บ้านหลังใหญ่แห่งอำนาจ
บ้านหลังใหญ่แห่งอำนาจ
เสียงประตูเหล็กอัตโนมัติค่อย ๆ เลื่อนเปิดออกช้า ๆ รถยนต์สีดำหรูขับผ่านเข้าสู่ บ้านหลังใหญ่ ที่ตั้งตระหง่านราวกับปราสาทโบราณกลางเมือง บ้านหลังใหญ่แห่งนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในสมบัติของตระกูลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในภาคเหนือตระกูลของเธอเอง
ญาดามองผ่านกระจกบานใส เห็นทิวทัศน์รอบด้านที่เต็มไปด้วยรั้วสูงตระหง่านและกำแพงสูงลิบสลักลวดลายประณีต ทุกมุมมีการ์ดในชุดสูทยืนเฝ้าอยู่เหมือนเงาดำไร้ชีวิต พวกเขาขยับตัวน้อยครั้งนัก แต่เพียงเหลือบสายตาก็มากพอให้ใครต่อใครรู้ว่าพื้นที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ ๆ จะเหยียบย่างเข้ามาได้ง่าย ๆ
เมื่อรถหยุดสนิทตรงบันไดหินอ่อนสูงชัน หญิงสาวก้าวลงจากรถกลิ่นอากาศเย็นปะทะจมูกทันที ญาดาสวมชุดเดรสสีขาวเรียบง่ายที่ไม่ได้หรูหราเทียบเท่ากับบ้านหลังนี้ด้วยซ้ำ เธอสะพายกระเป๋าเล็ก ๆ บนบ่า ดวงตากลมโตเหลือบมองไปทั่วบริเวณ ก่อนที่ร่างสูงของบอดี้การ์ดและคนรับใช้จะก้าวเข้ามาเปิดทางนำเธอเข้าสู่ห้องโถงใหญ่
ภายในบ้านหลังใหญ่
เพดานสูงประดับด้วยโคมระย้าคริสตัล น้ำหนักนับร้อยกิโลที่ทอประกายสว่างไสวเหนือศีรษะ พื้นหินอ่อนขัดเงาสะท้อนเงาของเธอราวกับกระจก ทุกฝีเท้าก้องกังวานไปทั่วบริเวณเฟอร์นิเจอร์ไม้แกะสลักเรียงรายอยู่ทุกด้าน เสียงนาฬิกาลูกตุ้มดังติ๊กต็อกเป็นจังหวะชวนให้หัวใจเต้นตาม แต่แทนที่จะรู้สึกอุ่นใจ ญาดากลับรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในสุสานหรูหราที่เงียบเกินไป…และเย็นชาเกินกว่าจะเรียกว่า “บ้าน”
เมื่อก้าวถึงประตูไม้สักบานใหญ่ บอดี้การ์ดเปิดออกให้ ภายในคือห้องรับแขกโอ่อ่าที่ประดับภาพวาดตระกูลรุ่นก่อนแขวนเรียงรายเต็มผนัง โต๊ะไม้ยาวตรงกลางถูกปูด้วยผ้าลินินสีเข้ม บนหัวโต๊ะนั้นชายผู้เป็นเจ้าของทุกสิ่งนั่งอยู่ในชุดสูทสีดำสนิท ใบหน้าคมเข้มและสายตาเฉียบคมตวัดมองทันทีที่เธอเดินเข้ามา
“มาถึงแล้วสินะ ญาดา” เสียงทุ้มต่ำเปล่งออกมา มันไม่ดัง แต่กลับกดทับบรรยากาศทั้งห้องจนรู้สึกอึดอัด หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึก พยายามเก็บสีหน้าไม่ให้เผยความรู้สึก เธอก้าวไปข้างหน้าอย่างสงบ
“ค่ะคุณพ่อ” ชายคนนั้นพ่อของเธอ กวาดตามองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ราวกับกำลังตรวจสอบว่าเธอจะเหมาะสมกับคำว่า “ทายาทตระกูล” หรือไม่
“ลูกโตขึ้นมากแล้ว แต่ยังไม่เปลี่ยนเลยนะ” เขาพูดพลางเอนหลังพิงเก้าอี้ สายตาคมกริบยังจับจ้องไม่วาง
“ยังคงมีความอ่อนแอในแววตาอยู่ดี” คำพูดนั้นเหมือนคมมีดเฉือนลงกลางใจ ญาดากัดริมฝีปากเล็กน้อยแต่ยังพยายามตอบด้วยเสียงเรียบ
“ลูก…พยายามเต็มที่แล้วค่ะ” พ่อของเธอเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนหัวเราะหึในลำคอ เสียงหัวเราะที่ไม่ได้แสดงความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย
“ความพยายามที่ไม่ถึงผล มันก็ไม่มีค่าอะไรหรอก ญาดา”
เธอเงียบไปทันทีก้มสายตาลงต่ำเพื่อหลบเลี่ยงรังสีอำนาจนั้น ความรู้สึกที่อยากจะตะโกน อยากจะถามว่า ทำไมพ่อไม่เคยมองเห็นความรู้สึกของลูกเลย กำลังตีรวนในอก แต่ริมฝีปากกลับหนักอึ้งราวกับถูกตรึงไว้ ความคิดในใจญาดา
ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่เลย…ไม่อยากฟังคำพูดที่บีบคั้นทุกลมหายใจแบบนี้อีกแล้ว ถ้าชีวิตต้องมีค่าแค่การเป็นเครื่องมือของตระกูล แล้วหัวใจของฉันล่ะ? ไม่มีค่าหรือยังไง…
บรรยากาศในห้องหนักอึ้งจนเกือบไร้เสียง ธีรพงษ์หยิบแก้วไวน์ขึ้นมา พลิกหมุนเบา ๆ พลางเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงความกดดัน
“ญาดา… ลูกต้องเข้าใจหน้าที่ของตัวเอง ตระกูลของเราไม่ใช่ตระกูลธรรมดา ทุกสายตาจับจ้อง ทุกการเคลื่อนไหวของเราคือเกียรติและศักดิ์ศรี” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาที่มีแววสั่นไหวเอ่ยออกมา
“แล้วความสุขของลูกล่ะคะ ลูกไม่มีสิทธิ์จะเลือกเลยหรือ” เสียงแก้วกระทบโต๊ะดัง กริ๊ก! พ่อของเธอวางมันลงแรงกว่าปกติ แววตาแข็งกร้าว
“ความสุขของลูกสาวตระกูลนี้ คือการทำให้ตระกูลยิ่งใหญ่เข้าใจไหม” เธอสะดุ้งเล็กน้อยแต่ยังพยายามยืนหยัด
“ลูกอยากมีชีวิตธรรมดาบ้าง อยาก…อยากมีอิสระเหมือนคนอื่นบ้าง”
ทันทีที่พูดจบ บรรยากาศในห้องก็เหมือนหยุดนิ่งไปชั่วขณะ แววตาของพ่อเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกยิ่งกว่าเดิม เสียงของเขาชัดเจนและหนักแน่น
“อย่าพูดคำว่า ธรรมดา ในบ้านหลังนี้อีก ญาดา ลูกคือเลือดเนื้อของตระกูลนี้ ไม่มีวันเป็นคนธรรมดาได้”
หัวใจเธอเหมือนถูกบีบรัดแน่น ความเงียบถาโถมเข้ามาในห้องโถงอันหรูหรา แต่ในความเงียบนั้น มีเสียงหนึ่งดังก้องอยู่ในใจเธอเสียงที่อยากกรีดร้อง อยากวิ่งหนีออกไปให้ไกลจากกรงทองแห่งนี้
ญาดาหลังจากเผชิญหน้าที่เต็มไปด้วยแรงกดดันจากพ่อแล้ว เธอเดินออกจากห้องรับแขกอย่างเงียบ ๆ เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นหินอ่อนดังจังหวะเบา ๆ แต่ในใจกลับระส่ำด้วยความโกรธและเศร้า ประตูหลังบ้านเปิดออกสู่สวนกว้างใหญ่ สวนที่ร่มรื่นด้วยต้นไม้สูงใหญ่หลายชนิดและดอกไม้เมืองหนาวที่ถูกปลูกเรียงรายตามทางเดินหินปูรอบสวน
อากาศเย็นสบายและกลิ่นดินชื้นหลังฝนเพิ่งหยุดโปรย ช่างเป็นสวนสวยราวกับภาพวาด แต่สำหรับญาดาแล้ว ทุกความงดงามกลับเต็มไปด้วยกรอบจำกัด การ์ดสองคนสวมชุดดำเข้มยืนเฝ้าอยู่ตามทางเดิน ปลายปืนส่องแสงเล็กน้อยเมื่อสะท้อนแสงจากโคมไฟสวน
“คุณหนูคะ ระวังอย่าออกนอกทางเดินนะคะ” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น ญาดามองพวกเขาด้วยรอยยิ้มบาง ๆ แต่ในใจเต็มไปด้วยความประชด
“ค่ะ พี่ ๆ สบายใจเลยนะคะ ฉันจะไม่กล้าหนีไปไหนหรอก” การ์ดยืนตรง นิ้ววางบนปืนเหมือนเตือนให้ระวัง พวกเขาไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่สายตาที่เธอจับได้ก็บอกชัดเจนนี่คือพื้นที่ของพวกเขา ญาดาสูดลมหายใจลึกอีกครั้ง พลางก้าวเดินต่อไปบนทางหิน
ความคิดในใจญาดา
(สวย…แต่สวยเหมือนกับกรงทอง กลีบดอกไม้ทุกดอกถูกล้อมรั้วไว้ไม่ต่างจากชีวิตฉันเลย ถูกล้อมไว้เพื่อความปลอดภัยหรือเพื่อควบคุม)
เธอหยุดยืนมองต้นกุหลาบสีแดงที่บานสะพรั่ง ข้างกายมีรั้วเหล็กสูงดันสายตาไม่ให้มองด้านนอก สายลมพัดผ่าน แต่ความคิดกลับวุ่นวายไม่ต่างจากพายุ ทันใดนั้น เธอนึกถึงภาพในวัยเด็กที่ฝังอยู่ในความทรงจำ
ญาดาในวัยแปดขวบ ยืนอยู่ในห้องโถงหลังบ้านเล็ก ๆ ของบ้านหลังใหญ่ในสมัยนั้น เสื้อผ้าสีเรียบแต่เรียบร้อย พ่อเดินเข้ามาพร้อมกับเอกสารบางอย่างในมือ
“ญาดา! มองฉันสิ!” พ่อเธอสั่ง น้ำเสียงนั้นไม่มีความอบอุ่น เธอรีบก้มหน้าลงแววตากลมโตที่เคยสดใสเต็มไปด้วยความกลัว
“ฉันบอกแล้วใช่ไหม ว่าลูกต้องไม่อ่อนแอ” คำสั่งนั้นเหมือนตะปูตอกลงบนหัวใจเด็กน้อย
“แต่…หนูอยากไปเล่นกับเพื่อนค่ะ” เธอเถียงเบา ๆ สายตาของพ่อแข็งกร้าว
“เด็กผู้หญิงของฉัน ไม่ใช่เด็กธรรมดาอย่ามาพูดคำว่า ‘อยาก’ ถ้าลูกไม่อยากเสียหน้า ลองทำตามคำสั่งของฉันดูสิ” เด็กน้อยสะอึกน้ำตาคลอแต่ไม่กล้าร้องไห้พยายามกลั้นเอาไว้
"ต้องอดทนต้องแข็งแกร่งถ้าอ่อนแอพ่อจะไม่รักฉัน" เสียงสะอื้นในหัวใจดวงน้อย
ภาพนั้นวนเวียนกลับมาในใจญาดา เธอสะบัดศีรษะพยายามไล่ความทรงจำออกแต่ความรู้สึกอึดอัดและความโดดเดี่ยวกลับทวีความชัดเจนขึ้น กลับมาสวนหลังบ้าน ญาดายืนพิงต้นไม้ใหญ่พลางมองไปยังกำแพงสูงรอบบ้านหลังใหญ่ ความคิดเหมือนกลับมารวมตัวกันความรู้สึกของเด็กหญิงที่อยากเป็นอิสระแต่ถูกกดดันทุกเวลา การ์ดคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ เสียงเบาแต่ชัดเจน
“คุณหนูเห็นดอกไม้แล้วหรือยังคะ” ญาดามองไปยังดอกไม้เล็ก ๆ ที่เรียงรายอยู่ตามทางเดิน พลางหัวเราะเบา ๆ
“เห็นแล้วค่ะ…สวยมากเลยนะคะแต่ก็เหมือนฉันเลยถูกล้อมกรอบไว้” การ์ดก้มหน้ามองพื้นก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ
“ครับ…แต่เพื่อความปลอดภัยของคุณหนู” ญาดาสะบัดหัวเบา ๆ พูดเบา ๆ กับตัวเอง
ความปลอดภัย…นี่สินะ ทุกอย่างที่บ้านหลังใหญ่คือความปลอดภัย แต่เป็นความปลอดภัยแบบขังฉันไว้…
เธอเดินต่อไปจนสุดทางเดิน เห็นมุมหนึ่งของสวนที่มีน้ำพุเล็ก ๆ น้ำใสไหลเบา ๆ เหมือนเสียงเรียกให้หัวใจสงบลง แต่ญาดารู้ดีว่า เธอไม่สามารถสงบได้ง่าย ๆ สัญญาณของความอิสระที่แผ่วเบา เธอนั่งลงบนม้านั่งหิน มองหยดน้ำไหลลงสู่พื้น พลางนึกถึงความฝันที่เคยมี การได้ออกไปเรียนที่เมืองอื่น การได้พบเพื่อนที่ไม่ต้องระวังสายตาของใคร การได้หัวเราะโดยไม่ต้องเก็บกด
สักวัน…ฉันต้องได้ชีวิตของฉันกลับคืน
เสียงก้าวเท้าเบา ๆ ของการ์ดทำให้เธอสะดุ้ง แต่เธอไม่ลุกจากม้านั่ง แค่ยิ้มบาง ๆ ในใจ
“ฉันจะไม่ยอมแพ้…ไม่ว่าที่นี่จะใหญ่แค่ไหน หรือพ่อจะเข้มงวดขนาดไหนก็ตาม” ความคิดนั้นทำให้หัวใจของเธออุ่นขึ้นเล็กน้อย เป็นความหวังเล็ก ๆ ที่ทำให้เธอยังมีแรงฝืนอยู่ในบ้านหลังใหญ่ที่เต็มไปด้วยอำนาจมืด ญาดาลุกขึ้นจากม้านั่งหิน เดินช้า ๆ กลับไปยังบ้านหลังใหญ่ที่อยู่ใกล้สวน
เสียงใบไม้สั่นพลางลมพัดเบา ๆ ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังถูกมองอยู่ทุกฝีก้าว เมื่อเข้าไปในบ้าน เธอพบแม่บ้านคนสนิทยืนรออยู่ ใบหน้าเคร่งเครียด แต่มีความห่วงใยซ่อนอยู่เบื้องหลัง
“คุณหนูคะ เป็นอย่างไรบ้าง” แม่บ้านเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ญาดาหัวเราะเบา ๆ แต่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
“ก็เหมือนเดิมค่ะ…คำพูดทุกคำเหมือนสายฟ้าฟาดลงหัว” แม่บ้านถอนหายใจ
“ฉันเข้าใจ…แต่คุณหนูต้องอดทน เขา…เขากลัวว่าจะเสียศักดิ์ศรีของตระกูล” ญาดากัดริมฝีปาก พลางคิดในใจ
ศักดิ์ศรี…หรือความควบคุมกันแน่? ทำไมทุกอย่างต้องหนักเกินไป…ฉันอยากหายใจ…อยากหัวเราะ…อยากได้ชีวิตที่เป็นของฉัน
เธอเดินผ่านห้องโถงไปยังบันไดที่ทอดยาวขึ้นไปชั้นบน บ้านหลังใหญ่เต็มไปด้วยภาพวาดรุ่นก่อน บรรยากาศเย็นยะเยือก แม้จะสวยแต่กลับทำให้ใจเธอหนักอึ้ง ในใจสะท้อนความโดดเดี่ยว ฉันยังต้องอดทนอีกนาน…แต่สักวัน ฉันต้องออกไป…ต้องมีชีวิตของฉันเอง
เธอขึ้นบันไดไปยังห้องของตัวเอง สวนที่ทอดยาวด้านนอกยังคงสวยงามแต่เย็นยะเยือก ดั่งชีวิตของเธอเต็มไปด้วยความหวังที่ยังรอวันบรรลุ
