ตอนที่ 2 พี่ชายที่รัก
การสนทนาระหว่างแม่ลูกบนโต๊ะอาหาร และท่าทางพุ้ยข้าวของลูกสาวดึงดูดสายตาของเยี่ยชงผู้เป็นบิดา เขากระแอมขึ้นเบาๆ
เยี่ยฟางจึงกินอย่างสุภาพขึ้น เพราะรู้ว่าบิดานั้นเคร่งในเรื่องมารยาทมากแค่ไหน การแต่งกายแบบดั้งเดิม มารยาทหญิง แม้แต่งานที่เธอทำ สาขาที่เธอเรียน ล้วนแต่เป็นเขาเลือกให้ทั้งสิ้น
“จริงสิ เมื่อเช้านี้ป้าลู่ทำซาลาเปาผักมาให้ แล้วยังมีเสี่ยวหลงเปาแต่เย็นแล้ว เดี๋ยวแม่อุ่นให้” กู่เหมยชวนเปลี่ยนเรื่องพูดคุย แล้วยิ้มให้ลูกสาวที่เธอเตือนแล้วว่าให้กินดีๆ แต่อีกฝ่ายไม่ฟังจนถูกเยี่ยชงส่งสัญญาณเตือนให้
“กินเสร็จแล้ว ต้องไปขอบคุณป้าลู่เสียหน่อย”
“อยากไปขอบคุณป้าลู่หรือว่าอยากไปหาซีเหอกันแน่ ฉูฉู่” เยี่ยชงเรียกชื่อเล่นของเธอ รู้ทันว่าบุตรสาวนั้นแอบมีใจให้กับลูกชายของเพื่อนบ้านมาตั้งแต่ที่อีกฝ่ายย้ายมาอยู่เมื่อสิบสองปีก่อน
“พ่อ ลูกก็ต้องไปหาป้าลู่สิคะ” เธอพูดอย่างเอียงอาย มีเรื่องนี้ที่บิดาไม่ต่อว่า เพราะจางซีเหอเป็นคนดี ขยันขันแข็ง และกตัญญู
เยี่ยชงยิ้มอย่างพอใจกับท่าทางที่เขินอายแล้วพุ้ยข้าวคำเล็กลงเพราะมัวแต่ยิ้มเขิน ตอนนั้นจำได้ว่าสองแม่ลูกย้ายมาอยู่บ้านข้างๆ ซึ่งเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่ทั้งคู่เหลืออยู่ และภรรยาของเขาก็ไปผูกมิตรด้วย
จางซีเหอเป็นเด็กขยัน วัยเพียงสิบขวบก็รับจ้างแบกดินขนทรายทำงานก่อสร้าง เพื่อแลกกับเงินและคูปองจับจ่ายสินค้า ในการเลี้ยงดูมารดาที่ตอนนั้นเจ็บๆ แอดๆ ไม่สามารถทำงานหนักได้
เด็กทั้งสองสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว เพราะจางซีเหอฉลาดและหัวไว ช่วยสอนการบ้านให้แก่เยี่ยฟางแลกกับอาหารทั้งสามมื้อที่บ้านสกุลเยี่ยแบ่งให้
เมื่อจางซีเหอสอบชิงทุนได้ไปเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยที่ปักกิ่ง เขาจะพาลู่จินหรงไปด้วย แต่เธอไม่อยากไปเป็นภาระลูกชาย เธอเป็นลูกมือของกู่เหมยในการทำบะหมี่ขายและมีรายได้เลี้ยงดูตัวเองได้
ดังนั้นเมื่อเขาไปเรียนต่อต่างเมือง จึงได้ฝากให้สกุลเยี่ยดูแลมารดาของเขาให้ เพราะหัวเด็ดตีนขาดอย่างไรมารดาก็ไม่ยอมย้ายตามไปอยู่ด้วย
บุญคุณที่สกุลเยี่ยมีต่อครอบครัวของเพื่อนบ้าน จึงทำให้จางซีเหอและมารดานั้นสำนึกอยู่เสมอ
“ให้ลูกไปเถอะค่ะ คุณก็น่าจะรู้ว่าลูกสาวเราห้ามได้เสียที่ไหน” กู่เหมยเดินออกมาพร้อมกับจานเสี่ยวหลงเปาที่ไปอุ่นมาเพิ่ม เยี่ยฟางยิ้มเอียงอายเมื่อมารดานั้นรู้เท่าทันความคิดของตน
หญิงสาววัยยี่สิบเอ็ดเธอมีใจให้จางซีเหอมาโดยตลอดก็จริง แต่เขาไม่เคยมีใจให้เธอเลยสักนิด แม้จะทำดีด้วยแต่ก็ทำตัวห่างเหิน แสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการเป็นเพียงพี่ชายเท่านั้นไม่ได้คิดเป็นอย่างอื่น
ดังนั้นการเข้าหาเขาทางลู่จินหรง จึงเป็นความหวังเดียวที่จะทำให้เธอสมหวังในความรัก
ในตอนบ่ายรถเก๋งสภาพกลางใหม่กลางเก่า ที่จางซีเหอหาซื้อมือสองมาใช้ในการขับขี่ไปทำงานในตัวเมือง ก็ได้มาจอดที่หน้าบ้านของเขา
เยี่ยฟางเปิดผ้าม่านส่องออกไปเห็นเจ้าของร่างสูงโปร่ง ทรงผมที่ตกลงมาถึงหน้าผากพร้อมกับแว่นตาหนาเตอะที่เขาสวมใส่
เขากำลังเปิดประตูรั้วเดินเข้าไปในบ้าน เธอก็คลี่ยิ้มออกมาด้วยแววตาที่เป็นประกายสดใส
“พ่อคะ ลูกขอแบ่งลูกพลับกับส้มนี้นะคะ” หญิงสาวกล่าวเสียงสดใส แล้วนำผลไม้ที่มารดาซื้อมาจัดใส่ตะกร้าเตรียมนำไปให้แก่ลู่จินหรง เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการพบหน้ากับพี่ชายที่เธอแอบรัก
เยี่ยชงส่ายหน้าเบาๆ แล้วหันไปมองภรรยาที่ยิ้มอย่างรู้เท่าทันความคิดของหญิงสาว
ทำไมพวกตนจะไม่รู้ในเมื่อเยี่ยฟางเลี้ยงมากับมือ ลูกสาวคิดอย่างไรจะทำอะไรผู้เป็นพ่อแม่ย่อมรู้ทันหมด
“เดินดีๆ ล่ะ อย่าวิ่งให้ขายหน้าแล้วหกล้มเหมือนตอนเด็กๆ ล่ะ”
“ค่ะ แม่” หญิงสาวรับปากด้วยน้ำเสียงที่สดใส
จากนั้นก็จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ เดินถือตะกร้าผลไม้ไปด้วยท่าทีที่เรียบร้อยและอ่อนหวานจนมารดายิ้มเอ็นดู
“ถ้าซีเหอมีคนรักที่ไม่ใช่ลูกเรา ฉูฉู่จะต้องเสียใจมากแน่” กู่เหมยไม่อยากคิดเลย หากจางซีเหอไม่ได้รักชอบเธอแล้วมีคนรัก ลูกสาวของตนจะทนได้อย่างไรไหว
แอบรักเขามาตั้งสิบกว่าปี ขนาดเรียนจบมัธยมปลายแล้วจะตามไปเรียนที่ปักกิ่งด้วยกัน แต่ว่าสอบไม่ติดจึงได้เรียนอยู่ที่เซี่ยงไฮ้แทน ความคลั่งรักนี้แม่แต่เยี่ยชงที่เคร่งครัดเองก็ไม่อาจห้ามบุตรสาวเรื่องนี้ได้
“ป้าลู่อยู่ไหมคะ ฉันเอาส้มมาให้” หญิงสาววัยยี่สิบสองในชุดดั้งเดิมที่สุภาพ ร้องเรียกอยู่ที่หน้าบ้านทั้งๆ ที่รู้ว่าลู่จินหรงไม่ได้ออกจากบ้านไปไหน
เมื่อหญิงวัยกลางคนได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ก็บอกให้ลูกชายไปเปิดประตูต้อนรับแขกประจำของบ้านตนเอง
“เปิดประตูให้อาฟางหน่อยสิอาเหอ เด็กคนนี้น่ารักจริงๆ มีอะไรก็แบ่งปันตลอด ลูกว่าไหม” จึงหันไปถามบุตรชาย
เขาได้แต่ยิ้มบางๆ ที่มุมปาก ไม่ได้กล่าวอะไรออกไป จากนั้นก็เดินออกไปเปิดประตูรั้วให้เธอเข้ามา แล้วยิ้มให้ตามมารยาท
“ฉันเห็นพี่ทำงานเจ็ดวันไม่เคยหยุด วันนี้หยุดได้เหรอคะ” เธอชวนเขาสนทนาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
“เมื่อวานไปค้างต่างเมืองมาน่ะ วันนี้เลยหยุด” เขาตอบแล้วเดินนำหน้าไปตามทางเดินเข้าสู่ตัวบ้าน
หญิงสาวอมยิ้มเดิมตามหลังจางซีเหอไป จากนั้นเขาก็เปิดประตูบ้านอ้าออกกว้าง ต้อนรับให้เธอเข้าไปในบ้านของเขา
“ป้าลู่ ฉันได้ส้มสดๆ มาจากตลาด และลูกพลับนี่หวานกรอบมาก เลยแบ่งมาให้กินด้วยกันค่ะ” หญิงสาวประจบประแจงลู่จินหรง แล้วชายตามองไปยังบุรุษท่าทางจริงจัง ที่กำลังเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานใกล้ๆ
“ใจดี มีน้ำใจ เรียบร้อยอ่อนหวาน อายุขนาดนี้แล้วก็ยังไม่มีแฟน ไม่รู้บ้านไหนจะมีวาสนาได้อาฟางไปเป็นลูกสะใภ้” ลู่จินหรงพูดแล้วปรายตามองลูกชาย
จางซีเหอทำเป็นไม่เข้าใจในสิ่งที่มารดาพูด เขายังไม่อยากมีพันธะกับใคร โดยเฉพาะเยี่ยฟางที่เห็นมาตั้งแต่เด็กและเอ็นดูเหมือนน้องสาวแท้ๆ อีกอย่างเขาไม่ชอบคนที่เป็นฝ่ายเข้าหาเขาก่อนด้วย
“นั่นสิครับ ไม่รู้ว่าบ้านไหนจะโชคดี นี่หากแม่มีน้องชายอีกคน ผมอาจได้อาฟางเป็นน้องสะใภ้แล้ว” เขาพูดด้วยท่าทางซื่อๆ จากนั้นก็หยิบเอกสารขึ้นมา ไม่ได้สนใจอะไร
เยี่ยฟางรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่เขาไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ อีกทั้งจางซีเหอก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ทำตัวใสซื่อ ไร้พิษสง ชอบเก็บตัว พูดน้อย และพูดตรง
“ตั้งแต่พี่ซีเหอไปเรียนต่อ เราก็ไม่ได้เจอกันเลยตั้งสี่ปี พอกลับมาพี่ก็ออกไปทำงานแต่เช้า กลับมาก็ดึก เราไม่ค่อยได้เจอกันเลย ฉันยังจำได้ตอนเด็กๆ พี่ช่วยสอนการบ้าน ตอนนั้นเราสนิทกันมาก” หญิงสาวพยายามเปลี่ยนเรื่องชวนคุย ตั้งแต่เขาเรียนจบกลับมาทำงาน เธอพยายามจะหาเรื่องพูดคุยกับเขา แต่ตอนนั้นเรียนปีสุดท้ายจึงไม่มีโอกาสเลย
จนกระทั่งตอนนี้เธอเรียนจบและทำงานแล้ว แม้จะเป็นเพียงเป็นพนักงานฝึกหัดก็ตาม แต่เธอก็โตพอจะพูดคุยเรื่องความรักกับเขาได้แล้ว
“ใช่แล้วอาฟาง ตอนนั้นเราสนิทกันมากเลย แต่ว่าตอนนี้เราไม่ได้สนิทกันแล้ว น่าเสียดายนะ” เขาพูดแล้วยิ้มออกมา
ท่าทางการพูดที่ดูซื่อๆ และเข้าใจอะไรยากนั้น ทำให้เยี่ยฟางถอนหายใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเขาแกล้งทำหรือว่าไม่รู้จริงๆ กันแน่ ว่าเธอกำลังให้มีใจให้เขาอยู่
************************