ตรวจสอบ
ฝูเหิงชะงักอยู่กับที่ แววตาของเขาสั่นไหวออกมาวูบหนึ่ง เขาต้องหูฝาดไปแล้วแน่ที่คิดว่าตนได้ยินเสียงของเหยาเหยา นางจะมาอยู่ในค่ายทหารได้อย่างไร
“มีอันใด” ตงหยางเห็นน้องชายหยุดอยู่กับที่ก็เอ่ยถามอย่างแปลกใจ
“เปล่าขอรับ” ฝูเหิงกลับมามีสีหน้าถมึงทึงเหมือนเดิม และเหมือนจะยิ่งมีโทสะมากกว่าเดิมที่ตนเผลอนึกไปถึงสตรีผู้นั้นได้
เหยาเหยารีบร้อนเดินออกจากค่ายทหารพร้อมกับพี่ชาย นางลืมความเจ็บปวดที่ฝ่าเท้าไปชั่วคราว
ฝูเหิงหรี่ตามองแผ่นหลังของสตรีกับบุรุษที่รีบร้อนเดินออกไป ก่อนจะดึงสายตากลับมา แล้วลงจากหลังม้าเข้าไปในกระโจม
เหยาเหยาเมื่อมาถึงค่ายอพยพนางก็ส่งยาให้เสี่ยวผิงไปต้มให้มารดาทันที ทั้งยังถอดถุงเท้าตรวจดูบาดแผลของนางด้วย
นางค่อยๆ ทายาที่แผลอย่างเบามือ เหมือนจะยิ่งแย่กว่าเมื่อวานเสียอีก ความแสบร้อนของฝ่าเท้าทำให้เหยาเหยานางสูดปากอย่างเจ็บปวด
“เจ้าเห็นแม่นางน้อยที่เข้ามาในค่ายทหารหรือไม่”
“เป็นเช่นไร”
“ข้าไม่เคยพบเจอสตรีนางใดงดงามเช่นนี้มาก่อน แม้จะอยู่ในอาภรณ์เปรอะเปื้อนเช่นนั้น แต่ก็ยังทำให้ข้ามองจนตาค้างได้”
“จริงหรือ ข้าอยากจะเห็นยิ่งนัก”
“คงต้องไปเที่ยวแถวค่ายผู้อพยพเสียแล้ว”
เสียงพูดคุยหัวเราะของทหารที่เดินผ่านกระโจมทำให้ฝูเหิงที่อยู่ด้านใน ใจไม่สงบนัก เขาไม่รู้ว่าเหตุใดแผ่นหลังของนางทำให้เขานึกถึงเจ้าเต้าหู้น้อยของเขาขึ้นมาได้
แม้จะไม่พบนางมาเกือบสี่ปีแล้ว หากได้เห็นอีกครั้งเขาย่อมจำนางได้ในทันที
“เจ้าไปตรวจดูสตรีที่เข้ามาในค่ายเป็นผู้ใด”
“ขอรับ”
ฝูเหิงสั่งทหารคนสนิทให้รีบออกไปตรวจสอบให้เขาทันที
เหยาเหยาเมื่อตรวจดูอาการไข้ของมารดาลดลงแล้วนางก็พักอยู่แต่ในบ้านดินไม่ได้ออกมาด้านนอกอีกเลย
เพราะหน้าตาของนางที่เป็นจุดเด่นมากเกินไป ทำให้ไม่อยากออกไปปรากฏตัว เพียงแค่สายตาของชาวบ้านกับทหารที่มองมายามนางเดินผ่านก็ทำให้นางอดจะหวาดกลัวไม่ได้
ยังดีที่บ่าวผู้ชายในจวนผลัดเปลี่ยนกันมาเฝ้าที่หน้าบ้านดินของนางไม่ขาด
เสี่ยวถงทหารคนสนิทของฝูเหิงหาตัวสตรีที่เข้าไปในค่ายไม่พบ แต่เขาก็พอจะรู้ว่านางพักอยู่ที่บ้านดินหลังไหน เมื่อซุ่มหลบดูอยู่นานก็ไม่เห็นว่านางจะออกมา
มีเพียงสาวใช้ที่เดินเข้าออกเท่านั้น แต่อย่างน้อยเขาก็สืบจนรู้ว่านางมาจากตระกูลใด
เสี่ยวถงรีบกลับไปที่ค่ายเพื่อรายงานนายของตนทันที
“ได้ความว่าอย่างไร” ฝูเหิงเอ่ยถามอย่างร้อนใจ
“ข้าน้อยไม่พบตัวนางขอรับ” เมื่อเห็นสายตาของฝูเหิงที่มองมาราวกับจะบีบคอเขาให้ตาย เสี่ยวถงก็รีบเอ่ยเรื่องนามของนางทันที
“รู้เพียงว่านางเป็นคุณหนูตระกูลหวัง หวังเจินเหยาขอรับ”
สิ้นคำของเสี่ยวถง ฝูเหิงก็ปล่อยจอกสุราทิ้งลงพื้นจนแตกละเอียด ดวงตาของเขาทอประกายวูบอย่างน่าหวาดหวั่น ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอ่านสิ่งใดอยู่
เพียงเสี่ยวถงเดินออกไปจากกระโจม เสียงพังข้าวของด้านในก็ดังโครมครามออกมาด้านนอก ทหารที่เฝ้าหน้ากระโจมต่างถอยห่างออกไป เพราะกลัวคนด้านในจะเกิดพาลจนมาหาคู่ซ้อมเช่นพวกเขา
“เกิดอันใดขึ้น” ตงหยางเดินเข้ามาถามเสี่ยวถงที่ยืนตัวสั่นอยู่หน้ากระโจมน้องชาย
“รองแม่ทัพให้ข้าน้อยไปตรวจสอบเรื่องสตรีที่เข้ามาในค่ายขอรับ” เสี่ยวถงเอ่ยตอบอย่างสั่นเทา
หากเรื่องเพียงแค่นี้ ไม่อาจทำให้โทสะของฝูเหิงเป็นเช่นนี้ไปได้
“แล้วอย่างไร” เขาเอ่ยถามเสียงเย็น
“ข้าน้อยบอกรองแม่ทัพว่านางคือคุณหนูหวัง หวังเจินเหยา ท่านรองแม่ทัพก็ทำลายข้างของเลยขอรับ” เสี่ยวถงเกาหัวอย่างไม่เข้าใจ
ตงหยางดวงตาไหววูบขึ้น เมื่อรู้ว่าคนตระกูลหวังอยู่ที่ค่ายผู้อพยพ
“ไปพาตัวคุณชายหวังกับคุณหนูหวังว่า” เขาเอ่ยสั่งเสี่ยวถง แล้วเดินเข้าไปในกระโจมของน้องชาย
“หึ เพียงได้ยินชื่อนางก็คลุ้มคลั่งเลยรึ” ตงหยางรินสุราลงในจอก ที่ยังไม่แตกอย่างใจเย็น
“หรือท่านไม่แค้นคนตระกูลหวัง” ฝูเหิงหันมามองพี่ชายที่นั่งลงดื่มสุราอย่างใจเย็น
ดวงตาของเขาแดงก่ำอย่างน่าหวาดกลัว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์สุราหรือโทสะที่อยู่ในใจ
“วิธีจะจัดการนางมีต้องมากมาย แต่เจ้ากับเลือกทำลายข้าวของ” ตงหยางมองน้องชายอย่างใจเย็น
“ท่านกำลังพูดสิ่งใด” ฝูเหิงเอ่ยถามพี่ชายอย่างไม่เข้าใจ
