6ใครที่ไหนมันจะมาดูแลฉัน นอกจากแกล้งฉันจนขาลากเนี่ยให้ตายสิ!
ฉันลากกระเป๋าของตัวเองไปไว้ข้างต้นไม้เมื่ออากาศยามบ่ายมันร้อนมาก ร้อนจนรู้สึกจะเปื่อยให้ได้เลย สักพักก็มีจักรยานยนต์พ่วงข้างมาอีก 2 คัน เขาจอดไว้ข้างทางแล้วผู้ชายที่ขับรถคนนึงก็ไปนั่งกับรถที่มาด้วยกันแล้วเรียกผู้ชายอ้วนๆกับผู้หญิงสวยๆขึ้นไปนั่ง
ผู้ชายหน้าตาดีเขาเป็นคนไปขับจักรยานยนต์อีกคัน แล้วหันมาหาฉัน
"จะไปด้วยกันไหม ถ้าไม่ไปไม่มีรถมาอีกแล้วนะ" เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ฉันเลยลากกระเป๋าแล้วเดินไปขึ้นรถ นั่งแบบเกร็งๆนั่นแหละค่ะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยนั่งรถประหลาดแบบนี้เลย
รถอีกคันวิ่งไปก่อน ส่วนฉันก็นั่งหัวสั่นด๊อกแด๊กหลุมห่าเต็มไปหมด หัวใจเต้นตุ้มๆต่อมๆ รถคันหน้าก็ขับไม่รอเลย ขับเร็วจนลับตาพร้อมกับฝุ่นตลบ
"แค่กๆ" ฝุ่นพีเอ็ม2.5ยังไม่ร้ายเเรงเท่าฝุ่นสีแดงของถนนลูกรัง ให้ตายสิ! หัวฉันแดงเถือกหมดลุคคุณหนูผู้ดีแห่งตระกูลดำรงค์พงษ์เมธา
"อีกไกลไหมคะ?" เป็นครั้งแรกที่ฉันเอ่ยถามเขา ถึงจะหล่อแต่ก็ใช่ว่าจะไว้ใจเขาได้
"ไม่หรอกครับ ทางมันคดเคี้ยวน่ะ ประมานสองโลก็ถึง" เขาพูดแค่นั้นก็จดจ้องมองถนน ขับไปอีกประมาณ1กิโลรถก็กระตุกแล้วดับ ฉันนี่อยากจะกรี๊ดเลย อุปสรรคโคตรอุปสรรค มันเชี่ยอะไรเนี่ย
"ระ...รถเป็นอะไร?"
"น่าจะน้ำมันหมดให้ตายสิ ไอ้สองน่าจะไม่ดูน้ำมันรถก่อนมารับ"
เชี่ย!เชี่ย!เชี่ย! ในใจได้แต่สบถคำนี้ออกมา แล้วจะทำยังไงดีล่ะทีนี้ โอ้ย!
"แล้วจะทำยังไงดีล่ะคะ"
"ทำไงได้ เดินสิครับคุณ!" อร๊าย! เดินอีกเป็นกิโล ให้ตาย! ขาฉันคงแข็งเป็นคนปั่นสามล้อเป็นแน่ กรรมของอีหวาน ย้อนเวลาได้ไหม อยากให้แม่มาส่ง แงงง
ผู้ชายคนนั้นเดินไปตามถนนเล็กๆเข้าป่า ส่วนฉันยังยืนเอ๋อ
"มาสิ ยืนให้ผีหลอกเหรอ ศาลตรงนั้นผีดุนะ" ตรงรถดับมันมีศาลด้วย แค่ได้ยินว่าผีฉันก็หูตั้งแล้ว รีบลากกระเป๋าวิ่งตาม อยากร้องไห้ เขาเดินไม่รอฉันเลย
"ทำไมต้องมาทางนี้" ฉันตะโกนถามแอบเสียวสันหลังวาบ
"ทางลัดน่ะ" กระเป๋าหนักใบก็ใหญ่ยิ่งลากไปตามถนนที่ขรุขระมันก็ยิ่งลำบาก โอ้ย อยากจะทิ้งกระเป๋าจริงๆ ส่วนผู้ชายคนนั้นมีเพียงกระเป๋าเป้ใบเดียวที่เขาสะพาย เขาเดินตัวปลิว ฉันเนี่ยตามแทบไม่ทัน ทั้งกลัวทั้งเหนื่อยทั้งเจ็บมือ
การมาที่โคกควายแดงครั้งนี้ มันคงทำให้ฉันหลาบจำไปตลอดชีวิต
ฉันรีบลากกระเป๋าตามแต่ก็ตามไม่ทัน สองข้างทางเต็มไปด้วยป่าฉันจะเดินกลับหรือจะเดินต่อรู้สึกลัวไปหมด เสียงแมลงเริ่มร้องดังเซ็งแซ่รู้สึกกลัว มือไม้สั่นจนไม่อาจห้ามปรามได้
ฉันเพิ่งจะเคยมาสถานที่แบบนี้ ถ้าไปต่อก็ไม่รู้ว่าจะหลงในป่าหรือเปล่า แต่ถ้ากลับไปฉันก็กลัวผีอีก ฉันไม่น่าตามไอ้บ้านี่เข้ามาเลย
ฉันยืนละล้าละลังอยู่นานมาก ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กะว่าจะโทรหาแม่เผื่อท่านจะมีทางช่วย แต่ปรากฏว่าสัญญาณโทรศัพท์ไม่มี เชี่ย อะไรจะทุรกันดารขนาดนี้
ไอ้บ้านโคกควายแดงหรือไอ้บ้านโคกกระบือแดงเนี่ย ถ้าฉันทำธุระที่ฉันตั้งใจจะทำเสร็จ ฉันจะไม่มาเหยียบที่นี่อีกเลยคอยดูสิ ?
ฉันยืนอยู่นานมาก ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะไปต่อหรือจะพอแค่นี้ กลัวก็กลัว กลัวไปหมด ไปข้างหน้าก็กลัวกลับก็กลัว เวรกรรมของคนสวยที่ต้องมาซวยเพราะสัญญางี่เง่าของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย
แล้วมันเป็นความโง่ของฉันเองที่สะเร่อและสาระแนที่ไม่ยอมให้แม่มาส่ง ทั้งที่รู้ตัวเองว่าเป็นคนที่ไม่ได้เรื่องขนาดไหน ขนาดขับรถไปทำงานทุกวันก็ยังหลงเลยนับประสาอะไรกับการมาบ้านป่าเมืองเถื่อน ที่แทบจะไม่รู้จักด้วยซ้ำ
"ยืนซื่อบื้ออะไรอยู่เล่า รีบมาสิเดี๋ยวค่ำมืดเสือออกมากินตายหรอก" เสียงเข้มเอ่ยอย่างดุๆ ฉันถึงกับสะดุ้งโหยง รีบหันไปมองเจ้าของเสียงเขายืนเท้าเอวจ้องมองฉัน ทั้งเสือทั้งผีให้ตายสิ
ฉันรีบลากกระเป๋าเดินตรงไปหาเขาถึงแม้ว่าจะทุลักทุเล แต่ก็ยังดีกว่าต้องกลับคนเดียว หรือไปคนเดียว
"เอามา เดี๋ยวฉันจะลากไปให้"
เขาหน้ามุ่ยเดินมาลากกระเป๋าให้ฉัน เพิ่งคิดได้เหรอว่าควรจะลากกระเป๋าให้ฉัน แต่ก็ขอบคุณในใจที่เขาก็ยังมีน้ำใจช่วยทำ
แต่เรื่องการเดินเร็วเนี่ยสุดยอดเลยค่ะขนาดฉันตัวเปล่าไม่ได้มีภาระอะไรแล้วฉันก็ยังเดินแทบไม่ทันเขาพาลัดเลาะไปตามป่า ทางที่มีให้เดินก็ไม่เดินพาบุกป่าฝ่าดงทะลุออกถนนเส้นนั้นเช่นนี้จนฉันอ่อนล้าอ่อนเพลียไปหมด
อยากจะร้องไห้ เหนื่อยหิวเจ็บปวดไปหมด แข้งขาโดนไม้เกี่ยวแสบมาก แต่ฉันก็พยายามหอบหิ้วสังขารตามเขาให้ทัน
จนกระทั่ง....จนกระทั่ง...
จนกระทั่งถึงหมู่บ้านฉันอยากจะร้องไห้ออกมาเลย ในที่สุดฉันก็เจอแล้วบ้านนอกบ้านแห่งความทุรกันดาร นั่นก็คือบ้านโคกกระบือแดง
"เธอจะมาหาใคร ให้ฉันไปส่งหรือเปล่า"
"ฉันมาหาผู้ใหญ่ถึก นายช่วยไปส่งฉันหน่อยสิ" ฉันเอ่ย เรี่ยวแรงก็แทบจะไม่มีแล้วแข้งขาแดงเถือกแสบไปหมด ผู้ชายคนนั้นยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วพาฉันเดินไปจนกระทั่งถึงบ้านไม้ทรงไทยเหมือนในละครสวยมาก
"ผู้ใหญ่ถึกน่าจะอยู่ข้างใน นี่กระเป๋าของเธอ" เขายื่นกระเป๋าให้ฉันแล้วรีบเดินตัวปลิวหายไปเลย ฉันยืนเอ๋ออยู่หน้าบ้านก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไป
ตอนนี้มีเจ้าถิ่นตัวเล็กตัวน้อยออกมาต้อนรับฉันอย่างดีเลยเห่ากันเสียงดังระงมพร้อมกับขู่กรรโชกฉัน
ให้ตายสิเหนื่อยสุดๆ แต่ก็มาถึงเป้าหมายอย่างปลอดภัย...
"นั่นหนูน้ำหวานหรือเปล่า?" ป้าวัยกลางคนตะโกนถามฉันจากชานบ้านฉันได้ยิ้มเจื่อนเหนื่อยไปหมด เรี่ยวแรงที่จะยืนแทบไม่มีแล้ว
"ใช่ค่ะ"
"โอ้ย! ทำไมอยู่ในสภาพนี้ล่ะลูก" ท่านรีบลงบันไดแล้วตรงมาหาฉัน
"พอดีหนูมาเอง เหนื่อยมากๆเลยค่ะรถดับด้วยทำให้ต้องเดินมาบุกป่าฝ่าดงเหนื่อยแทบตาย"
"ทำไมต้องบุกป่าฝ่าดงด้วยล่ะ ถนนมาออกจะสะดวกสบาย รู้ไหมว่าถนนลาดยางมันถึงหมู่บ้านแล้วนะ"
คำตอบของหญิงคนนั้นทำให้ฉันถึงกับเบิกตาโพลง อะไรกันที่บอกว่าถนนหนทางสะดวกสบายแล้ว ทั้งที่ความเป็นจริงฉันต้องนั่งรถถึง 3-4 ต่อไหนจะรถมาดับที่ข้างศาลอีก ให้ตายสิอะไรกันนี่
"คุณป้าบอกว่าถนนลาดยางมันมาถึงที่หมู่บ้านแล้วหรอคะ?"
"ใช่จ้ะถนนลาดยางมาถึงหมู่บ้านแล้ว สะดวกสบายไม่ต้องนั่งรถหลายต่ออะไรทั้งสิ้น หรือว่าหนูน้ำหวานไปโดนใครแกล้งมา ให้ตายสิ ใครมันกล้ามาแกล้งว่าที่ลูกสะใภ้ฉันเนี่ย"
ท่านสบถออกมาด้วยความโมโห ส่วนฉันคิดไปถึงไอ้หน้าหล่อเหลาคนนั้น ให้ตายหน้าหล่อแต่นิสัยเลว แกล้งฉันเดินจนเหนื่อย คิดแล้วแค้นชะมัด
"น้ำหวานเหนื่อยจังค่ะ น้ำหวานอยากอาบน้ำ น้ำหวานอยากพัก"
"งั้นรีบตามแม่ขึ้นไปข้างบนเถอะจ๊ะ จะได้อาบน้ำพักผ่อน เดี๋ยวแม่จะจัดกระเป๋าทำอะไรให้ หนูน่าจะให้แม่น้ำค้างพามาส่งนะจ๊ะ หนูไม่น่ามาเองเลย แต่ก็ยังดีที่มีคนดูแลหนูจนถึงที่นี่"
ใครที่ไหนมันจะมาดูแลฉัน นอกจากแกล้งฉันจนขาลากเนี่ยให้ตายสิ!
