2.บุพเพอาละวาด (ต่อ)
*** ทักทายคร้า ***
เรียวและสมิธมองหน้ากันอย่างแปลกใจในตัวเจ้านายหนุ่ม คนอย่างเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ชื่อดังไม่เคยเสียเวลาต่อปากต่อคำกับผู้หญิง แค่กระดิกนิ้วพวกหล่อนก็แทบจะคลานเข้ามาซบอกกันทั้งนั้น
“คนเราหนีสังขารไม่พ้นหรอกค่ะ…พรุ่งนี้คุณอาจจะถูกเขายิงบาดเจ็บ เพราะท่าทางคุณศัตรูก็คงเยอะไม่เบาเพราะต้องจ้างบอดี้การ์ดหลายคน” หล่อนมองไปที่เรียวกับสมิธ และมองไปยังกลุ่มชายฉกรรจ์อีกสามสี่คนที่ยืนรายล้อมเขาอยู่
“ถ้าผมเกิดเป็นอย่างที่คุณว่า ผมจะให้คนของผมมารับคุณทันที...คุณพยาบาล” ว่าแล้วนาร์ธานก็ก้าวยาวๆ เข้าไปในลิฟต์ที่เปิดรออยู่ มาดาวีเบ้ปากอย่างไม่สนใจ ก่อนจะเดินกลับไปทำหน้าที่ของตน…
ภายในรถยนต์คันหรู นาร์ธานยังคงนั่งเงียบ มองออกไปด้านนอกด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ดวงตาคมมองผู้คนที่เดินอยู่บนท้องถนน ร่างสูงสง่าถอนหายใจเบาๆ เพื่อผ่อนคลายจิตใจที่เหนื่อยล้าจากการทำงาน
นาร์ธานดูแลธุรกิจของตระกูลตั้งแต่อายุยี่สิบเจ็ด เพราะพ่อเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกเมื่อหลายปีก่อน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นับหมื่นล้านที่อยู่ในมือของเขาเจริญเติบโตโกยกำไรมากมายมหาศาล หลายคนต่างให้ความสนใจในตัวของนักธุรกิจหนุ่มที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในขณะนี้ก็ว่าได้
หากภาพลักษณ์ของเขาที่ออกสู่สายตาคนทั่วไปจะออกไปทางเคร่งขรึมและมีบอดี้การ์ดมากมาย หนังสือธุรกิจหลายฉบับให้ฉายาเขาว่าเป็นเจ้าพ่อทางธุรกิจที่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ซึ่งเขาก็ไม่คิดจะแก้ข่าวแต่อย่างใด
“ไปไหนครับ” เรียวถามหลังจากที่เงียบมานาน
“ไปคลับ” รถยนต์คันหรูเปลี่ยนทิศทางทันทีที่มีคำสั่งออกมา
“พยาบาลคนนั้นดูๆ ไปก็สวยเหมือนกันนะครับนาย” สมิธซึ่งทำหน้าที่เป็นสารถีเอ่ยขึ้น ตาเหลือบมองเจ้านายจากกระจกหลัง
“สวย” นาร์ธานบอก ก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงความนุ่มหยุ่นของร่างบางที่เขาได้กอดโดยบังเอิญ
“จะให้พวกผมไปเอาตัวมาไหมครับ” เรียวเอ่ยถามเหมือนเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนปฏิเสธ นาร์ธาน มอนซันโต คาเอล สักครั้ง เพราะข้อเสนอที่ได้นั้นคุ้มค่าเสมอ
“ถ้าฉันเป็นอย่างที่เธอว่า ค่อยไปเอาตัวเธอมาก็ยังไม่สาย นายสองคนว่าจริงไหม” นาร์ธานบอกลูกน้องคนสนิทอย่างอารมณ์ดีเมื่อนึกถึงคนที่กล้าต่อปากต่อคำกับตนเอง…
บ้านไม้สีขาวสองชั้นหลังกะทัดรัดอยู่ท่ามกลางไม้ดอกไม้ประดับมากมาย ดูร่มรื่นและน่าอยู่ ร่างระหงกลมกลึงในชุดพยาบาลสีขาวก้าวลงจากรถเก๋งกลางเก่ากลางใหม่ที่ซื้อมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ดวงตากลมโตคู่สวยยิ้มออกมาอย่างดีใจเมื่อเห็นเจ้าหมาน้อยชื่อพันไมล์ สุนัขพันธุ์ปอมขนยาวสีขาววิ่งเข้ามาคลอเคลียที่ขา หญิงสาวก้มลงอุ้มขึ้นมาหยอกล้ออย่างคิดถึง ก่อนจะวางกระเป๋าลงบนโซฟาที่ตั้งอยู่ชิดขอบหน้าต่าง
“ไงจ๊ะพันไมล์ คิดถึงแม่ไหมเอ่ย” หล่อนยิ้มสดใสเมื่อเจ้าพันไมล์เหมือนรู้ภาษา ยื่นคอไปพาดบนไหล่เธออย่างประจบ
“ป้าคะ...ป้า” หญิงสาวส่งเสียงเรียกหาโสภาผู้เป็นป้าที่เลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่เธอยังเด็กๆ เพราะแม่ของเธอเสียชีวิตหลังจากที่คลอดเธอได้ไม่นาน
“แก้ม ป้าอยู่นี่ลูก” โสภาโผล่หน้าออกมาจากห้องครัวเพื่อให้หลานสาวเห็นหน้า
“ป้าทำอะไรทานจ๊ะ ห้อมหอม” หล่อนสูดหายใจยาวๆ สายตามองไปยังหม้อแกงที่กำลังเดือด
“ป้าเห็นผักที่สวนกำลังสวยน่ะ ก็เลยเก็บมาแกงส้ม” โสภาบอกหลานสาวยิ้มๆ ก่อนจะหันกลับไปสนใจแกงในหม้อตามเดิม
“ปีนี้ส้มในสวนคงได้กำไรบ้างนะคะป้า” หญิงสาวเอ่ยถามกับผู้เป็นป้า มือบางวางเจ้าพันไมล์ลงพื้นแล้วเดินไปล้างมือ ก่อนจะเปิดตู้เย็นหยิบน้ำมาดื่ม
“ราคาน่าจะดีกว่าปีที่แล้วนะจ๊ะ แต่ก็ไม่มาก ก็พอให้ชาวสวนส้มอย่างเราๆ มีทุนต่อชีวิตอีกปี” นางโสภาบอกอย่างปลงๆ หากสีหน้าไม่จริงจังมากนัก
“แก้มขอไปอาบน้ำก่อนนะคะ” หญิงสาวเข้ามากอดเอวหนาของผู้เป็นป้า หอมแก้มเบาๆ ก่อนจะวิ่งขึ้นไปชั้นบน นางโสภามองร่างบางอย่างเอ็นดูแล้วก้มมองเจ้าพันไมล์ที่ยืนครางอยู่ใกล้ๆ
“แม่โสภา…แม่โสภา…” เสียงเรียกอยู่ประตูหน้าบ้าน ทำให้นางโสภาชะเง้อมอง พอเห็นว่าเป็นแม่ค้าที่รู้จักกันก็เดินยิ้มออกมาหาที่ประตู
“มีอะไรจ๊ะแม่นงค์”
“ฉันมาสั่งขนมน่ะ เอาเหมือนเดิม พรุ่งนี้ให้เด็กไปส่งให้ที่ตลาดด้วยนะจ๊ะ” แม่นงค์เป็นแม่ค้าในตลาดที่รับขนมไทยของโสภาซึ่งทำขายเป็นประจำ หากเป็นวันหยุดมาดาวีก็จะคอยเป็นลูกมือเสมอๆ
“ใครมาจ๊ะป้า” มาดาวีในชุดกางเกงจีนสีครีมกับเสื้อยืดสีขาวพอดีตัว เดินปะแป้งหน้าขาวลงบันไดมานั่งลงบนโซฟาซึ่งนางโสภานั่งอยู่ก่อนแล้ว
“แม่นงค์น่ะจ้ะเขามาสั่งขนม พรุ่งนี้ให้ไปส่งที่ตลาดด้วย” โสภาลูบศีรษะเล็กที่ปกคลุมด้วยเส้นผมดำสลวยยาวเคลียไหล่ หลังจากที่ร่างบางล้มตัวลงนอนหนุนตัก
“พรุ่งนี้แก้มจะไปส่งให้เองนะจ๊ะ” มือบางของหญิงสาวจับมือที่กร้านจากการทำงานของผู้เป็นป้าขึ้นมาวางไว้บนอก
“ไม่อายคนอื่นเขาหรือลูกที่ต้องไปส่งขนมแทนป้า” โสภามองใบหน้าเกลี้ยงเกลาของหลานสาวอย่างรักใคร่ ไม่เสียแรงที่นางทุ่มเทเลี้ยงมาดาวีมาตั้งแต่เล็ก หญิงสาวไม่เคยทำให้นางหนักใจหรือเป็นกังวล ช่วยงานทั้งในสวนและงานอื่นๆ สารพัด เพื่อส่งเสียตัวเองเรียนจนจบพยาบาล
“ทำไมแก้มต้องอายล่ะจ๊ะเราไม่ได้ไปปล้นใครเขาสักหน่อย หากินสุจริตจะตายไป” หล่อนกอดเอวหนาแล้วไซ้ตรงท้องยุ้ยของผู้เป็นป้า
“ไม่เอายัยแก้ม ป้าจั๊กจี้…ฮิๆ” เสียงหยอกล้อกันของป้าหลานสลับกับเสียงเห่าของเจ้าพันไมล์ ดังออกไปนอกบ้านอย่างมีความสุข…
*** ขอบคุณคร้า ***
