ตอนที่ 3 คนซื่อ
บรรยากาศที่อึดอัดระหว่างเยี่ยฟางที่พยายามชวนพูดคุยรื้อฟื้นความหลัง กับลูกชายที่แสนซื้อของตน ทำให้ลู่จินหรงต้องรีบปลอบใจ เพราะตอนนี้หญิงสาวหน้าเสียจนซีดลงแล้ว
“อย่าสนใจเลยลูกชายของป้าเลย ซื่อบื้อขนาดนี้ดีนะที่เรียนจบ เขาเรียกเก่ง ฉลาด ทำงานบัญชีได้ แต่ไม่รู้ทำไมเรื่องหัวใจถึงได้ไม่เข้าใจอะไรเลย” ลู่จินหรงกระซิบบอกแก่เด็กสาวข้างบ้าน ที่ตอนนี้โตเป็นสาวสะพรั่งแล้ว
เธอพยักหน้าเบาๆ น้ำตาคลอเบ้าด้วยความรู้สึกเหมือนถูกจางซีเหอตบหน้าด้วยท่าทางที่เหมือนจะซื่อแต่เป็นการปฏิเสธทางอ้อมของเขา
“จริงสิ ป้าได้ข่าวว่าทำงานแล้วไม่ใช่เหรอ ดีจังเลยนะ พอเรียนจบมาก็ได้ทำงานเลย”
“ใช่ค่ะ ฉันทำงานที่บริษัทหลี่โถว เป็นกิจการซื้อขายวัตถุโบราณ เพิ่งเริ่มทำได้แค่สัปดาห์เดียวเองค่ะ” เยี่ยฟางตั้งใจพูดให้พี่ชายแสนซื่อได้ยิน หากเขารู้ว่าเธอทำงานแล้วอาจจะมองเธอเป็นผู้ใหญ่ขึ้น
“ดีแล้วล่ะ ดีแล้ว ได้งานทำก็ดีแล้ว” พูดจบลู่จินหรงก็ส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายชวนลูกชายคนพูดคุยต่อ
เยี่ยฟางจึงกะพริบตาไล่น้ำตาออกไป เรื่องนี้ลู่จินหรงก็สนับสนุน พ่อแม่ฝ่ายเธอก็ไม่ได้ห้าม เหลือแค่จางซีเหอเท่านั้นที่เธอจะต้องพิชิตใจเขาให้ได้
“พี่ซีเหอคะ ฉันได้ทำงานที่บริษัทหลี่โถว เป็นบริษัทซื้อขายและจัดประมูลวัตถุโบราณชื่อดังเลยนะคะ พี่เคยได้ยินชื่อหรือเปล่า”
“อืม เคยสิ ได้ยินข่าวว่าผู้ที่ก่อตั้งขึ้นมาเป็นนักธุรกิจนิรนามที่ชอบทำตัวลึกลับ ไม่ค่อยออกหน้าทางสังคม และยังไม่เคยมีใครเห็นใบหน้าของเขา เก่ง ฉลาด ไหวพริบเป็นเลิศ ชื่อของเขาคืออี้เฟิง” ริมฝีปากของจางซีเหอยกยิ้มขึ้นมาเมื่อพูดชื่อนั้น
“ค่ะ ประธานอี้เก่งและลึกลับมาก พี่ไม่ต้องชื่นชมเขาหรอกค่ะ เขาเก่งและลึกลับ แต่เย็นชาชะมัดเลย ฉันเคยเห็นเขาด้วยนะคะ เขาใส่หน้ากากไว้ครึ่งหน้า น้ำเสียงเขาฟังดูน่ากลัวดูเหมือนโกรธคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ที่ใส่หน้ากากก็เป็นเพราะว่าเขาอาจจะมีแผลเป็นที่อัปลักษณ์ก็ได้”
เยี่ยฟางเล่าถึงอี้เฟิงอย่างออกรส ไม่ได้สังเกตสีหน้าของจางซีเหอเลยสักนิด ว่าเขากำลังมองเธออย่างไม่ชอบใจอยู่
“คนสวมหน้ากากไม่จำเป็นต้องอัปลักษณ์เสมอไปหรอกนะ เขาอาจจะอยากสวมใส่แค่เพราะอยากปิดบังตัวตนก็ได้”
น้ำเสียงที่จริงจังและใบหน้าที่ดูไม่พอใจนั้น เยี่ยฟางก็เข้าใจได้ทันทีว่าพี่ชายแสนซื่อของตนคนนี้ คงชื่นชมนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างอี้เฟิงอยู่ เมื่อตนแตะต้องเข้าจึงแสดงอาการโกรธและไม่พอใจแบบนี้
เมื่อถึงนึกได้อย่างนั้นเธอจึงเปลี่ยนเรื่องคุย ไปเป็นเรื่องงานแทน
“เอ่อ ฉันทำงานกับบริษัทนี้รับหน้าที่ในการศึกษาข้อมูลวัตถุโบราณและอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจถึงประวัติความเป็นมา แต่ก็ต้องประสานงานกับฝ่ายบัญชีอยู่บ่อยครั้ง ฉันก็เลยอยากจะให้พี่สอนฉันให้เข้าใจความหมายทางด้านบัญชีหน่อยจะได้หรือไม่”
หญิงสาวโยงมาถึงเรื่องนี้เพื่อหาวิธีใกล้ชิดกับเขา แล้วจ้องมองอย่างมีความหวัง
แววตาของจางซีเหอสบตาเธอที่จ้องมาอย่างจริงจัง รู้ทันความคิดว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามสร้างเหตุผลในการใกล้ชิดกับตน อีกทั้งเมื่อครู่เผลอพูดจาไม่ดีตอนเธอพูดถึงอี้เฟิง จึงยอมลดท่าทีลง
“ฝ่ายประชาสัมพันธ์ต้องติดต่อกับฝ่ายบัญชีด้วยเหรอ” เขาถามแล้วมองใบหน้าที่ดูเลิ่กลั่กของอีกฝ่าย
เยี่ยฟางจึงรีบหาข้ออธิบายออกไป ไม่อยากให้เขาจับได้ว่าเธอกำลังหาทางใกล้ชิดเขา
“เอ่อ คือว่าบางครั้งก็ต้องประสานงานกันน่ะค่ะ พวกตัวเลขราคาที่เปลี่ยนแปลง ภาษีที่ต้องจ่ายหลังจากการที่ประมูลเสร็จต่างๆ ว่าแต่...พี่ซีเหอรู้ได้อย่างไรคะว่าฉันอยู่ในตำแหน่งประชาสัมพันธ์”
“ก็เธอพูดเองไม่ใช่เหรอ ว่าเธอต้องอธิบายรายละเอียดของวัตถุโบราณต่างๆ ให้ลูกค้าฟังหาก ไม่ใช่ฝ่ายขายก็คงเป็นประชาสัมพันธ์ แต่พี่จำได้ว่าตอนเด็กๆ เธอไม่ชอบการค้าขาย แต่เป็นคนที่ชอบให้ข้อมูลมากกว่า พี่ก็เลยเดาเอา พี่เดาถูกใช่ไหม” เขาถามแล้วยิ้มให้บางๆ ที่มุมปาก
การวิเคราะห์ที่ชาญฉลาด และน้ำเสียงที่นุ่มลง ทำให้เยี่ยฟางยิ้มออกมา ในที่สุดเธอก็มีเรื่องชวนเขาคุยได้มากขึ้นแล้ว
“ว่าแต่พี่จะสอนให้ฉันได้ไหมคะ” น้ำเสียงนั้นอ้อนวอน หากเธอไม่คิดเกินเลยกับเขาคงเป็นกิริยาที่น่าเอ็นดูไม่น้อย
จางซีเหอรู้ว่านั่นเป็นเพียงข้ออ้างที่เธออยากใกล้ชิดกับเขา แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะในเมื่ออีกฝ่ายทำหน้าอ้อนวอนขนาดนั้น อีกทั้งมารดาของเขาก็พยักพเยิดให้อย่างรู้เห็นเป็นใจ จึงต้องตอบรับอย่างเสียไม่ได้
“ได้สิ เอาไว้วันไหนที่ว่าง อยากรู้เรื่องอะไรก็มาถามพี่ได้นะ”
“ขอบคุณพี่ซีเหอ” เยี่ยฟางยิ้มออกมา มองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกดีๆ อย่างเปิดเผย
************************
พนักงานในบริษัทหลี่โถวล้วนแต่งกายด้วยดั้งเดิมตามแบบฟอร์มของบริษัท บุรุษสวมเสื้อถังจวง1 และสตรีสวมชุดกี่เพ้า ให้เข้ากับงานซื้อขายวัตถุโบราณ
เยี่ยฟางในชุดกี่เพ้าสีแดง ลวดลายดอกโบตั๋นที่ชายกระโปรงที่แหวกขึ้นมาเหนือเข่า เกล้าผมมัดขึ้นไว้กลางศีรษะและปักปิ่นดอกไม้ เธอดูสวยงามและเป็นที่ชื่นชอบของผู้ที่พบเห็น
สายตาของเพื่อนร่วมงานและเสียงซุบซิบนั้น ทำให้หญิงสาวรู้สึกว่าบรรยากาศวันนี้ดูแปลกไป มองไปทางไหนก็มีแต่คนจับกลุ่มคุยกัน และเธอจะไม่กังวลเลยหากสายตาเหล่านั้นไม่ได้จ้องมองมาที่เธอ
“อาหมิ่น เกิดอะไรขึ้น ทำไมมีแต่คนมองมาทางฉันล่ะ” เยี่ยฟางกระซิบถามตู้หมิ่นเอ๋อร์ หลังจากที่ทั้งคู่อยู่ตามลำพัง
“นี่เธอจำไม่ได้หรืออาฟาง ว่าตัวเองทำอะไรลงไป” พนักงานฝึกหัดที่เข้ามาทำงานพร้อมกันถาม แล้วมองด้วยสายตาที่ลังเลว่าจะเล่าดีหรือไม่
เยี่ยฟางยืนตัวแข็ง มือน้อยๆ เริ่มสั่นเทาพอๆ กับก้อนเนื้อในอก เริ่มวิตกกังวลแล้วว่าคืนวันเสาร์ที่มีงานเลี้ยงต้อนรับลูกค้า เธอก่อเรื่องอะไรเอาไว้
“ฉันทำอะไรลงไป” เสียงนั้นถามด้วยความกังวล ปลายเสียงสั่นนิดๆ เปิดเผยความวิตกอย่างชัดเจน
“เธอเมา แล้วด่าลูกค้า เศรษฐีจากหนานโจว แต่ก็สมควรแหละเพราะพวกนั้นมอมเธอแล้วคิดจะลวนลาม” ตู้หมิ่นเอ๋อร์เล่าแล้วยิ้มเจื่อนเล็กน้อย เยี่ยฟางรู้ได้ทันทีว่ายังเล่าไม่หมดแน่
“แล้วอะไรอีก”
“เธอเดินไปจับแจกันของบริษัท แล้วทุ่มลงกับพื้น แต่โชคดีที่ใบนั้นเป็นแค่ของเลียนแบบที่บริษัทเอาไว้ให้ลูกค้าดูเป็นตัวอย่าง ของจริงปลอดภัยดี ไม่ต้องห่วง”
“นี่ฉันสร้างเรื่องใหญ่ไว้สองเรื่องเลยเหรอเนี่ย ให้ตายสิ” เยี่ยฟางเซถอยไปยืนเกาะขอบโต๊ะเอาไว้ แข้งขาแทบจะอ่อนแรง
“ไม่ใช่แค่สอง อีกเรื่องหนึ่งที่เธอทำเอาไว้...อาฟาง เธอคว้าประธานอี้มาจูบแล้วเรียกเขาว่า เหล่ากง”
จบประโยคนั้น ขาเรียวก็ทรุดลงกับพื้น ให้ตายสิ เธอทำเรื่องน่าอายลงไปได้อย่างไร
‘จูบแรกกับประธานผีดิบนั่น ไม่จริง ไม่จริง’
“ไม่จริง!” จากที่คิดในหัว สุดท้ายเยี่ยฟางก็ร้องออกมา เสียจูบแรกให้คนอื่นที่ไม่ใช่จางซีเหอ ตอนนี้เธอรู้สึกผิดกับตัวเอง และรู้สึกผิดต่อพี่ชายข้างบ้าน แม้เขาไม่รับรู้เลยก็ตาม
************************