เธอเองก็รู้ว่าการมาที่นี่ไม่ใช่เพราะความสมัครใจ แต่เพราะถูกบังคับให้มา
ภูมินทร์เองก็สะดุดใจ เขาไม่ได้คาดคิดว่าจะได้พบเด็กสาววัยยี่สิบต้น ๆ ในสถานที่แห่งนี้ ร่างเล็กที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนตัดกับ แววตาของเธอมันไม่ใช่แววตาของคนอ่อนแอ หากแต่เป็นแววตาที่ซ่อนความดื้อรั้นและความมุ่งมั่นไว้ลึก ๆ แอบแฝงความโดดเดี่ยว
“คุณญาดาใช่ไหมครับ” เสียงทุ้มเข้มดังขึ้นจากเบื้องหน้า
ภูมินทร์ยืนตัวตรงในชุดเครื่องแบบสีเขียวขี้ม้า แขนเสื้อพับอย่างเป็นระเบียบ ดวงตาคมของเขาสบเข้ากับเธอเต็มแรง ญาดาแทบหายใจติดขัด เธอพยายามยืนตัวตรงไม่ต่างจากทหาร แม้ไม่เคยฝึกมาก่อน
"ใช่ค่ะ" ญาดาเผชิญหน้ากับเขาตอบทันที
“ตั้งแต่นี้ไป คุณจะอยู่ในความรับผิดชอบของผม” เขาพูดชัดถ้อยชัดคำน้ำเสียงไม่ดังนัก แต่กลับหนักแน่นพอที่จะทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกตรึงกับพื้น. ญาดากลืนน้ำลาย ฝืนตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่พยายามควบคุมให้มั่นคง
“ค่ะ ดิฉัน…จะทำให้ดีที่สุด”
สายตาของภูมินทร์กวาดมองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เหมือนจะประเมินว่าคนตรงหน้าคู่ควรจะอยู่ในที่แห่งนี้หรือไม่ ญาดารู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ไหลบ่ามากกว่าการถูกกดดันจากที่บ้าน
หัวใจของญาดาเต้นแรงจนแทบทะลุอก ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจเธอ นี่คือโลกที่เขาอยู่ โลกที่เข้มงวด เย็นชา และเต็มไปด้วยกฎระเบียบ
แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงเสน่ห์บางอย่าง ในท่าทางมั่นคงนั้น ความแข็งแกร่งที่เขามีคือสิ่งที่เธอไม่เคยสัมผัสจากใครในบ้านใหญ่ที่เต็มไปด้วยอำนาจแต่ไร้ความอบอุ่น ภูมินทร์ไม่ปล่อยให้เธอได้พัก เขาหันหลังแล้วเอ่ยสั้น ๆ
“ตามมา”
---
ก้าวแรกในค่าย
ญาดาก้าวตามเขาเข้าไปในอาคารกองร้อย กลิ่นเหล็ก น้ำยาทำความสะอาด และเอกสารที่ถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบตีกระทบจมูก ภายในห้องทำงานหลัก มีกระดานแผนงานเต็มไปด้วยตารางเวลาการฝึก การจัดเวร และรายงานสรุปผล
“งานของคุณไม่ใช่การฝึก แต่คือการเรียนรู้ระบบที่นี่” ภูมินทร์เอ่ยพลางหยิบแฟ้มเอกสารวางลงตรงหน้าเธอ
“ตั้งแต่วันนี้ คุณจะช่วยฝ่ายบริหารวางแผนและประสานงาน ถ้าไม่เข้าใจ ให้ถาม แต่ผมหวังว่าคุณจะไม่ทำให้เสียเวลา”
ญาดามองแฟ้มหนาหนักตรงหน้า ลมหายใจขาดห้วงไปชั่วขณะ ก่อนจะพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ นี่คือการทดสอบครั้งแรก ถ้าหนูถอยหนูจะไม่มีวันก้าวออกจากกรงที่บ้านได้
แม้จะเป็นเพียงการเดินสำรวจ แต่ภูมินทร์ทำให้ทุกย่างก้าวเหมือนอยู่ในการสอบ เขาอธิบายถึงแต่ละฝ่าย ตั้งแต่โลจิสติกส์ที่ดูแลเสบียง การจัดการกำลังพล ไปจนถึงการวางแผนฝึกซ้อม ญาดาพยายามจดจำทุกอย่าง ทั้งคำศัพท์ที่ไม่คุ้นหู และระบบที่ซับซ้อน
เมื่อเดินผ่านสนามกลางค่าย เธอเห็นทหารนับร้อยกำลังฝึกพร้อมเพรียง เสียงตะโกนคำสั่งกระหึ่มจนร่างกายสั่นสะท้าน ภูมินทร์หันมามองเธอแล้วเอ่ยเรียบ ๆ
“คุณอาจไม่ต้องทำแบบนั้น แต่คุณต้องเข้าใจ เพราะที่นี่ ทุกสิ่งเคลื่อนไหวด้วยระบบนี้ ถ้าไม่เข้าใจคุณก็อยู่ไม่ได้”
ญาดาเงยหน้าขึ้นสบตาเขา หัวใจเต้นแรงอีกครั้ง
...ใช่หนูต้องเข้าใจแต่หนูก็ยังอยากเป็นตัวของหนูเองไม่ใช่แค่หุ่นในกรอบที่ใครกำหนด
ญาดารู้สึกถึงความเงียบที่โอบรอบทั้งคู่ขณะยืนอยู่กลางสนามฝึก แสงแดดยามสายส่องสะท้อนบนเหงื่อของเหล่าทหาร เสียงตะโกนดังเป็นฉากหลัง แต่สิ่งที่เธอรับรู้ได้ชัดคือสายตาคมของภูมินทร์ที่จับจ้องเธอไม่วาง
การพบกันครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่การเจอกันธรรมดา
มันคือการชนกันของสองโลก โลกแห่งกฎเหล็ก และโลกแห่งหัวใจที่โหยหาความเป็นอิสระ
