ใช้ชีวิตในค่ายทหาร
กลิ่นหอมของข้าวสวยร้อนๆ และกลิ่นเผ็ดร้อนของแกงกะหรี่ไก่ลอยอบอวลไปทั่วโรงอาหารขนาดใหญ่ ญาดาเดินตามภูมินทร์มายังจุดแจกจ่ายอาหาร หัวใจยังคงเต้นไม่เป็นจังหวะ เธอรู้สึกว่าทุกสายตาของนักเรียนทหารนับร้อยที่นั่งรออยู่ตามโต๊ะต่างจับจ้องมาที่เธอเพียงคนเดียว
"เร็วเข้า" เสียงของภูมินทร์ดังขึ้นเบาๆ แต่ก็เพียงพอจะทำให้เธอรู้สึกกดดัน
ญาดาก้าวขาไปรับถาดอาหาร สองมือที่ถือถาดสแตนเลสยังคงสั่นเล็กน้อยจนเกือบทำมันหล่นลงไปบนพื้น แต่เธอก็รวบรวมสมาธิได้ทันเวลา เมื่อเดินเข้ามาในโรงอาหารสายตาหลายร้อยคู่ก็หันมามองที่ญาดาในทันที หลายคนซุบซิบกันเบาๆ บางคนยิ้มเยาะด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความไม่พอใจที่เห็นเธอในที่แห่งนี้
ญาดาก้มหน้าหลบสายตาเหล่านั้นและพยายามทำตัวให้เล็กลงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทันใดนั้นเสียงตะโกนที่ดังก้องจนเกือบทำให้ผนังโรงอาหารสั่นก็ดังขึ้น
"นักเรียนใหม่ ใครให้ละสายตาจากข้างหน้า" เสียงของนายสิบที่ทำหน้าที่ควบคุมแถวดังขึ้นอย่างดุดัน
"กินก็รีบกิน อย่าเอาแต่เหลียวมอง นั่งตัวตรง จัดระเบียบ!" เสียงคำรามนั้นทำให้ทุกคนกลับไปอยู่ในระเบียบทันที
สายตาที่เคยมองญาดาเปลี่ยนเป็นมองตรงไปข้างหน้าอย่างพร้อมเพรียง ญาดาเงยหน้าขึ้นมองภูมินทร์ เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่พยักหน้าให้นายสิบคนนั้นเล็กน้อยอย่างพอใจ เมื่อทั้งคู่เดินไปถึงที่นั่งประจำของภูมินทร์โดยมีผู้กองรุ่นเดียวกันร่วมด้วยเธอยกมือไหว้ตามมารยาท ญาดาเริ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่กล้าพูดอะไร เธอทานอาหารอย่างเงียบๆ และรวดเร็วภายใต้สายตาจับจ้องของผู้กองภูมินทร์
"คุณมีคำถามอะไรไหม" ภูมินทร์ถามขึ้นโดยไม่เงยหน้าจากจานข้าว ญาดาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจรวบรวมความกล้าและเอ่ยปากถามในสิ่งที่เธอสงสัยมาตลอด
"ผู้กอง...งานที่นี่คงเหนื่อยมากเลยใช่ไหมคะ ที่ต้องดูแลคนจำนวนมากขนาดนี้"
ภูมินทร์วางช้อนลงบนจานอย่างหนักแน่นจนเกิดเสียงดัง "กริ๊ก!" เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตาญาดา ดวงตาของเขาคมกริบราวกับเหยี่ยวที่กำลังจ้องเหยื่อ ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังจะถูกกลืนกินด้วยความเย็นชา
"ที่นี่ไม่มีคำว่า 'เหนื่อย'" เขาตอบเสียงเรียบ แต่ทุกคำพูดหนักแน่น
"มีแต่คำว่าหน้าที่และความรับผิดชอบ ที่นี่เราไม่ได้สอนให้คนอ่อนแอ แต่เราสอนให้พวกเขารู้จักปกป้องประเทศชาติ" ญาดาจ้องมองดวงตาที่แน่วแน่ของเขา เธอมองเห็นถึงความมุ่งมั่นที่ลึกซึ้งเกินกว่าจะอธิบายได้ และความจริงจังที่เธอไม่เคยเห็นจากใครในบ้านของเธอเลย
"แต่...ทุกคนก็มีความรู้สึกนะคะ" ญาดาพูดเบาๆ ราวกับจะเตือนเขาว่าความรู้สึกก็เป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์เช่นกัน
"ความรู้สึกมีไว้ใช้ในที่ส่วนตัว ที่นี่มีแค่หน้าที่เท่านั้น" ภูมินทร์พูดสวนขึ้นทันที น้ำเสียงของเขาราบเรียบ แต่เย็นยะเยือก
หลังจากทานอาหารเสร็จ ทั้งคู่ลุกขึ้นพร้อมกันและเดินกลับไปยังอาคารฝ่ายบริหารอย่างเงียบๆ ตลอดเส้นทางที่เดินกลับ ญาดาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันจากสายตานับร้อยคู่ที่มองมาอย่างไม่วางตา แต่เธอก็พยายามเดินอย่างมั่นคง เธอก้มหน้าเล็กน้อยเพื่อหลบหลีกสายตาเหล่านั้น แต่ในใจกลับมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้น เธอรู้สึกขอบคุณและรู้สึกปลอดภัยอย่างประหลาดเมื่อได้เดินเคียงข้างเขา ผู้ชายที่ถึงแม้จะดูเย็นชาและน่าเกรงขาม แต่ก็กลับเป็นเหมือนกำแพงปกป้องเธอจากโลกภายนอก
เมื่อพวกเขาเดินพ้นประตูโรงอาหารมาแล้ว ญาดาตัดสินใจทำลายความเงียบ เธอหันไปถามภูมินทร์ด้วยน้ำเสียงที่เบาลงและมีความจริงใจมากขึ้น
"ผู้กองคะ... ทำไม...คุณถึงต้องปกป้องหนูด้วยคะ ทั้ง ๆ ที่หนูเป็นแค่คนนอก" ภูมินทร์หยุดเดินและหันมาสบตาเธอ สีหน้าของเขาเรียบเฉยเหมือนเดิม แต่ในดวงตาของเขามีความมุ่งมั่นบางอย่างซ่อนอยู่
"ที่นี่ทุกคนคือส่วนหนึ่งของระบบ และหน้าที่ของผมคือต้องทำให้ระบบทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนหรือแขกพิเศษก็ตาม" คำตอบนั้นดูเหมือนจะเย็นชา แต่ญาดารับรู้ได้ถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ เธอก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
"แต่...หนูรู้สึกว่าหนูกำลังจะเป็นภาระของคุณ" ภูมินทร์ไม่ได้ตอบคำถามในทันที เขามองไปที่นักเรียนทหารที่กำลังวิ่งฝึกอยู่ห่างๆ ก่อนจะหันมามองที่ญาดาอีกครั้ง
"ภาระ...ไม่ใช่ แต่คุณยังไม่เข้าใจโลกของผมไม่เหมือนกับโลกของคุณ ทุกอย่างต้องมีระเบียบต้องมีเหตุผล" เขาหยุดพูดชั่วครู่
"ถ้าคุณอยากจะเข้าใจโลกของผม คุณต้องเรียนรู้ที่จะไม่เปราะบาง" ญาดาเงียบไปทันที เธอเริ่มเข้าใจแล้วว่าโลกของเขากับโลกของเธอไม่ได้ต่างกันเลย เพียงแต่ถูกกักขังด้วยกำแพงที่แตกต่างกันเท่านั้น
เมื่อเดินกลับมาถึงห้องทำงาน ญาดานั่งลงที่โต๊ะของเธออีกครั้ง เธอมองไปที่แฟ้มเอกสารที่กองอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปจากตอนแรก มันไม่ได้เป็นเพียงแค่กองกระดาษที่น่าเบื่ออีกต่อไป แต่เป็นเหมือนบทเรียนที่เธอจะต้องเรียนรู้เพื่อที่จะมีชีวิตรอด ภูมินทร์เดินเข้ามาและยืนอยู่ข้างๆ เธอ เขาไม่ได้พูดอะไร แต่ญาดาก็รู้สึกถึงแรงกดดันบางอย่างที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวเขา เธอตัดสินใจรวบรวมความกล้าอีกครั้งและถามคำถามที่อยู่ในใจมาตลอด
"ผู้กอง...งานแบบนี้ต้องใช้เวลานานแค่ไหนคะถึงจะคุ้นชิน"
"ไม่มีใครที่คุ้นชินกับมันได้ตั้งแต่แรก ทุกอย่างต้องใช้เวลาและวินัย" เขาตอบอย่างตรงไปตรงมา
"แล้วงานของคุณล่ะคะ ที่ต้องดูแลคนนับร้อยต้องคุมวินัยทุกอย่างมันเหนื่อยบ้างไหม" ภูมินทร์หันมาสบตาญาดา แววตาของเขาดูห่างเหินและเย็นชามากกว่าเดิม
"งานของผม...ไม่ใช่เรื่องที่จะมาพูดว่าเหนื่อยหรือไม่เหนื่อย แต่เป็นหน้าที่ที่ต้องทำให้สมบูรณ์" เขาพูดพลางก้มลงมองเอกสารบนโต๊ะของเธอ
"คุณควรจะสนใจในงานของคุณมากกว่า" ญาดาเงียบไปครู่หนึ่ง เธอรู้ดีว่าเธอไม่ควรเซ้าซี้เขามากกว่านี้ แต่ความอยากรู้ก็มีมากกว่าความกลัว เธอตัดสินใจที่จะถามคำถามที่เสี่ยงที่สุด
"แล้วทำไม...คุณถึงเลือกมาเป็นทหารคะ ทำไมถึงเลือกชีวิตที่เต็มไปด้วยกฎระเบียบแบบนี้" ภูมินทร์ชะงักไปเล็กน้อย มือของเขาหยุดนิ่งกลางอากาศ สายตาที่เคยมุ่งมั่นในเรื่องงานเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่าราวกับกำลังย้อนกลับไปในอดีต
เขามองเธอด้วยสายตาที่เย็นชาและหนักแน่นยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ต่างไปจากทุกครั้งที่เคยได้ยิน มันแฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เธอไม่เคยได้ยินจากเขามาก่อน
"บางครั้ง...เราก็ไม่ได้เป็นผู้เลือกชีวิต แต่ชีวิตเป็นผู้เลือกเรา" คำพูดนั้นทำให้ญาดารู้สึกเหมือนถูกกระแทกเข้าอย่างจัง เธอสัมผัสได้ถึงความจริงบางอย่างที่อยู่เบื้องหลังความแข็งกร้าวของเขา และเริ่มมองเห็นถึงความเจ็บปวดบางอย่างที่ถูกซ่อนเอาไว้
เมื่อความเงียบเข้าปกคลุม ญาดาก้มหน้าลงมองแฟ้มเอกสารตรงหน้า พลางคิดในใจ (ผู้กองภูมินทร์...ก็ไม่ได้มีชีวิตที่ง่ายดายเหมือนที่ฉันคิด เขาเองก็มี 'กรง' ที่ต้องเผชิญเหมือนกัน) ในขณะเดียวกัน ภูมินทร์ก้มลงมองเอกสารของญาดา เขาเห็นลายมือที่ยังคงสั่นเล็กน้อย และเห็นถึงความมุ่งมั่นที่ซ่อนอยู่ภายในแววตาของเธอ เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงพ่อของเธอ ชายผู้ทรงอิทธิพลที่เขารู้จักจากวงการธุรกิจ
"พ่อของคุณ...ทำไมเขาถึงให้คุณมาอยู่ที่นี่" ภูมินทร์เอ่ยถามเสียงเบา ญาดาเงยหน้าขึ้นมองเขา แววตาของเธอหดหู่ลงทันทีราวกับถูกปิดสวิตช์ความสุข ใบหน้าของเธอซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด
"พ่อ...เขาบอกว่ามันเป็นเรื่องของภาพลักษณ์และเกียรติของตระกูลค่ะ" เธอตอบเสียงแผ่วเบา
"ภาพลักษณ์...เกียรติของตระกูล" ภูมินทร์ทวนคำ เขาขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ
"แล้วเขาไม่คิดถึงความรู้สึกของคุณเลยหรือไง" น้ำเสียงของเขาไม่ได้เย็นชาอีกต่อไป แต่กลับแฝงด้วยความไม่พอใจที่เห็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ต้องเผชิญกับสถานการณ์แบบนี้ ญาดาน้ำตาคลอเบ้าเธอพยายามกลั้นน้ำตาไว้ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ ความรู้สึกที่เก็บกดมานานระเบิดออกมาในที่สุด
"สำหรับพ่อ...หนูเป็นแค่หุ่นโชว์ค่ะ หุ่นโชว์ที่ต้องทำตามคำสั่งของเขา" เธอกล่าวพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้ม
"หนูอยากมีชีวิตของหนูเองบ้าง อยากหายใจอยากหัวเราะ อยากได้ชีวิตที่เป็นของหนู" ภูมินทร์มองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาที่อ่อนลง
เขารู้ดีว่าโลกของเธอกับโลกของเขาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ความรู้สึกที่ถูกกักขังนั้นกลับเป็นสิ่งเดียวกัน ภูมินทร์ไม่ได้ปลอบโยนเธอด้วยคำพูด แต่เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋ากางเกงและยื่นให้เธออย่างเงียบๆ การกระทำนั้นดูเรียบง่าย แต่กลับมีความอบอุ่นที่ลึกซึ้งเกินกว่าคำพูดใดๆ ญาดาเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความประหลาดใจ แววตาของเธอเต็มไปด้วยความสับสนและความซาบซึ้ง
ภูมินทร์มองญาดาที่กำลังเช็ดน้ำตาอย่างเงียบๆ เขายืนอยู่ข้างๆ เธออย่างสงบ เหมือนกำลังรอให้พายุในใจของเธอสงบลง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลกว่าที่เคย
"ผมไม่รู้ว่าคุณต้องเผชิญอะไรมาบ้าง แต่ที่นี่คุณจะได้เรียนรู้ที่จะแข็งแกร่ง ไม่ใช่เพื่อใครแต่เพื่อตัวคุณเอง" ญาดามองเขาอีกครั้ง แววตาที่เคยหดหู่เปลี่ยนเป็นความมุ่งมั่นอีกครั้ง และในแววตานั้นก็ฉายแววของความหวังที่ริบหรี่ นั่นคือจุดเริ่มต้นที่หัวใจของทั้งสองดวงเริ่มที่จะเปิดออก และเริ่มที่จะรับรู้ถึงตัวตนของกันและกันได้อย่างแท้จริง
"ถ้าปล่อยให้ความรู้สึกเข้ามามีผลกับการตัดสินใจแม้แต่น้อย ชีวิตของคนนับร้อยก็อาจต้องสูญเสีย" ญาดาเงียบไปทันที เธอเริ่มเข้าใจแล้วว่าโลกของเขานั้นแตกต่างจากโลกของเธอโดยสิ้นเชิง ที่นี่ความอ่อนแอคือความเสี่ยง ความรู้สึกคือความผิดพลาด และทุกอย่างถูกตัดสินด้วยเหตุผลและความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่กว่าชีวิตส่วนตัว
