บทที่ 2
“สรุปได้มาไหมเงินณุ” เสียงของวันชัยเอ่ยถามทันทีที่เห็นหน้าภาณุ เพื่อนสนิทที่คบหากันมาหลายสิบปี เมาด้วยกัน เสพยาด้วยกัน มีอะไรก็แบ่งปันกันมาเสมอๆ ไม่เว้นแม้แต่เมีย ทั้งคู่ก็เคยมีเมียคนเดียวกันมาแล้ว
นิสัยของวันชัยกับภาณุนั้นคล้ายกันในหลายๆ อย่าง เป็นพวกรักสบายแต่งานการไม่คิดจะทำ แบมือขอครอบครัวเพื่อนำไปถลุงในบ่อน กินเหล้าเมายา เพราะเหตุนี้ถึงคบหาเป็นเพื่อนกันได้นาน
“ไม่ได้น่ะสิ” สีหน้าของภาณุออกอาการเซ็งอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่ได้แบบนี้เราก็ตายโหงกันสิวะ”
“อย่าพึ่งตาย เพราะต่อให้ไม่ได้เงิน กูก็ได้ทีวีมาเครื่อง เอาไปจำนำคงได้มาหลายหมื่นอยู่ พอถูไถไปก่อน” นี่คือทางออกที่ภาณุคิดไว้
“แค่หลักหมื่นเองนะมึง แต่หนี้ที่เราติดเสี่ยมันปาไปตั้งครึ่งล้าน”
“มึงก็อย่าโง่ไปถอนทุนคืนที่เดิมสิวะ หัดไปที่ใหม่ๆ เผื่อดวงกูหรือมึงมันจะเปิดบ้าง”
“ที่ใหม่มันที่ไหนของมึง”
“กูมีก็แล้วกัน ได้ข่าวว่าเป็นคาสิโนพึ่งเปิดด้วย ยิ่งมันพึ่งเปิดมันก็ต้องการลูกค้า ฉะนั้นเครดิตมันก็ต้องให้ กูว่างานนี้กูหรือมึงต้องรวยแน่ๆ ไอ้วัน” ภาณุยิ้มกริ่มอย่างมีความหวัง
“ความคิดดีวะเพื่อน” วันชัยถึงกับดีดนิ้วให้ความคิดชั้นเยี่ยมของภาณุ จากนั้นทั้งคู่ก็ช่วยกันขนโทรทัศน์ไปขาย เพราะเงินมันร้อนหรือว่าเพราะอะไร ทันทีที่ได้เงินมาอยู่ในมือภาณุกับวันชัยก็ขับรถมุ่งหน้าไปยังแหล่งวัดดวงแหล่งใหม่ ซึ่งต้องเดินทางออกไปประเทศเพื่อนบ้านอย่างสปป.ลาวก็ไม่หวั่น
ที่นั่นเป็นถึงคาสิโนที่หรูหราระดับห้าดาว ดูมีภาษีกว่าบ่อนกระจอกๆ ที่คนทั้งคู่เคยเข้าไปเสี่ยงดวงหลายสิบเท่านัก แม้จะต้องขับรถมาไกลถึงจังหวัดเชียงรายก็ไม่มีอาการเมื่อยขบให้เห็น
ทั้งภาณุและวันชัยจัดการข้ามชายแดนเพื่อไปเล่นคาสิโนโดยเฉพาะ ทั้งสองดูจะตื่นเต้นกับสถานที่ใหม่ๆ เพราะที่นี่ใหญ่โตโอ่อ่าสมกับคำว่าคาสิโนที่ติดกับแม่น้ำโขง ทำเลดีเยี่ยมเพราะอยู่ใกล้สามเหลี่ยมทองคำ การเดินทางก็สะดวกสบาย
ก่อนก้าวขาเข้าไปก็พากันยกมือไหว้ขอเจ้าที่เจ้าทางให้เปิดดวง เพื่อหวังกอบโกยเงินจากที่นี่ไปใช้หนี้ที่เก่า และดวงก็เข้าข้างภาณุ เพราะวันนี้เขามือขึ้นขั้นสุด แทงอะไรก็ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ ผิดกับวันชัยที่ดวงไม่เปิดเท่าเพื่อน ยิ่งแทงยิ่งเสีย จนเกิดอาการหงุดหงิด
“เบื่อ”
“เป็นอะไรวะไอ้วัน” น้ำเสียงร่าเริงของภาณุเอ่ยถามเพื่อนสนิทขึ้น ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อหาสิ่งที่ต้องการเสี่ยงดวง
“แทงอะไรก็เสียกับเสีย กูว่าเรากลับกันเถอะว่ะ”
“กูยังไม่กลับ เพราะดูสิกูได้มาเท่าไหร่” เอ่ยจบภาณุก็โชว์เหรียญที่ใช้แทนเงินให้เพื่อนได้เห็น ซึ่งมันมีมากจนวันชัยนั้นตาลุกวาว เพราะถ้านำเหรียญพวกนี้ไปแลกเป็นเงินสด คงได้มากกว่าการเอาโทรทัศน์ไปขายหลายเท่าแน่
“โอ้โห มึงมือขึ้นนี่หว่า”
“ใช่...ตั้งแต่เล่นมา กูว่าวันนี้กูมือขึ้นที่สุดแล้ว” ภาณุยิ้มกริ่ม รู้ว่ามือจะขึ้นแบบนี้มาเสี่ยงดวงที่นี่เสียตั้งนานแล้ว
“แบ่งกูบ้างสิ”
“เออ...เอาไปๆ แต่หมดแล้วหมดเลยนะมึง ห้ามขอกูอีก”
“เออนะ...กูรู้แล้ว” แม้จะจำนวนเหรียญที่ได้มาไม่ได้มากเท่ากับที่อยู่ในมือของภาณุ แต่อย่างน้อยๆ วันชัยก็มีพอไปต่อทุน
ทั้งคู่เข้ามาในคาสิโนเมื่อตอนบ่าย กระทั่งถึงบ่ายของอีกวันก็ยังคงอยู่ที่นี่ เรียกว่าใช้ชีวิตในคาสิโนเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วด้วยซ้ำ เพราะคาสิโนแห่งนี้มีโรงแรมระดับห้าดาวไว้บริการอีก
นอกจากร่างกายจะกระปรี้กระเปร่าเพราะการพนันแล้ว ภาณุกับวันชัยยังแอบพากันออกมาข้างนอกเพื่อเสพยาเสพติดที่พกติดตัวมาด้วย แม้ทางคาสิโนจะมีข้อห้ามเรื่องนี้ไว้อย่างเคร่งครัด เล่นการพนันได้แต่ห้ามเรื่องยาเสพติดอย่างเด็ดขาด
แต่คนทั้งคู่ก็อดไม่ได้ จึงยอมแหกกฏเพราะไม่คิดว่าจะมีคนรู้เห็น หารู้ไม่ว่าทั้งสองคนกำลังถูกจับตามองอยู่ โดยคนของราเชน เจ้าของคาสิโนแห่งนี้นั่นเอง
ในขณะที่หนึ่งคนกำลังดวงขึ้น อีกหนึ่งคนก็คล้ายกำลังดวงตกนิดๆ เพราะงานที่ตัวเองไม่ได้รับผิดชอบ แต่เมื่อเกิดความผิดพลาดกลับถูกเรียกเข้าไปกล่าวตักเตือนร่วมกับคนรับผิดชอบงานชิ้นนี้ แถมไปๆ มาๆ ยังถูกดุมากกว่าเสียอีก
นั่นเพราะเกิดข่าวลือผิดๆ ว่าเธอนั้นเล่นหูเล่นตากับผู้อำนวยการใหญ่ จนเป็นเหตุให้ครอบครัวอันอบอุ่นของผู้จัดการคนนั้นเกิดรอยร้าวขึ้น นิลยาพยายามที่จะไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ เพราะเธอไม่ได้ทำอะไรทำนองนั้น
บวกกับช่วงนี้จะมีการแต่งตั้งระดับหัวหน้างานคนใหม่ ซึ่งเธอเองก็มีสิทธิ์ที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นอันดับต้นๆ เพราะทำงานดีมาตลอดหลายปี จึงไม่อยากให้มีข่าวฉาวมากลบตำแหน่งที่คาดหวัง แต่ยิ่งเงียบทุกอย่างกลับดิ่งลงเหว ยิ่งเงียบไฟใต้น้ำก็ยิ่งปะทุ
“ถ้าเธอไม่พอใจก็ลาออกไปได้นะนิลยา”
“ว่าอะไรนะคะผู้จัดการ”
“ฉันบอกว่าหากเธอไม่พอใจที่ถูกฉันตักเตือนเรื่องนี้ เธอก็ลาออกไปได้เลย” น้ำเสียงห้วนๆ ของผู้จัดการฝ่ายบัญชีซึ่งเป็นหัวหน้าของนิลยาโดยตรงเอ่ยทวนขึ้น ในฐานะการทำงานเธอคือหัวหน้าแต่อีกหนึ่งฐานะคือน้องสาวภรรยาของผู้อำนวยการใหญ่คนที่มีข่าวลือผิดๆ กับนิลยานั่นเอง
“ไม่ค่ะ ดิฉันยังอยากทำงานอยู่ที่นี่” นิลยาเอ่ยตอบขึ้น เธอพอจะเข้าใจแล้วว่าเพราะอะไรเธอถึงถูกเรียกมาตักเตือนในเรื่องที่เธอนั้นไม่ได้ทำผิด คงแอบแฝงเรื่องนี้เข้ามาด้วยเป็นแน่
“แต่ฉันอยากให้เธอลาออกได้ยินไหม จะลาออกดีๆ หรือจะให้ฉันไล่เธอออก”
“ผู้จัดการ!” น้ำเสียงของนิลยานั้นสั่นเครือ เพราะเธอยังไม่พร้อมจะตกงานในเวลานี้ ยังไม่พร้อมจริงๆ
“ลาออกไปซะ ไม่งั้นเธอก็จะถูกทุกคนในบริษัทมองในฐานะ...เมียน้อยอยู่แบบนี้ อ้อหรือว่าเมียน้อยอย่างเธอชอบถูกมองแบบนี้กัน” สายตาของผู้จัดการที่ส่งมานั้นช่างดูถูกดูแคลนเสียเหลือเกิน ผิดกับผู้จัดการคนเก่าที่นิลยาเคยรู้จักมากมายนัก
แต่เธอก็พอจะเข้าใจได้ เพราะผู้จัดการเองก็คงเห็นอกเห็นใจพี่สาวที่ถูกสามีสวมเขาให้แบบนั้น แต่เธอไม่ได้ทำอะไรผิด เธอไม่เกี่ยวข้องด้วย
“มันไม่ยุติธรรมค่ะ ทั้งๆ ที่ดิฉันยังไม่ได้ทำอะไรแบบนั้น ดิฉันไม่ใช่เมียน้อยท่าน” นิลยายืนกรานในความบริสุทธิ์ แต่ก็ไม่รู้ว่าเสียงของเธอจะดังพอที่คนอื่นจะได้ยินไหม
“ถ้าเธอไม่ได้ทำแล้วใครจะทำ ไม่มีมูลหมามันไม่ขี้หรอกนะ”
“ดิฉันเองก็ไม่ทราบจริงๆ ค่ะ ว่าใครเป็นคนกุเรื่องนี้ขึ้นมาใส่ร้ายดิฉัน แต่ถ้ามีหลักฐานอย่างอื่นมัดตัว นอกจากคำพูดลอยๆ จากใครก็ไม่รู้ ดิฉันก็พร้อมจะลาออกทันที”
“ได้...จำคำพูดของเธอไว้ด้วย”
“ค่ะ”
“แต่ถ้าเธอมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดก็อยู่ให้เป็นแล้วกัน ส่วนข่าวลือถ้ามันไม่จริงคนก็คงหยุดลือกันไปเอง”
“ขอบคุณนะคะผู้จัดการที่ให้โอกาส”
“อืม...” น้ำเสียงของผู้จัดการฝ่ายบัญชีเอ่ยรับเพียงแค่นั้น นั่นเพราะหากจะเอาผิดอะไรนิลยาแล้วยังไร้หลักฐานอื่นๆ นอกเสียจากคำพูดลอยๆ ก็คงยาก ดีไม่ดีหากเธอถูกบีบให้ลาออกแล้วไปแจ้งกรมแรงงานเข้า บริษัทพี่เขยก็มีแต่จะเสื่อมเสียชื่อเสียงเสียเปล่าๆ
