1.บทนำ
*** ทักทายคร้า วันนี้เปิดเรื่องนิยายรักโรแมนติก หัวใจทะเลทรายให้ทุกท่านไปฟินกันนะคะ เป็นภาคต่อจากเชลยรักทะเลทรายค่ะ คู่พ่อแม่ว่าฟินแล้ว คู่ของลูกๆ ฟินกว่าจ้า ฝากติดต่อด้วยนะคะ....
*****
ร่างสูงกำยำในชุดสีขาวขลิบทองยืนอยู่บนเนินทรายราวกับรูปปั้นแกะสลัก ท่ามกลางแสงของดวงดาวส่องประกายวาววับเต็มท้องฟ้า อิศรา ราเอล อาบิดชา อัชวาลย์ เอเมียร์คนปัจจุบันของรัฐชวาลา ยังคงยืนนิ่งบนเนินทราย สายตาทอดมองออกไปไกล ร่างสูงสง่าใบหน้างดงาม จมูกโด่งเป็นสัน คิ้วหนาได้รูปรับกับดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ทุกส่วนที่ประกอบเป็นชีคอิศรา ถอดแบบมาจากชีคอัลฟาร์จาผู้เป็นบิดาแทบทั้งสิ้น
ชีคอิศราวัยเพียงยี่สิบเก้าปีรับตำแหน่งต่อจากชีคอัลฟาร์จา ราเอล อาบิดชา อัชวาลย์ ผู้เป็นบิดาเมื่อสองปีก่อน ได้สานต่องานด้านการปกครองและด้านอื่นๆ ต่อจากบิดาและมารดา โดยมีน้องสาวทั้งสองคน คือพิมพ์มาดาและมิรันตรีช่วยกันพัฒนารัฐให้เจริญเทียบเท่ากับประเทศแถบตะวันตก หลายปีมานี้ประชาชนชาวชวาลาอยู่อย่างมีความสุข มีอาชีพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สิทธิเสรีภาพของสตรีก็มีมากขึ้น
ชีคอิศราฉายาเหยี่ยวเวหาเป็นผู้มีวิสัยทัศน์และเป็นนักพัฒนา ได้นำความรู้และเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาพัฒนารัฐอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสาร การขยายสนามบินให้รองรับเที่ยวบินได้มากขึ้น การเปิดประเทศเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุน แต่การเปิดประเทศยังคงเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมานานพอสมควรในคณะรัฐบาล แต่ด้วยภาวะผู้นำอันชาญฉลาดพร้อมกับบุคลิกที่นุ่มนวล เยือกเย็น และดวงหน้ามีรอยยิ้มของความเมตตาและความเอื้ออาทรให้คนรอบข้างอยู่ตลอดเวลาของชีคหนุ่ม จึงสามารถยุติข้อขัดแย้งเหล่านั้นได้อย่างนุ่มนวล โดยไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องขุ่นเคือง
“ได้เวลากลับแล้วครับชีค” เสียงองครักษ์คู่ใจเอ่ยอย่างเคารพ อิศราหันไปมองและยิ้มบางๆ
“ไปสิ” อิศราตอบเพียงสั้นๆ แล้วกระโดดขึ้นหลังม้าอาหรับตัวใหญ่ที่ทหารจูงเข้ามาใกล้
“เดวิชกลับมาแล้ว กำลังรอที่ห้องทำงานครับ” เบนนิชองครักษ์คนสนิท ซึ่งเป็นบุตรชายของเบนรีรายงานขณะบังคับม้าเดินตามหลังไปเรื่อยๆ
“ได้เรื่องแล้วใช่ไหม” อิศราถามถึงเรื่องที่ให้คนสนิทไปทำ
“ครับ มีการเคลื่อนไหวของจอมโจรอันบาอิสแถบชายแดน”
จบประโยคนั้น ม้าทุกตัวก็ออกวิ่งตามเจ้าเหนือหัวไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงฝุ่นที่ฟุ้งกระจายอยู่ด้านหลัง
ภายในห้องทำงานกว้างที่เปิดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ ภายในถูกตกแต่งด้วยวอลล์เปเปอร์สีอ่อน บนโต๊ะทำงานตัวใหญ่มีอุปกรณ์สื่อสารทันสมัยหลายชนิดตั้งอยู่ ร่างสูงสง่าของอิศราในชุดทหารเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงาน เดวิชลุกขึ้นโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
“เป็นยังไงบ้างเดวิช” ชีคหนุ่มถามเสียงเข้ม
“สายของเรารายงานว่าอันบาอิสเคลื่อนกองกำลังเข้ามาใกล้เขตชานเมืองครับ” เดวิชบอกด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด หากคนฟังกลับยิ้มอย่างเยือกเย็น
“เอ่อ หน่วยข่าวกรองยังรายงานอีกว่าอันบาอิสส่งนักฆ่าทะเลทรายเข้ามา เพื่อลอบสังหารชีคครับ”
“ค่าหัวฉันคงแพงน่าดู พวกมันถึงกล้ารับงาน” อิศราเหยียดยิ้มอย่างไม่เกรงกลัว ความตายอยู่ใกล้เราแค่ปลายจมูกเท่านั้น จะเป็นจะตายไม่ใช่ปัญหาสำคัญ
“ชีคครับ” เบนนิชอุทานชื่อเจ้าเหนือหัวเบาๆ
“ทำไมนายสองคนทำหน้ากังวลอย่างนั้น ฉันยังไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อย” อิศราบอกกับองครักษ์คู่ใจพลางยิ้มเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา เพราะกองโจรอันบาอิสตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับฝ่ายรัฐบาลมานาน เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับนโยบายการปกครองและต้องการปกครองรัฐชวาลาเสียเอง จึงพยายามที่จะรวบรวมและยุยงชาวเมืองให้หันกลับไปอยู่ฝ่ายตน
“ข่าวนี้เป็นข่าวที่กรองมาแล้วครับชีค พวกเราอยากให้ชีค ระวังตัว” เดวิชบอกด้วยสีหน้าและแววตาไม่สบายใจ ก่อนจะหันไปสบตากับเบนนิช
“สงสัยว่าคราวนี้คงต้องปราบปรามจริงจังเสียที ไม่อย่างนั้นอาจจะเกิดปัญหาลุกลามมากกว่าเดิม” อิศราบอก สายตาทอดมองออกไปในทะเลทรายอันเวิ้งว้างที่ปกคลุมด้วยความมืดมิดของราตรีกาล
“หรือบางทีอาจมีการลักพาตัว” เดวิชบอกพลางถอนหายใจเบาๆ อิศราหันกลับมาฟังอย่างสนใจ
“แบบไหน” อิศราถามอย่างแปลกใจ คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน
“อาจมีการลักพาตัวท่านหญิงพิมพ์หรือท่านหญิงรันคนใดคนหนึ่ง เพื่อต่อรองกับเราในการขอแบ่งแยกดินแดน”
อิศราได้ฟังก็เป็นห่วงน้องทั้งสองขึ้นมาทันที
“ตอนนี้พิมพ์กับรันอยู่ที่ไหน”
“ท่านหญิงพิมพ์ทำงานที่ห้องสมุดครับ ส่วนท่านหญิงรันมีผ่าตัดพิเศษที่โรงพยาบาล” เบนนิชบอก
“มิรันตรีฉันไม่ค่อยห่วงเท่าไร แต่พิมพ์มาดาต้องจัดกำลังอารักขาอย่างดี อย่าให้พลาด” อิศราบอกเดวิชด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“แต่ผมคิดว่าเป้าหมายของพวกมันอยู่ที่ชีคมากกว่าครับ” เดวิชยังคงรายงานต่อ หากเสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน
*****
