บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 4 ความแตกต่าง

ในตอนเย็น จางซีเหอกลับมาถึงบ้านเร็วกว่าปกติ ทันรับประทานมื้อเย็นร่วมกับมารดาของตน

“กลับดึกทำงานล่วงเวลาแทบทุกวัน วันนี้กลับเร็วได้เสียทีนะ วันนี้แม่ทำบะหมี่เอาไว้ ไม่ได้ทำมาหลายเดือนแล้วไม่รู้จะยังรสชาติดีอยู่ไหม” ลู่จินหรงกล่าวด้วยความยินดี เมื่อเย็นนี้มีลูกชายมาร่วมโต๊ะอาหารด้วย

จางซีเหอยิ้มรับ ก่อนหน้านี้มารดาเป็นลูกมือคุณนายเยี่ยในการขายบะหมี่ที่แผงลอยข้างถนน ได้สูตรทำบะหมี่มาก็อยากจะเปิดร้านขายเองเพราะกู่เหมยมีปัญหาด้านสุขภาพจึงหยุดขายไปก่อนหน้านี้ แต่เขาไม่อยากให้มารดาทำงานหนักจึงขอร้องเอาไว้

“เงินที่ผมให้แม่ใช้เดือนละสี่สิบหยวน พอหรือไม่” เขาถามเมื่อเห็นว่ามารดายังใส่เสื้อผ้าเก่าอยู่ ไม่ยอมซื้อใหม่เสียที

“เงินเดือนลูกก็เจ็ดสิบหยวน ให้แม่ใช้ตั้งสี่สิบหยวน ใครจะไปใช้หมด”

“โธ่ แม่ครับ บริษัทที่ผมทำงานอยู่เป็นบริษัทต่างชาติที่มีเงินทุนหนาแน่น เงินเดือนผมก็เยอะกว่าทำที่อื่น สวัสดิการอาหารกลางวัน สวัสดิการน้ำมันรถในการเดินทาง สามสิบหยวนผมแทบไม่ได้ซื้ออะไรเลย” เขาบอกให้มารดาวางใจ

“แม่ก็ใช้ไม่ถึงเดือนละยี่สิบหยวนด้วยซ้ำ แต่ก่อนช่วยคุณนายเยี่ย แม่ใช้แค่เดือนละสิบหยวนเอง ไหนลูกจะทำงานพิเศษส่งมาเดือนละสิบหยวนอีก ตอนนี้เงินเก็บเราซื้อรถใหม่ให้ลูกได้หนึ่งคันเลยนะ” ลู่จินหรงกล่าวแล้วยิ้มกว้าง ช่วงเวลาแห่งความยากลำบากได้ผ่านพ้นไปแล้ว

ตอนนี้ชีวิตของทั้งคู่อยู่ในฐานะปานกลางและสุขสบายดี เพราะลูกชายเธอเป็นคนขยัน ขนาดเรียนในระดับมหาวิทยาลัยก็ยังทำงานพิเศษส่งเงินมาให้เธอใช้อย่างไม่ขัดสน

บะหมี่ถูกวางตรงหน้า กลิ่นหอมของมันทำให้จางซีเหอน้ำลายสอ คิดถึงตอนที่ถูกจางเสิ่นผู้เป็นอาแท้ๆ ขับไล่ออกจากบ้านสกุลจาง ฉ้อโกงมรดกทรัพย์สินไป เหลือแค่บ้านหลังนี้ที่เป็นสินเดิมของมารดา

เขากับแม่เหลือเงินติดตัวเพียงแค่ค่ารถเดินทางจากเขตผู่ซีในเซี่ยงไฮ้ที่เจริญรุ่งเรือง ย้ายมายังเขตผู่ตงที่ยังไม่มีความเจริญเท่าปัจจุบัน ตอนนั้นบะหมี่ถ้วยหนึ่งก็ยังซื้อกินไม่ได้

ตอนนั้นมีคำกล่าวว่า “ขอพื้นที่หนึ่งเตียงในเขตผู่ซี ยังดีกว่ามีบ้านหนึ่งหลังในเขตผู่ตง” แต่ตอนนี้ผู่ตงเจริญรุ่งเรืองแล้ว กำลังได้รับการพัฒนาเมือง และเปิดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนจนรุ่งเรืองภายในเวลาไม่กี่ปี

“คิดอะไรอยู่อาเหอ”

“คิดถึงตอนที่เราไม่มีเงินซื้อแม้กระทั่งบะหมี่กิน ตอนนั้นแม่ลำบากมาก ผมไม่มีวันลืมในสิ่งที่พวกนั้นทำกับเรา” เขาพูดด้วยความโกรธแค้น ภายใต้แว่นตานั้นซ่อนแววตาที่ดุดันเอาไว้

“เรื่องมันผ่านมาแล้ว ตอนนี้ชีวิตเราก็ดีขึ้นแล้ว ลูกอย่าคิดให้เปลืองแรงเลย และอย่าลืมบุญคุณของบ้านสกุลเยี่ย ถ้าไม่มีบ้านนั้นคอยช่วยเหลือเราก็คงไม่มีวันนี้” ลู่จินหรงบอกแก่บุตรชาย

“ผมต้องตอบแทนแน่ครับ”

“เยี่ยฟางก็เป็นคนดี ลูกดูไม่ออกหรือว่าเธอคิดอย่างไรกับลูก แม่รู้นะแกล้งตีหน้าซื่อ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แบบนั้น ลูกชายแม่ไม่ใช่คนที่ไม่รู้เรื่องอะไร”

“ไม่รู้สิครับ ผมตอบแทนบุญคุณอย่างอื่นได้ แต่กับเยี่ยฟางผมไม่ได้รู้สึกอย่างอื่นเลย นอกจากเห็นว่าเธอเป็นน้องสาว”

ลู่จินหรงถอนหายใจ เธอเองก็ไม่อยากบังคับจิตใจใคร ได้เพียงหวังว่าสักวันลูกชายจะใจอ่อนให้แก่เด็กสาว เพราะเยี่ยฟางนั้นรักจางซีเหอปักใจเหลือเกิน

************************

โดยปกติแล้วอี้เฟิงจะทำงานในเวลาที่พนักงานส่วนใหญ่เลิกงานไปแล้ว และในวันเสาร์กับวันอาทิตย์ที่บริษัทหยุด เขาจะเข้ามาทำงานเต็มวันกับพนักงานบางคนที่นัดหมายเอาไว้

นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมไม่ค่อยมีใครได้เจอกับเขา แต่เจอหรือไม่ก็ไม่เป็นผล เพราะเขาสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าอีกครึ่งของตนเองเอาไว้ตลอด

“เยี่ยฟาง วันนี้ทำงานล่วงเวลาอีกแล้วเหรอ” เพื่อนร่วมงานของเธอทักขึ้น

“จะอยู่ต่ออีกสักพักน่ะ” เธอตอบแล้วโบกมือให้เพื่อนร่วมงาน

สามวันมานี้เสียงซุบซิบนินทานั้นเบาลงไปมากแล้ว เพราะมีเรื่องอื่นเข้ามาทำให้เรื่องที่เธอทำขายหน้าค่อยๆ ถูกกลบไป แต่เธอก็ยังไม่สบายใจและอยากคุยกับอี้เฟิงถึงสิ่งที่เกิดขึ้น

หญิงสาวทำงานไปดูนาฬิกาไป เหมือนว่าอี้เฟิงจะหลบหน้าเธอหรือเปล่า เพราะอีกฝ่ายไม่เข้าบริษัทในตอนเย็นมาสามวันแล้ว

“แต่บ้านเขาอยู่ชั้นบน เขาต้องกลับมาสิ” เธอบอกตัวเองอย่างมีความหวัง มองนาฬิกาที่บอกเวลาว่ารถโดยสารประจำทางเที่ยวสุดท้ายใกล้จะหมด จึงยอมถอดใจแล้วเก็บกระเป๋าเตรียมตัวกลับบ้าน

เมื่อเดินออกไปถึงหน้าบริษัท รถสีดำสุดหรูก็แล่นมาจอด พร้อมกับรถอีกคันที่มีบอดีการ์ดขับตามมา

ชายร่างกำยำสองคนเดินลงมาจากรถ แล้วไปเปิดประตูรถให้อี้เฟิงลงมา

เยี่ยฟางขาสั่น ลังเลว่าเธอควรเข้าไปคุยกับเขาตอนนี้ดีหรือไม่ แต่สีหน้าเคร่งเครียดนั้นทำให้เธอไม่กล้า ทั้งๆ ที่รอพบเขามาถึงสามวัน แต่พอเจอเขาแล้ว เอาเข้าจริงเธอก็ไม่กล้าเสียอย่างนั้น

อี้เฟิงเดินอกผายไหล่ผึ่งอย่างสง่างาม ปรายตามองพนักงานฝึกหัดสาวเล็กน้อย แล้วเดินต่อไปโดยไม่สนใจเธอ หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ด่าตัวเองว่าเอาความกล้าไปทิ้งไว้ไหน ในเมื่อเขาอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว ทำไมไม่เข้าไปพูดคุยให้รู้เรื่อง

‘ถ้าเราไปทวงเรื่องจูบแรก มันจะฟังดูไร้สาระแล้วถูกจับโยนออกมาแน่’

‘แต่นั่นจูบแรกของฉันนะ แล้วยังเป็นฝ่ายเริ่มก่อนอีก หรือว่าเราจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ต่อไป ใช่แล้ว ใช่แล้ว ทำเป็นไม่รู้ ไม่ต้องรื้อฟื้นมัน’

ความคิดในหัวของเธอตีกันไปมา จนสรุปได้ว่าเธอจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป และลืมมันเสีย เพราะถึงอย่างไรจูบนั้นก็เกิดตอนที่เธอขาดสติ ไม่ต้องนับเป็นจูบแรกก็ได้

ในขณะเดียวกัน อี้เฟิงนั่งอยู่ในห้องทำงานส่วนตัวของตน ฟังที่ปรึกษาพูดถึงสถานการณ์ที่เขาไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด เพราะมันเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้เตรียมรับมือเอาไว้ก่อน

“เรื่องที่คุณและพนักงานของหลี่โถวในคืนงานเลี้ยง มีนักข่าวถ่ายภาพเอาไว้ได้ ผมให้คนซื้อภาพและฟิล์มม้วนนั้นทั้งหมดมาแล้ว แต่คนที่เห็นก็มีไม่น้อยและส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของคุณ”

“แล้วผมต้องทำยังไง”

“ประธานอี้ต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น เพราะตอนนี้ทุกคนเข้าใจว่าเธอเป็นภรรยาลับๆ ของคุณ คุณจะถูกมองว่าซ่อนภรรยาเอาไว้ แต่ในขณะเดียวกันผู้หญิงคนนั้นก็ถูกเพ่งเล็งจากศัตรูของคุณด้วย การแต่งงานนี้ก็สามารถช่วยเธอเอาไว้เช่นกัน” ที่ปรึกษาคนสนิทบอกถึงเหตุผลที่เขาต้องแต่งงานกับเยี่ยฟาง

“แล้วถ้าไม่แต่งล่ะ”

“ภาพลักษณ์ที่ถูกมองไม่ดี อาจทำให้เราเสียความน่าเชื่อถือ แต่ไม่นานผู้คนก็จะลืม อย่างน้อยก็สามถึงสี่เดือน ผลกระทบในช่วงนี้อาจทำให้ผลกำไรเราลดลงไป แต่ก็ไม่มีผลมากนัก ส่วนพนักงานคนนั้นหากถูกปองร้ายก็ถือเสียว่าเธอโชคร้ายเอง”

อี้เฟิงไม่คิดเลยว่าเรื่องจะบานปลายมาจนถึงขั้นนี้ หากเขาไม่แต่งงานก็คงมีแต่ปัญหาตามมาสินะ

“ตามนั้น ผมจะแต่งงานกับเธอ” เขาตัดสินใจทำในสิ่งที่จะเป็นผลประโยชน์ต่อเขา และปกป้องผู้หญิงที่ขโมยจูบแรกของตนไป

************************

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel