บทที่ 5 : ร่องรอยที่ซ่อนภายใต้ขี้เถ้า
ในค่ำคืนที่วังใต้ไร้เสียงหมาเห่า วารีกลับมานั่งอยู่ในห้องพักของตัวเอง
หน้าจอคอมพิวเตอร์แสดงภาพขยายของรอยขีดเขียนบนฝาผนัง
ชุดตัวอักษรไทยโบราณปะปนกับตัวเลขดูสะเปะสะปะ แต่เมื่อวางคู่กับภาพวาดในกล่องไม้ — ลายพุดซ้อนและลายเซ็นชื่อ "หัตถา วังใต้ 2529" — ความเชื่อมโยงเริ่มเผยตัวทีละเส้น
วารีเปิดสมุดจดของตัวเอง ขีดเส้นโยงระหว่างข้อมูล:
รูปวาดผู้หญิงสองคน — ยายสา และแม่ของเธอ
ลายเซ็น “หัตถา” ลงวันที่ 2529
รหัสบนฝาผนัง: “๑๐๒๙ – พูดซ้ำ – ภาพซ้อน – บัวกลางไฟ”
จี้หยกเขียวที่แม่เธอเคยให้ พร้อมอักษรลึกลับบนด้านหลัง
วารี (พึมพำ):
“๑๐๒๙… วันเดือนปี? หรือรหัสอะไรบางอย่าง...”
“พูดซ้ำ… ภาพซ้อน… บัวกลางไฟ…”
“นี่ไม่ใช่แค่รอยขีดเขียน แต่มันคือคำใบ้”
เธอนำภาพซ้อนจากกล่องวาดมาซ้อนทับกับภาพฝาผนัง
จุดที่ลายดอกพุดซ้อนจากภาพวาดตรงกับรหัส “พูดซ้ำ”
และในตำแหน่งเดียวกันกับคำว่า “บัวกลางไฟ”
มีรอยไหม้ลึกเฉพาะจุดหนึ่ง — เหมือนเคยมีของบางอย่างถูกซ่อนไว้ก่อนถูกเผา
วารีรีบคว้ากล้องอินฟราเรดมาตรวจสอบ
ภายใต้ความร้อนที่เคยลุกโชน…
เธอพบโครงสร้างเหล็กบาง ๆ ฝังอยู่ใต้ผนัง
วันรุ่งขึ้น
วารีเดินทางกลับไปยังซากบ้าน
เธอใช้มีดพับแงะแผ่นไม้ที่ไหม้บางส่วน
และสิ่งที่อยู่ข้างใน… คือ กล่องเหล็กเล็กสีดำซีด
ล็อกด้วยรหัส 4 หลัก
วารี (เสียงในหัว):
“๑๐๒๙…”
กล่องคลิกเบา ๆ และเปิดออก
ในนั้น… มี จดหมายเก่าในกระดาษสีน้ำตาล
เขียนด้วยลายมือหวัดแต่มั่นคง
“ถึงเจ้าหนูของสา — ถ้าเธอได้อ่านจดหมายฉบับนี้
แปลว่าไฟได้เผาทุกอย่างไปแล้ว…
รวมทั้งความลับของ ‘หมอเด็กที่ไม่เคยเป็นเด็ก’ คนนั้นด้วย”
วารีขมวดคิ้ว
"หมอเด็กที่ไม่เคยเป็นเด็ก" ฟังดูคล้ายปริศนาที่พุ่งตรงมาที่ ดร.หัตถา
ท้ายจดหมายมีคำบอกใบ้ทิ้งไว้ว่า
“เขาเกิดที่วังใต้ แต่เติบโตจากเงาของคนตาย
ถ้าอยากรู้จักเขา — ไปที่บ้านเก่าโรงสีกลางทุ่ง …
อย่ากลัวภาพที่ถูกซ่อนไว้ มันเป็นแค่เงาที่กลัวแสง”
วารีปิดกล่อง หัวใจเต้นแรง
เธอรู้แล้วว่าคำตอบทั้งหมดอาจรออยู่ที่โรงสีร้างกลางทุ่ง
สถานที่ที่อาจเป็นทั้งจุดเริ่มต้น และจุดจบของความจริงทั้งหมด
ยามบ่ายคล้อยแสง พระอาทิตย์หลบหลังเมฆหนา
วารียืนอยู่หน้าประตูไม้เก่าโงนเงนของโรงสีร้างกลางทุ่งหญ้า
อาคารทรงไทยทรุดโทรม หลังคาทะลุเป็นรูพรุน มุงกระเบื้องลื่นไถล
กลิ่นฝุ่นผงผสมกลิ่นไม้ผุสอดประสานกับลมร้อนพัดเอื่อย ๆ
เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนใช้มือผลักบานประตูเข้าไปเบา ๆ
เสียงเอี๊ยดอ๊าดของบานพับดังลั่นราวกับครางในความทรงจำ
ภายในโรงสีมืดมัว มีเพียงแสงจากรูโหว่บนหลังคาส่องลงมาบางจุด
วารีใช้ไฟฉายส่องไปรอบ ๆ พบกล่องไม้เก่า โต๊ะเขียนหนังสือผุ ๆ
และกระดานดำสีซีดที่มีรอยขีดเขียนเลือนลางอยู่
วารี (พึมพำ):
“ที่นี่เคยเป็นโรงเรียนด้วยหรือเปล่า…”
บนผนังไม้แผ่นหนึ่ง มีภาพถ่ายติดหมุดเอาไว้ — ซีดจางจนมองแทบไม่เห็น
เธอหยิบมันลงมา พบภาพเด็กชายคนหนึ่งนั่งอยู่หน้าโต๊ะเล็ก ๆ
ข้างหลังคือผู้หญิงสองคน — หนึ่งในนั้นคือยายสา อีกคนเธอไม่แน่ใจ
แต่ลางสังหรณ์บอกเธอว่า... อาจจะเป็นแม่ของเธอเอง
ใต้ภาพนั้นมีข้อความเขียนไว้จาง ๆ ด้วยดินสอ:
“หัตถา - 2527
โรงเรียนบ้านวังใต้ (ชั้น ป.1)”
วารี (ตกตะลึง):
“ดร.หัตถา… เรียนที่นี่จริง ๆ …?”
เธอเดินต่อเข้าไปยังห้องด้านหลัง
เจอห้องเล็ก ๆ คล้ายห้องพักครู หรือสำนักงานเก่า
ข้างในมีลิ้นชักโต๊ะไม้ถูกปิดตาย ฝุ่นจับหนา
เธอใช้แรงงัดจนลิ้นชักเปิดออกมาได้
ในนั้น… มี ไดอารี่เก่า หน้าปกหุ้มด้วยผ้าลายดอกพุดซ้อน
หน้าแรกเขียนว่า:
“ของแม่จันทรา — 2526”
วารีเปิดไดอารี่ทีละหน้า
พบข้อความที่บันทึกถึงเด็กคนหนึ่งที่ “มีดวงตาไร้ประกาย”
เด็กที่ “ไม่ยอมเล่น ไม่ยิ้ม ไม่พูด”
และมีเหตุการณ์เล่าไว้ว่าครั้งหนึ่ง เด็กคนนั้น “ใช้มีดเล็ก ๆ เฉือนตุ๊กตาผ้า”
ก่อนเขียนตัวอักษรว่า “แม่...ไม่รัก…”
วารี (เบา ๆ):
“เขา...หมายถึงหัตถาใช่ไหม…”
“แต่ทำไมแม่จันทรา ถึงมีไดอารี่แบบนี้ไว้…”
แล้วเธอก็หยุดนิ่งเมื่อเจอหน้าสุดท้ายของไดอารี่
เขียนด้วยลายมือที่ต่างออกไป:
“ถ้าใครเจอสมุดนี้ — อย่าถามว่าเด็กคนนี้เป็นใคร
ถามว่าเขาเคยเห็นอะไร และใครที่ไม่เคยเห็นเขาเลย…”
เสียงบางอย่างดังขึ้นจากด้านบน
คล้ายเสียงฝีเท้าเบา ๆ บนพื้นไม้ที่ลั่นช้า ๆ
วารีเงยหน้าขึ้นทันที
ไฟฉายในมือส่องไปรอบตัว... ไม่มีใคร
แต่ตรงหัวบันไดชั้นสอง
มีเงาคนเล็ก ๆ ยืนอยู่... แล้วหายไปในพริบตา
เธอรีบวิ่งขึ้นไปยังชั้นบนทันที
แต่กลับพบเพียงกล่องไม้เก่าหนึ่งใบเปิดอยู่
ข้างในมีเพียงตุ๊กตาผ้าเก่า ๆ — ถูกเย็บกลับใหม่อย่างลวก ๆ
และกระดาษแผ่นเล็กแปะไว้ว่า:
“ถ้าอยากรู้ความจริงทั้งหมด — กลับไปที่ ‘บ่อน้ำ’ หลังบ้านยายสา”
วารีกำกล่องไดอารี่แน่นในมือ
คำว่า “บ่อน้ำ” ลอยวนในหัวเธอราวกับเสียงสะกด
