บทที่ 3 ต้องการแย่งชิงวาสนา 1/2
ย่าหว่านย่อมมีความละโมบในใจอยู่แล้วเมื่อคิดถึงสิ่งที่ควรจะได้ เพียงแต่ครั้งนี้เธอไม่อาจทำอะไรได้มากนัก เนื่องจากสามีได้พูดจาเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วว่าเจ้าสาวคือหว่านซูฉีไม่ใช่หว่านหมี่ลี่
“ต่อให้ฉันอยากให้แกแต่งเข้าตระกูลของท่านนายพล แต่แล้วยังไง ในเมื่อเวลานี้ทุกอย่างตระเตรียมไว้หมดแล้ว นี่ก็อีกไม่ถึงครึ่งเดือนนางเด็กซูฉีก็ต้องเข้าพิธีแต่งงานแล้ว ทำใจเสียเถอะ วาสนาครั้งนี้ไม่ใช่ของแก”
“แต่หากฉันได้แต่งกับท่านผู้พัน นอกจากฉันจะสบาย พวกเราทุกคนก็จะสบายไปด้วยนะย่า ย่าคิดหรือว่าซูฉีจะหยิบยื่นเงินมาให้บ้านหว่าน นางนั่นโง่และอ่อนแอเสียขนาดนั้น แต่งเข้าไปมีแต่จะโอนอ่อนตามบ้านสามี ย่าไม่อยากนั่งกินนอนกินหรืออย่างไร หากฉันได้เป็นคุณนายผู้พัน ย่าจะได้สบายไปด้วยอย่างไรล่ะ”
หว่านหมี่ลี่รู้นิสัยย่าของตนเองดี จึงพยายามพูดจาหว่านล้อมทุกวิถีทาง เพื่อที่จะให้ตนเองได้แต่งเข้าตระกูลหยางและเป็นภรรยาท่านผู้พันอย่างที่หวัง
เธอพยายามหาข่าวของผู้พันหยาง แม้เขาจะอายุสามสิบแล้วแต่หน้าตายังหล่อเหลาไม่น้อย อีกทั้งไม่มีบ้านเล็กบ้านน้อยมาคอยกวนใจ และที่สำคัญเขาไม่เคยแต่งงานมาก่อน ผู้ชายที่เพียบพร้อมขนาดนี้ เธอไม่มีวันปล่อยให้กับนางโง่ซูฉีเด็ดขาด ไม่มีวัน !!
“แล้วแกมีวิธีหรือไง อีกทั้งปู่ของแกก็ตัดสินใจไปแล้ว วันนั้นไม่ใช่ฉันไม่โต้แย้ง แต่ทางฝ่ายนั้นอ้างถึงการตอบแทนบุญคุณให้กับเจ้าใหญ่ของบ้านรอง ฉันเลยทำอะไรไม่ได้”
เมื่อหลานสาวสุดที่รักหว่านล้อมหนักเข้าย่าหว่านจึงเริ่มคล้อยตาม ทว่าปัญหามันติดตรงที่จะทำอย่างไรถึงจะเปลี่ยนตัวเจ้าสาวได้ต่างหากล่ะ
“ฉันมีแผนนะย่า ถ้าก่อนวันแต่งงานไม่มีซูฉี หรือชื่อเสียงซูฉีด่างพร้อยไปแล้ว ย่าคิดว่าท่านนายพลจะยอมรับลูกสะใภ้เช่นนั้นไหมล่ะ คราวนี้ละเราขอเปลี่ยนตัวเจ้าสาวมาเป็นฉันได้ไม่ยาก”
หว่านหมี่ลี่กระหยิ่มใจไม่น้อยเมื่อคิดถึงแผนการและนึกถึงวันที่ตนเองได้แต่งงานกับท่านผู้พัน
“นั่นสิคะแม่ ถ้าหมี่ลี่ของเราได้เป็นคุณนายท่านผู้พัน ต่อไปใครจะกล้าทำอะไรบ้านเราอีก แต่ถ้าเป็นซูฉี แม่ย่อมรู้ดีว่าเธอโง่และอ่อนแอแค่ไหน หากบ้านหว่านเกิดเรื่องอะไรขึ้น หลานสาวของพวกเราคนนี้คงไม่ออกหน้าช่วยเหลือแน่นอน”
สะใภ้ใหญ่ของบ้านอย่างปี้เจียวรีบเดินเข้ามาเมื่อได้ยินบทสนทนาของลูกสาวที่กำลังกล่าวกับแม่สามี
เมื่อสองเสียงต่างพูดประสานไปในทิศทางเดียวกัน หญิงชราจึงเริ่มทิ้งน้ำหนักไปกับคำพูดสองแม่ลูกไม่น้อย
“เอาเถอะ อยากทำอะไรก็ทำ แต่อย่าให้ปู่แกรู้ก็แล้วกัน ฉันไม่อยากมีปัญหากับตาแก่” ย่าหว่านตอบกลับหลานสาว เรื่องนี้เธอจะหลับตาข้างหนึ่งก็แล้วกัน
เมื่อได้รับคำยืนยันจากหญิงชราตรงหน้า สองแม่ลูกจึงสบตากันด้วยความดีใจ จากนั้นหว่านหมี่ลี่จึงเล่าแผนการของตนเองให้ผู้เป็นย่าฟัง โดยไม่รู้ว่าเวลานี้หว่านซูฉีเดินเข้ามาแล้ว และหยุดแอบฟังบทสนทนาของทั้งสามโดยไม่มีคำใดตกหล่น
‘คิดจะทำลายชื่อเสียงฉันหรือหมี่ลี่ ก่อนหน้านี้ฉันยังคิดว่าเราเป็นญาติกัน ฉันเลยไม่ทำอะไร แต่เมื่อเธอคิดร้ายกับฉันก่อน จะหาว่าซูฉีคนนี้ร้ายกลับไม่ได้นะ’
หว่านซูฉีแสยะยิ้มมุมปากด้วยความเย็นชาเล็กน้อย ก่อนจะเดินเลี่ยงไปทางอื่น เพื่อไปพบใครบางคน
