7 ตำแหน่งเลขา
Rrrr Rrrrr
เสียงโทรศัพท์ที่ดังอยู่บนหัวเตียงทำให้เด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังนอนหลับฝันดี งัวเงียตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกหงุดหงิด ก่อนจะเขย่าตัวเบา ๆ ให้แม่รับสาย
“คุณแม่ขา มีโทรศัพท์มาค่ะ”
“ใครโทรมาคะ” นอกจากจะไม่ยอมตื่นแล้วยังพูดเสียงงัวเงียถามลูกสาวกลับ
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ มันไม่ได้บันทึกไว้” เสียงใสเอ่ยตอบแม่ ก่อนจะยื่นโทรศัพท์ให้แม่ เมื่อเห็นแม่ลุกขึ้นนั่งแล้ว
“คุณชาลิสา ผมให้เวลาคุณอีกสิบห้านาที ถ้าคุณยังไม่ถึงบริษัท ผมไล่คุณออก” เสียงเข้มที่ดังเข้ามาในสายทำให้คนที่งัวเงียอยู่ ตื่นขึ้นเต็มตาในทันที
“กะ กรหรอ... มะไม่สิ ท่านประธาน” เมื่อได้สติก็รีบแก้ในทันที เมื่อรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรออกไป
“ฉันผ่านสัมภาษณ์หรอคะ”
“เหอะ ผมคิดถูกหรือคิดผิดกันที่รับคุณเข้าทำงาน”
“ผมบอกให้คุณรอรับการตอบกลับ คุณได้เปิดเมลอ่านบ้างรึเปล่า”
“เมล?”
“อีกสิบหน้านาที ผมหวังว่าจะได้เห็นหน้าคุณ” พูดจบก็วางสายไปในทันที ไม่ทันให้เธอได้พูดอะไรแม้แต่น้อย ก่อนจะรีบเข้าเมลเพื่อเปิดดูการตอบกลับที่เขาว่า ซึ่งมันก็มีจริง ๆ แต่เพราะเมื่อวานเธอคิดไว้แล้วว่าอย่างไรก็ไม่มีทางผ่านสัมภาษณ์จึงไม่ได้คิดจะเปิดเมลดูอีก อีกทั้งบริษัทที่เธอยื่นสมัครงานทั้งหมด เธอก็ได้เปิดอ่านไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
“เกิดอะไรขึ้นหรอคะคุณแม่” เมื่อเห็นคุณแม่ดูตกใจแปลก ๆ พระพายที่กำลังล้มตัวลงนอนจึงเอ่ยถาม
“เจ้านายแม่ โทรมาตามแม่ไปทำงานน่ะ”
“แต่วันนี้วันเสาร์นะคะ” พระพายตอบกลับไป วันนี้เป็นวันเสาร์ แล้ววันเสาร์ก็คือวันหยุด แล้ววันเสาร์นี้ยังเป็นวันที่แม่บอกกับเธอว่าจะพาไปเล่นกับคุณตาคุณยายที่โรงพยาบาล
“จริงด้วย...แต่ว่าแม่ต้องไปค่ะ” หลังจากได้ยินสิ่งที่ลูกสาวพูด ก็ทำให้ชาลิสาฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้บ้าง แต่ความคิดก็ถูกตีแตกไป เมื่อคำพูดของเขาลอยเข้ามาในหัว
"แต่การเป็นเลขาของผม คุณต้องติดตามผมไปทุกที คุณอาจไม่มีเวลาให้ครอบครัว"
"และคุณก็ต้องพร้อมที่จะทำงานเสมอ ไม่ว่าวันนั้นจะเป็นวันหยุด"
“ถ้าคุณแม่ไปแล้วพระพายล่ะคะ” เสียงเล็ก ๆ ร้องค้าน พร้อมกับเดินตามไปหา เมื่อเห็นแม่กำลังไปอาบน้ำ
“เดี๋ยวแม่ไปส่งพระพายไปหาคุณยายกับคุณตาที่โรงพยาบาลก่อนดีไหมคะ”
“ดีค่ะ”
“งั้นพระพายเข้ามาอาบน้ำแม่เลยค่ะ จะได้เสร็จเร็ว ๆ”
“ได้ค่า”
หลังจากนั้นสองแม่ลูกก็พากันอาบน้ำ ก่อนที่ผู้เป็นแม่จะปลีกตัวออกมาส่งข้อความหาเจ้านาย ขอเลื่อนเวลาจากสิบห้านาทีเป็นหนึ่งชั่วโมง เพราะมันไม่ทันจริง ๆ
แต่พอส่งไปแล้ว เห็นเขาอ่านไม่ตอบ ก็เก็บของลงใส่กระเป๋าเตรียมออกจากห้องในทันที ถึงบริษัทก็คงจะได้รู้กันว่าเขาจะไล่ออก หรือเขาจะทำยังไงกับเธอ ที่เธอไปทำงานสายตั้งแต่วันแรก เพราะจากที่ฟังบรรดาพนักงานหรือคนที่เมาท์เรื่องเขาตอนไปสัมภาษณ์ เขาเคร่งพอตัว
นั่นเป็นนิสัยของเขาในตอนที่เขาทำงาน เธอรู้เรื่องนี้ดี เพราะในตอนที่คบกัน เธอได้เห็นมุมจริงจังในการทำงานของเขาหลายต่อหลายครั้ง นึกย้อนไปก็ไม่แปลกใจเลย ที่คนเรียนเก่ง มากความสามารถ ขยัน อดทน จริงจังกับการทำงานอย่างเขา จะประสบความสำเร็จ จนสามารถเปิดบริษัทอย่างที่เขาวาดฝันไว้ได้
และพอนึกสิ่งที่เขาเคยพูดไว้ ก็หันมองตัวเอง แล้วยิ้มเยาะเบา ๆ การได้เป็นเลขาอยู่เคียงข้างเขา...ก็เป็นสิ่งที่เขาและเธอวาดฝันไว้ด้วยกัน ในตอนนี้ความฝันเหมือนกำลังจะเป็นจริงอย่างไงอย่างงั้น แต่ในความรู้สึกมันกลับไม่ใช่ มันเจ็บยิ่งกว่าตอนรู้ว่าไม่มีโอกาสจะสานฝันร่วมกันต่อได้ซะอีก...ความฝันที่เกิดขึ้นมาด้วยความบังเอิญ...
คิดอะไรเรื่อยเปื่อย รู้ตัวอีกทีก็มาหยุดอยู่หน้าห้องทำงานของเขาแล้ว มือบางบีบผลักเข้าไปทันที ก่อนจะเห็นเขายืนหันหลังมองวิวด้านนอกผ่านกระจกบานใหญ่ภายในห้องอยู่
“สวัสดีค่ะ ขอโทษนะคะที่ทำงานวันแรกฉันก็มาสาย”
“หนึ่งชั่วโมงสองนาที” คนที่ยืนหันหลังอยู่ตอบกลับมาเสียงเรียบ
“คะ?”
“คุณสายไปหนึ่งชั่วโมงสองนาที” ภรัณยูพูดขึ้น พร้อมกับหันหน้ามามองชาลิสาที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานของเขา
“ฉันส่งข้อความมาบอกท่านประธานแล้วนะคะ ว่าขอเวลาหนึ่งชั่วโมง และที่ฉันสายก็เพราะว่าฉันมีความจำเป็นจริง ๆ อีกอย่างฉันก็พึ่งได้อ่านเมลเมื่อตอนเช้า”
“นั่นไม่ใช่เหตุผล” น้ำเสียงราบเรียบที่ตอบกลับมา ทำเอาชาลิสาที่พูดอธิบายยาวเหยียด พูดอะไรต่อไม่ออก
“มัวยืนทำอะไรอยู่ ไปทำงานได้แล้ว ผมให้เวลาคุณศึกษางานถึงตอนเที่ยง ตอนบ่ายเรามีคุยงานนอกสถานที่และคุณต้องไปกับผม”
“ค่ะ” ชาลิสาตอบรับอย่างว่าง่าย เพราะรู้นิสัยของเขาดี ถ้าเขาจะไม่ฟังเหตุผลก็คือไม่ฟัง ต่อให้เธอยืนพูดทั้งวันเขาก็ไม่ฟัง ถ้าเขาไม่ฟัง
หลังจากนั้นเขาและเธอก็แยกกันมาทำงานคนละมุม เขานั่งกดเครื่องคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงานของเขา ส่วนเธอก็นั่งอ่านเอกสารบนโต๊ะทำงานของเธอ ภายในห้องเงียบสงบมีเพียงเสียงพลิกกระดาษและเสียงกดแป้นิเท่านั้นที่ดังขึ้น
นั่งอ่านเอกสารไปก็ชำเลืองมองเขาไป เวลาที่หมุนผ่านมาถึงหกปี อะไร ๆ หลายอย่างก็เปลี่ยนไปด้วย ไม่เว้นแม้แต่ตัวเขาที่ดูเปลี่ยนไป ในหน้าหล่อขาวใสในวันวานดูคมเข้มขึ้น น่ามองและน่าค้นหา และจนป่านนี้เขาก็คงมีครอบครัวไปแล้ว ถึงอะไรหลาย ๆ อย่างจะเปลี่ยนไป แต่ทำไมพอเธอเห็นหน้าเขา...เธอกลับรู้สึกว่าที่ผ่านมา ที่เธอพยายามลบเขาออกไปมันเปล่าประโยชน์ หัวใจยังเจ็บปวดในตอนที่อยู่ใกล้เขา ได้เห็นหน้าเขา
ภาพเหตุการณ์ในวันวานที่เขาทำร้ายจิตใจมันยังฉายชัดในหัวไม่จางหายไปไหน เธอควรจะลาออกหรือเปล่า ขืนอยู่ใกล้เขาต่อไปเรื่อย ๆ เธอคงเผลอแสดงความอ่อนแอให้เขาได้เห็น และเธอก็มีความลับที่ไม่อยากให้เขาได้รู้...
แต่พอนึกถึงสัญญาก็ได้แต่ถอนหายใจ เธอไม่น่าหลวมตัวเข้ามาทำงานเลย สัญญาที่ผูกมัดเธอไว้ถึงสองปี ถ้าเธอไม่ระวังตัว ระวังใจให้ดี เรื่องวุ่นวายคงตามมาไม่หยุดแน่
ด้านชายหนุ่มที่นั่งกดเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ก็หันมองตามเสียงถอนหายใจที่ดังขึ้น เวลาที่ผ่านเลยมาถึงหกปี หลังจากที่เกิดเรื่องในวันนั้น เขาก็ไม่คิดว่าจะได้เจอเธออีก ไม่เคยคิดเลย ทั้งที่เธอก็ดูไปได้ดีกับหน้าที่การงานที่ต่างประเทศ ค่าตอบแทนก็สูง แม้อยู่กับเขาเองก็สูงแต่ก็คงไม่เท่า ด้วยค่าเงินที่ต่างกัน เพราะงั้นเขาเลยคิดเหตุผลที่เธอกลับมาไม่ได้เลย
อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องคิด เธอจะกลับมา จะอยู่จะไป จะเป็นยังไงมันก็ไม่เกี่ยวกับเขา คิดด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะเดินจากห้องออกไปในทันที
“ช่วยจอดที่โรงพยาบาลข้างหน้าให้ฉันได้ไหมคะ” ชาลิสาพูดขึ้น หลังจากออกมาทำงานนอกสถานที่กับเขาเสร็จ ก่อนที่เขาจะขับรถพาเธอกลับไปยังบริษัท แต่พอเห็นว่าเป็นทางผ่านของโรงพยาบาลที่พ่อเธอย้ายรักษาตัวอยู่ จึงพูดบอกเขา
อันที่จริงเธอควรจะนั่งรถคนละคันกับเขา แต่เพราะรถเธออยู่ ๆ ก็ดันมาเสีย เสียต้อนรับการทำงานวันแรก ดีจริง ๆ เหอะ เธอเลยต้องขอติดรถเขาไปทำงานด้วย และถ้าเธอไม่ลงตรงนี้ เธอก็ต้องนั่งรถย้อนกลับมา เพื่อมารับลูกสาวกลับคอนโดด้วยกัน หากถามว่าทำไมไม่อยู่บ้านพ่อแม่ คำตอบก็คือลูกสาวตัวน้อยของเธอกระมัง เธอยังไม่อยากให้ที่บ้านรู้ว่าเธอมีพระพาย แน่นอนว่าเรื่องที่เธอมีลูกมีแค่แม่คนเดียวเท่านั้นที่รู้
ส่วนพ่อ...หากท่านอาการคงที่กว่านี้ เธอตัดสินใจแล้วว่าจะบอกท่านเป็นคนถัดไป เธอจะไม่ยอมให้ท่านรู้จากปากคนอื่น เพราะแค่ที่เธอปิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ไว้ไม่บอก ท่านก็คงจะโกรธเธอมากแล้ว หากท่านอาการจะทรุดลงไปอีกเพราะเธอเป็นต้นเหตุ เธอคงจะไม่ให้อภัยตัวเอง
“เป็นไร”
“ฉันมาเยี่ยมญาติน่ะค่ะ” เมื่อเขาถาม เธอก็ตอบ แม้ว่าเหมือนเขาจะเผลอพูดถามก็ตาม
“อื้ม” เขาตอบรับ ก่อนจะตีไฟเลี้ยวจอดเทียบฟุตบาทส่งเธอลง
“ขอบคุณนะคะท่านประธาน” พูดขอบคุณเขาเสร็จก็ปิดประตูรีบเดินออกมาทันที
“คุณแม่ขา” ทันทีที่เปิดประตูเข้ามาในห้องพักผู้ป่วย ก็ได้ยินเสียงใสของลูกสาวในทันที เสียงที่มาก่อนตัว
หมับ
“ว่าไงคะ” ร่างบางย่อตัวลงกอดรับลูกสาวที่วิ่งมาหา
“คิดถึงจังเลยค่ะ”
“ปากหวานจริง ๆ ลูกคนนี้ แม่พึ่งไปทำงานแป๊บเดียวเอง”
“ก็พระพายคิดถึงนี่คะ” ว่าแล้วเขย่งตัวหอมแก้มแม่ไปหนึ่งฟอดใหญ่ บ่งบอกว่าตัวเองนั้นคิดถึงจริง ๆ
“ค่า แม่รู้แล้ว แม่ก็คิดถึงพระพายเหมือนกันนะ” ว่าแล้วก็หอมแก้มนุ่ม ๆ ของลูกสาวคืนบ้างเพื่อเรียกกำลังใจ ก่อนจะหันไปถามผู้เป็นแม่ที่นั่งปอกผลไม้อยู่
“คุณพ่อหลับไปแล้วหรอคะ”
“เล่นกับพระพายเหนื่อยน่ะ หลับก่อนฟางมาไม่กี่นาทีนี่เอง” วิภาตอบลูกสาว
“เรื่องพระพายคุณพ่อยังไม่สงสัยอะไรใช่ไหมคะ” ชาลิสาถามด้วยความเป็นกังวล หลังจากที่พ่อฟื้น พ่อเธอดูตกใจเล็กน้อยที่เห็นเธอ และตกใจมากกว่าที่เห็นพระพาย แต่พอเธอบอกกับพ่อว่าพระพายนั้นเป็นลูกของเพื่อนสนิท เพื่อนสนิทฝากพระพายให้เธอช่วยเลี้ยง โดยส่งค่าเลี้ยงดูให้ และพระพายก็ไม่ใช่เด็กเลี้ยงยากอะไร เธอจึงรับเลี้ยง หลังจากพูดจบพ่อก็ดูจะเข้าใจ ไม่ได้ซักถามอะไรเพิ่มอีก
“ยังจ้ะ แต่แม่ว่าฟางรีบหาโอกาสบอกพ่อเถอะลูก ก่อนที่พ่อเขาจะรู้ทุกอย่างด้วยตัวอง”
“ฟางว่าจะรอให้พ่อกลับไปพักฟื้นที่บ้านก่อน แม่ช่วยฟางหน่อยนะคะ”
“แม่มีลูกคนเดียว มีหลานคนเดียว ถ้าไม่ให้ช่วยฟางจะให้แม่ไปช่วยใครล่ะฮืม”
“ฟางรักแม่ที่สุดเลยค่ะ”
“พระพายก็รักคุณยายเหมือนกันค่ะ” ว่าแล้วก็เดินเข้าไปกอดคุณยายเหมือนอย่างที่แม่ทำอยู่ ในตอนนี้วิภาถูกกอดจากลูกสาวและหลานสาวแน่น จนต้องปรามเบา ๆ ว่าเริ่มหายใจไม่ออกแล้ว สองแม่ลูกจึงยอมผละออก ก่อนจะหัวเราะกันเบา ๆ
“เธอมีลูกจริง ๆ ด้วย”
“ส่วนเหตุผลที่เธอกลับมาคงเป็นเรื่องพ่อเธอสินะ หึ” เสียงทุ้มพูดกับตัวเอง หลังจากตัดสินใจตามแฟนเก่าอย่างเธอมา มันก็ทำให้เขาได้เห็นอะไรบางอย่าง เรื่องที่เธอมีลูกแล้วมันคือเรื่องจริง ทั้งยังเป็นลูกสาว ส่วนหน้าของลูกเธอนั้นเขาเห็นไม่ชัด เพราะเขามองผ่านกระจกบางเล็กหน้าห้อง จังหวะที่ลูกเดินเข้ามาหา มากอดมาหอมเธอนั้น ตัวเธอบังอยู่
พยายามสอดสายตามองเข้าไปในห้อง เพื่อหาตัวพ่อของลูกก็ไม่เห็น จึงคิดเอาเองว่าเธอคงเลิกกับสามีแล้วกลับมาอยู่ที่นี่ มาดูแลพ่อของเธอที่ป่วย สุดท้ายแล้วเธอก็ไม่ได้คิดจะกลับมาหาเขาอยู่ดี หึ
ก่อนจะพูดกับตัวเองอีกครั้ง หลังจากเดินออกมาแล้วรู้สึกคุ้นหน้าลูกสาวของเธอแปลก ๆ
“ทำไมเหมือนเคยเจอที่ไหน”
