วันแรกของงานจริง
วันแรกของงานจริง
ภูมินทร์พาญาดาเข้ามาในอาคารศูนย์โครงการพิเศษที่เขาควบคุมดูแลอยู่ มีเจ้าหน้าที่ทหารสี่นายนั่งทำงาน ห้องกว้างเต็มไปด้วยโต๊ะทำงาน เอกสาร และหน้าจอคอมพิวเตอร์หลายจอ มีนักเรียนทหารบางส่วนกำลังทำงานด้านโลจิสติกส์และวางแผนการฝึก
“นี่คือฝ่ายบริหารและวางแผนกิจกรรม คุณจะต้องช่วยจัดการเอกสาร สรุปผลการฝึก และประสานงานระหว่างฝ่ายต่าง ๆ” เขาชี้ให้ดูโต๊ะและแฟ้มเอกสาร
"เริ่มจากงานง่ายที่สุดก่อน” ญาดาเดินไปนั่งที่โต๊ะที่ถูกจัดเตรียมให้ ใจเต้นแรง มือสั่นเล็กน้อย ขณะเปิดแฟ้มเอกสาร
“คุณคุ้นกับงานเอกสารหรือเปล่า” ภูมินทร์ถาม ขณะยืนอยู่ข้าง ๆ
“เคยทำมาบ้างค่ะ แต่ไม่เคยอยู่ในสภาพแบบนี้” เธอตอบ เสียงเบา แต่ซ่อนความกังวล ภูมินทร์มองเธอเพียงครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวเสียงเรียบ
“ที่นี่ไม่มีเวลาให้ผิดพลาด ถ้าเอกสารสับสนหรือช้ามันส่งผลต่อคนทั้งกองร้อย”
“ค่ะ…หนูเข้าใจแล้ว” ญาดาพยักหน้า พยายามฝืนรอยกังวลออกจากใบหน้าเขาวางแฟ้มเอกสารเพิ่มเติมบนโต๊ะให้
“เริ่มทำตามนี้และทุกชั่วโมงผมจะมาตรวจ คุณต้องทำให้ผมมั่นใจว่าคุณสามารถทำงานได้”ญาดาเงยหน้ามองภูมินทร์ รู้สึกถึงสายตาที่หนักแน่นและไม่ลดละ แม้จะกลัวแต่ก็เกิดความตั้งใจขึ้นในใจ
"หนูจะทำให้ได้…จะพิสูจน์ว่าหนูอยู่รอดได้…ไม่ว่าโลกนี้จะโหดร้ายแค่ไหน"
การทำงานภายใต้สายตาเข้มของเขา ตลอดชั่วโมงแรก ญาดาต้องเรียนรู้ระบบเอกสาร การจัดลำดับข้อมูล และการสรุปผลการฝึก เธอทำงานอย่างระมัดระวัง ภูมินทร์คอยสังเกตทุกขั้นตอน
“นี่ ตัวเลขผิดนะ” เขาชี้ไปยังรายงาน
“อ๋อขอโทษค่ะ หนูแก้ไขเลย” ญาดาตอบอย่างรวดเร็ว มือสั่นแต่พยายามแก้ไขทันที
“ดี แต่จำไว้ว่าครั้งหน้าต้องรอบคอบตั้งแต่แรก” เขาพูดสั้น แต่หนักแน่น
ญาดาได้แต่พยักหน้ายิ่งทำให้เธอรู้สึกว่าเธอต้อง ทำงานเกินความสามารถปกติของตัวเอง เพื่อให้รอดพ้นจากสายตาเขา
หลังจากตรวจเอกสารและทำรายงานแรกเสร็จ ภูมินทร์พาเธอเดินออกไปชมสนามกลางค่ายอีกครั้ง
“คุณเห็นนักเรียนฝึกอยู่ตรงนั้นไหม” เขาชี้ไปที่กลุ่มทหารกำลังวิ่งและทำกิจกรรมต่าง ๆ
“คุณไม่ต้องทำแบบนั้น แต่คุณต้องเข้าใจระบบและความคิดของพวกเขา ถ้าไม่เข้าใจคุณจะทำงานต่อไม่ได้” ญาดามองนักเรียนเหล่านั้นพลางพูดเบาๆ
" โลกนี้มันเข้มงวดและไม่เหมือนบ้านของหนูเลย แต่หนูต้องเรียนรู้ให้ได้…ต้องเข้าใจระบบของเขา" ภูมินทร์สังเกตสีหน้าของเธอเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเบา ๆ
“ดี…ดูเหมือนคุณเริ่มเข้าใจแล้ว” เธอรู้สึกถึงแรงกดดันและแรงดึงดูดในเวลาเดียวกัน
นี่คือจุดเริ่มต้นจุดที่หนูและเขาจะถูกโยงเข้าหากัน…ทั้งโลกของวินัย และหัวใจที่อยากมีอิสระ อยากออกไปจากบ้านหลังนั้นสักที
เสียงนกหวีดที่ดังยาวจากสนามฝึกก้องสะท้อนไปทั่วค่าย ทำให้ญาดาที่กำลังจดบันทึกเอกสารสะดุ้งเฮือกปลายปากกาหยุดนิ่งกลางกระดาษ หัวใจเต้นตามเสียงฝีเท้าหนักที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ประตูห้องถูกผลักเปิดอย่างมั่นคง ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ในชุดครูฝึกเต็มยศจะก้าวเข้ามา
ภูมินทร์ยืนตรงหน้าโต๊ะทำงานของเธอ ใบหน้าคมเข้มไร้รอยยิ้ม ท่าทีสุขุมสงบแต่แฝงด้วยอำนาจบางอย่างที่กดบรรยากาศทั้งห้องให้เงียบงัน
“พักกลางวันแล้ว” เขาเอ่ยสั้น ๆ เสียงทุ้มหนักเหมือนคำสั่งมากกว่าการบอกกล่าว
“คุณไปทานที่โรงอาหารกับกองร้อย” ญาดาเงยหน้าขึ้นช้า ๆ รู้สึกเหมือนสายตาตัวเองไม่กล้าประสานกับเขาตรง ๆ คำพูดนั้นทำให้เธอชะงักไปเล็กน้อย เธอกะพริบตาถี่ก่อนถามอย่างประหม่า
“เอ่อ…ไปกับนักเรียนทหารทั้งหมดเลยเหรอคะ”
เธอไม่แน่ใจว่าตัวเองเผลอถามออกไปเพราะอยากเลี่ยง หรือเพราะยังไม่คุ้นชินกับภาพที่ต้องเดินเข้าไปท่ามกลางผู้ชายร้อยกว่าคนที่อยู่ในระเบียบเคร่งครัด ภูมินทร์นิ่งไปครู่หนึ่ง สายตาคมของเขาเฉียบจนทำให้ญาดารู้สึกเหมือนถูกตรึงให้นั่งตัวตรง
“ใช่” เขาตอบเสียงเรียบหนักแน่น
“กฎของที่นี่คือทุกคนทานพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนหรือเจ้าหน้าที่” เขาหยุดสั้น ๆ ราวกับจงใจเว้นให้คำพูดนั้นซึมเข้าไปในใจ ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่เย็นเฉียบกว่าเดิม
“คุณอยู่ในค่ายนี้แล้ว ก็ต้องทำตามระเบียบเหมือนกัน”
ญาดารีบก้มหน้าลงเล็กน้อย รู้สึกถึงความร้อนวูบที่ข้างแก้ม หัวใจเต้นโครมคราม ทั้งกลัวจะทำให้เขาไม่พอใจ ทั้งเกรงสายตาที่กำลังจะเจอจากนักเรียนทหารนับร้อยในโรงอาหาร
“ค่ะ เข้าใจแล้ว” เธอตอบแผ่วเบาแต่แฝงด้วยความยอมจำนนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ภูมินทร์ไม่พูดอะไรอีก เพียงแค่ก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวแล้วหันตัวเล็กน้อยราวกับบอกให้เธอลุกขึ้นตาม ญาดารีบเก็บเอกสารใส่แฟ้ม มือสั่นจนเกือบทำปากกาหล่น
เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะลุกขึ้นเดินเคียงข้างเขาออกจากห้องด้วยความรู้สึกเหมือนกำลังก้าวเข้าสู่สมรภูมิที่ไม่ใช่สนามฝึก แต่เป็นสมรภูมิของสายตานับร้อยคู่ในโรงอาหารกองร้อยที่กำลังรออยู่ข้างหน้า
---
ญาดาก้าวเดินออกจากอาคารฝ่ายบริหารเคียงข้างภูมินทร์ ความสูงและท่าทางของเขาทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเล็กลงไปถนัด ความเงียบในจังหวะก้าวทหารของเขาเป็นสิ่งที่เธอไม่คุ้นชินนัก ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยจังหวะที่มั่นคงจนเธอเผลอพยายามก้าวตามให้ทัน
ตลอดสองข้างทาง มีนักเรียนทหารใหม่หลายกลุ่มที่กำลังจัดแถวเตรียมเดินเข้าสู่โรงอาหาร สายตาหลายคู่หันมามองเธอทันทีที่เห็นว่ามีพลเรือนเดินเคียงไปกับครูฝึกใหญ่ของกองร้อย บ้างเพียงเหลือบมอง บ้างก็แอบกระซิบกระซาบกันเงียบ ๆ
ญาดากัดริมฝีปากแน่น ก่อนจะพยายามทำลายความกดดันในอากาศด้วยการถามเสียงเบา
“ผู้กอง…เอ่อ งานของคุณนี่ คงเหนื่อยมากเลยใช่ไหมคะ ทั้งฝึกทั้งดูแลนักเรียนทหาร”
ภูมินทร์เหลือบตาลงมามองเพียงเสี้ยววินาที ก่อนตอบเสียงเรียบ
“หน้าที่ของครูฝึกคือทำให้พวกเขาแข็งแกร่งพอจะยืนหยัดในสนามรบ ไม่ใช่เรื่องจะมาเรียกว่าเหนื่อยหรือไม่เหนื่อย” คำตอบนั้นทำให้ญาดาชะงัก ปลายนิ้วกำขอบแฟ้มแน่นขึ้น เธอไม่ได้คาดหวังคำอธิบายยืดยาว แต่ก็ไม่คิดว่าจะตรงและหนักแน่นขนาดนี้
สายตาของนักเรียนทหารบางนายที่เดินผ่านตรงหน้าทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกจับจ้องตั้งแต่หัวจรดเท้า ญาดาเกือบก้มหน้าหนี แต่เสียงตวาดของนายสิบคนหนึ่งดังแทรกขึ้นมาก่อน
“มองตรง รักษาระเบียบ” นักเรียนทหารทั้งหมดรีบหันกลับไปในทิศทางที่กำหนดทันที ไม่มีใครกล้าเหลียวมองเธออีก เสียงรองเท้าทหารกระทบพื้นดังพร้อมกันเป็นจังหวะเดียวราวกับตอกย้ำบรรยากาศกดดัน
ญาดาเผลอก้าวช้าลงนิดหน่อย ก่อนที่ภูมินทร์จะหันหน้าตรงแล้วเอ่ยเสียงเรียบโดยไม่แม้แต่จะมองเธอ
“อย่าคิดมาก สายตาพวกเขาเป็นแค่เรื่องปกติ ทุกคนต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ในระเบียบ” น้ำเสียงนั้นไม่ได้มีเจตนาปลอบใจ แต่กลับทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกบังคับให้ยอมรับกฎของโลกใบนี้มากกว่า
ญาดาได้แต่พยักหน้าเบา ๆ เดินตามเขาไปเรื่อย ๆ สู่โรงอาหารที่อยู่ข้างหน้า อาคารโรงอาหารขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านตรงหน้า กลิ่นอาหารลอยมาตามลม แต่กลับไม่ช่วยให้ญาดารู้สึกผ่อนคลายแม้แต่น้อย รอบ ๆ เต็มไปด้วยนักเรียนทหารที่ทยอยเดินเข้ามาจัดแถวเป็นระเบียบ เสียงตวาดของนายสิบดังเป็นระยะจนเธอรู้สึกเหมือนยืนอยู่ผิดที่ผิดทาง
ญาดาหยุดยืนข้างภูมินทร์ ใบหน้าตึงเครียด เธอกลืนน้ำลายแล้วกระซิบถามเบา ๆ
“ทุกคน…มองมาที่ฉันหมดเลย” ภูมินทร์ยังคงมองตรงไปข้างหน้า ไม่เหลือบตามาทางเธอแม้แต่น้อย แต่เสียงทุ้มเรียบของเขาก็ดังขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ไม่ใช่ที่คุณหรอก เขามองเพราะผมอยู่ตรงนี้” ญาดาชะงัก หันไปมองหน้าเขาด้วยแววตาไม่แน่ใจ
“แต่ว่าฉันรู้สึกเหมือนเป็นตัวประหลาดในสายตาพวกเขา”
ครูฝึกหนุ่มขยับยืนตรงขึ้นเล็กน้อย ร่างสูงใหญ่ของเขาทาบเงาคลุมเกือบทั้งร่างเธอ
“คุณไม่ได้อยู่ที่นี่เพื่อให้พวกเขาพอใจ แต่เพื่อทำหน้าที่ของคุณเข้าใจไหม” เสียงนั้นไม่ดังมาก แต่หนักแน่นพอจะทำให้เธอสะดุ้ง เธอก้มหน้าลงช้า ๆ ก่อนตอบแผ่วเบา
ค่ะ…เข้าใจแล้ว” ไม่นานเสียงตวาดของนายสิบก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“แถวหน้า ตรง”
เสียงฝีเท้าหนักนับร้อยก้าวดังพร้อมกันไปทั่วลานหน้าโรงอาหาร บรรยากาศเข้มข้นจนญาดารู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง เธอหันไปสบตาภูมินทร์อย่างลังเล แต่เขายังคงนิ่งเฉย ใบหน้าเย็นชาเหมือนกำลังย้ำให้เธอจำขึ้นใจว่าที่นี่คือกองร้อยไม่ใช่ที่ที่เธอจะทำตัวตามใจได้
