5 คุกกี้ที่หายไป
“ค คุณแม่ขา” เสียงเล็ก ๆ เอ่ยบอกแม่อย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะพึ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองนั้นไปยืมเงินคนแปลกหน้า ทั้งที่แม่คอยบอกอยู่เสมอว่า อย่าพูดคุยหรือไว้ใจคนแปลกหน้า
“ขา ว่าไงคะ” เสียงหวานเอ่ยตอบลูกสาว แต่สายตานั้นยังคงกวาดมองเอกสารในมือ
“พระพายขอเงิน พะ เพิ่มได้ไหม เมื่อกี้เงินไม่พอ”
“หื้ม” ได้ยินลูกสาวว่าแบบนั้นชาลิสาก็ละสายตาจากเอกสารตรงหน้าทันที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองลูก
“เค้กมันมีแต่อันน่ากินทั้งนั้นเลยค่ะ พระพายก็เลยหยิบเพลินไปหน่อย” พระพายหัวเราะแห้ง ๆ พูดบอกผู้เป็นแม่
“ไหนพระพายบอกแม่ว่าเงินไม่พอไงคะ ทำไมถึงได้เค้กกลับมาได้” ดวงตาคู่สวยหรี่มองลูกสาวอย่างจับ เมื่อมองไปยังมือน้อย ๆ ก็เห็นว่ามีกล่องเค้กอยู่
“คือว่า...คือว่า พระพายยืมเงินคุณลุงใจดีในร้านมาน่ะค่ะ พระพายก็เลยจะมาขอเงินคุณแม่ไปคืนคุณลุง”
“นี่อย่าบอกนะว่าหนูไปยืมเงินคนแปลกหน้า”
“ค่ะ” ใบหน้าเล็กจิ้มลิ้ม พยักหน้าขึ้นลงช้า ๆ ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างให้แม่ หวังให้แม่เอ็นดูแล้วไม่ดุ
“วันหลังไม่ทำแบบนี้อีกแล้วนะคะ” เห็นลูกทำหน้าตาอ้อน ๆ แบบนี้ ชาลิสาก็ดุต่อไม่ลง ก่อนจะรีบเก็บของเพื่อพาลูกไปหาคุณลุงที่ว่า แน่นอนว่าเธอไม่ปล่อยให้ลูกไปคืนเงินคนเดียว คุณลุงคนนั้นเป็นใครก็ไม่รู้ ถึงจะใจดีให้ลูกสาวเธอยืมเงิน แต่เธอก็ไม่ไว้ใจ
“รอแม่เก็บของก่อนนะคะ แม่จะพาพระพายไปคืนเงินคุณลุง แล้วอย่าลืมขอบคุณลุงด้วยนะคะ”
“ได้ค่า พระพายรักคุณแม่ที่สุดดดดด”
“ไหนคะคุณลุงของหนู” เมื่อเดินมาถึงที่หมายชาลิสาก็ร้องถามลูกสาวทันที เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็นผู้ชายที่รูปร่างและการแต่งตัว อย่างที่ลูกสาวว่าเลย
“เมื่อกี้พระพายบอกให้คุณลุงรอตรงนี้ค่ะ แป๊บเดียวเดี๋ยวพระพายมา แต่ว่าตอนนี้คุณลุงหายไปไหนพระพายเองก็ไม่รู้” พระพายว่าเสียงอ่อน รู้สึกผิดหวังขึ้นมา เมื่อไม่ได้เจอคุณลุงใจดีของตน ทั้งยังไม่ได้ให้เงินคุณลุงคืนเลยสักบาท เมื่อกี้ค่าขนมเค้กคุณลุงก็เป็นคนจ่ายให้ทั้งหมด
“ขอโทษนะคะ ไม่ทราบเห็นคุณผู้ชายตัวสูง ๆ ที่จ่ายค่าขนมเค้กให้ลูกสาวฉันไหมคะ” เมื่อเห็นลูกสาวทำหน้าเศร้า ๆ คนเป็นแม่จึงตัดสินใจเดินไปถามพนักงานที่เคาน์เตอร์ให้
“อ้อ ถ้าเป็นคุณลุงของน้อง พึ่งเดินออกไปเมื่อไม่กี่นาทีนี้เองค่ะ”
“ขอบคุณนะคะ”
“ค่ะ”
“แสดงว่าพระพายจะไม่ได้คืนเงินคุณลุงหรอคะ” ได้ยินพี่พนักงานพูดแบบนั้น เด็กหญิงตัวน้อยก็เงยหน้าถามผู้เป็นแม่ เสียงเศร้า
“มันก็มีโอกาสที่พระพายจะไม่ได้คืนค่ะ แต่ว่าก็มีโอกาสที่พระพายจะได้คืนเงินคุณลุงเหมือนกัน ถ้าเราเจอคุณลุงเราก็จะได้คืนเงินให้คุณลุง ตกลงไหมคะ”
“แต่ถ้าเราไม่เจอ เราก็จะไม่ได้คืนใช่ไหมคะ”
“ค่ะ”
...
ด้านชายหนุ่มที่ถูกพูดถึงอยู่ เขาต้องรีบออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเลขาที่พึ่งรับเข้าทำงานทำงานผิดพลาด ทำให้เขาเกือบจะพลาดนัดสำคัญหากเธอไม่รู้ตัวก่อนแล้วโทรมาบอกเขา
“จบงานนี้แล้ว ผมหวังว่าผมจะไม่เห็นหน้าคุณอีก” พูดจบก็เดินผ่านหน้าเลขาไปทันทีอย่างเลือดเย็น
“รับสมัครเลขาใหม่ให้ฉันด้วย” หลังจากคุยงานเสร็จแล้ว ภรัญยูก็ต่อสายหาลูกน้องคนสนิททันที
“แต่ว่าเราพึ่งรับไปนะครับ” เสียงในสายตอบกลับมา
“ฉันไล่เธอออกแล้ว”
“ครับ ผมจะรีบจัดการให้ ส่วนเรื่องที่บอสให้ลูกน้องตามสืบ เขาฟื้นแล้วนะครับ”
“อื้ม เดี๋ยวฉันไป” น้ำเสียงราบเรียบไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ตอบกลับลูกน้องไป ทั้งที่มันเป็นสิ่งที่เขารอคอยมาตลอด
และหลังจากวางสายไปแล้ว โทรศัพท์เครื่องหรูก็ถูกเก็บเข้ากระเป๋ากางเกงตามเดิม ก่อนคิ้วหนาจะค่อย ๆ ขมวดเข้าหากันเมื่อสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างในกระเป๋า ไม่รอช้า เขาหยิบมันออกมาทันที
“ลุงขอโทษนะ ที่ไม่ได้อยู่รอตามนัด” หลังจากเห็นยางมัดผมในมือ ภรัณยูก็พูดขึ้น ภายในใจหวนนึกถึงใบหน้าจิ้มลิ้มของเด็กหญิง ใบหน้าที่เขารู้สึกคุ้นเคย ก่อนจะเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว พร้อมกับดวงตาที่เริ่มอ่อนโยนขึ้น
แต่ก็ต้องกลับมาเรียบนิ่งอีกครั้ง เมื่อเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องพักผู้ป่วย ห้องของใครคนนั้นที่เขาเฝ้ารอ ในที่สุดก็ฟื้นแล้ว หลังจากที่นอนเป็นผักเกือบเดือน
“กะ กร” ดวงตาคมเบิกกว้าง น้ำเสียงตะกุกตะกักในทันที ราวกับว่าเห็นผีก็ไม่ปาน ทำให้ภรัณยูที่ยืนมองอยู่กระตุกยิ้มเบา ๆ
“ครับ ผมเอง หลายชายที่คุณลุงทอดทิ้ง ลูกชายของน้องชายที่คุณลุงหักหลัง” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยตอบ
“ทำไมแกถึงมาอยู่ที่นี่ ออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้นะ”
“ไม่เอาสิครับ ผมอุตส่าห์มาเยี่ยม จะไล่กันไปง่าย ๆ หรอครับ”
“ใครอยู่ข้างนอก เอามันออกไปทีฉันอยากอยู่คนเดียว” เสียงเข้มของผู้ป่วยดังไปทั่วบริเวณ
“หึ ผมจะเห็นแก่ที่คุณลุงพึ่งฟื้นก็แล้วกันนะครับ แต่ผมจะกลับมาเยี่ยมใหม่แน่นอน” พูดเพียงเท่านั้นก็เดินล้วงกระเป๋าออกจากห้องไปทัน ทิ้งให้ผู้ป่วยมองตามอย่างเคียดแค้น
...
กลับมาที่หญิงสาว หลังจากสัมภาษณ์งานเสร็จ เธอก็ขับรถไปห้างสรรพสินค้าใกล้ ๆ กับโรงเรียนของลูกสาว เพื่อมาเลือกซื้ออาหารบำบัดความเครียดที่สะสมมาตลอดทั้งสัปดาห์ หลังจากที่เธอตระเวนสมัครงานไปทั่ว นั่งรออีเมลตอบกลับจนดึกดื่น หลังจากที่เธอตกงานวันนั้น เธอแทบจะไม่มีเวลาพักผ่อนเลย เธอต้องรีบหางานใหม่ให้เร็วที่สุด เพราะในตอนนี้เธอเหมือนเป็นเสาหลักของครอบครัวกลาย ๆ
ส่วนแม่ท่านเองก็มีเงินเกษียณ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะหมดไปกับค่ารักษาและการดูแลพ่อ แน่นอนว่าไม่ใช่คนป่วยที่ต้องใช้เงิน คนดูแลคนป่วยเองก็ต้องกิน ต้องใช้เช่นกัน
“เป็นยังไงคะ สนุกรึเปล่า” เสียงหวานเอ่ยถามลูกสาวที่เดินอยู่ข้าง ๆ กัน ในระหว่างที่กำลังเดินกลับรถ
“สนุกค่ะ หนูมีเพื่อนเยอะเลย ทั้งบีน่า นิ้ง น้ำใส แล้วก็อีกหลาย ๆ คนเลยค่ะ”
“งั้นก็ดีแล้วค่ะ ไว้วันนี้แม่จะอบขนมให้พระพายเอาไปฝากเพื่อน ๆ นะคะ”
“ขอบคุณค่า คุณแม่ของพระพายน่ารักที่สุดเลย ถ้าเพื่อน ๆ ได้กินฝีมือของคุณแม่ เพื่อน ๆ ต้องชอบอย่างที่พระพายชอบแน่เลยค่ะ” ว่าแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ กับภาพในจินตนาการของตัวเอง
ด้วยความที่พระพายนั้นเรียนโฮมสคูลมาตลอด ทำให้ชาลิสาค่อนข้างเป็นกังวลกลัวว่าลูกจะเข้ากับเพื่อนไม่ได้ กลัวว่าลูกจะไม่ชินกับการเรียนโดยมีเพื่อนเยอะ ๆ อีกทั้งลูกสาวเธอก็ให้ลูกเรียนช้ากว่าอายุด้วย เพราะตอนอยู่ที่ต่างประเทศลูกเธอก็เข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาลบ่อย ๆ ด้วยโรคภูมิแพ้ ทำให้เธอสมัครเรียนให้ลูกอยู่ชั้นอนุบาลหนึ่ง แทนที่จะเป็นอนุบาลสามอย่างที่ควรจะเป็น
แม้จะรู้ว่าลูกหัวไว แต่ก็อยากให้ลูกได้ค่อย ๆ เริ่มปรับตัวไปเรื่อย ๆ เพราะลูกเธอพึ่งมาอยู่ที่นี่เป็นครั้งแรก ไม่อยากให้ลูกกดดันมากนัก เธอจึงมักถามไถ่ลูกอยู่เสมอที่โรงเรียนโอเครึเปล่า
“กินขนมเสร็จแล้วก็ไปอาบนะคะ แม่เองก็จะไปทำงานเหมือนกัน” หลังจากอยู่ช่วยกันทำขนมกับลูกสาว นั่งเล่นกันรอขนมอบเสร็จ ในที่สุดคุกกี้แสนอร่อย ๆ ก็ถูกนำออกมาจากเตา ให้เด็กหญิงตัวน้อยได้แต่มองถาดขนมอบตาเป็นประกาย
ก่อนจะถูกนำมาจัดใส่จานแยกไว้ให้เธอทานโดยเฉพาะ ส่วนอีกอันนั้นรอมันเย็นก่อนจะนำมาใส่ขวดโหลเก็บไว้
คล้อยหลังผู้เป็นแม่ไปร่างเล็ก ๆ ก็หย่อนตัวลงจากโซฟา ใบหน้าเล็ก ๆ หันซ้ายหันขวา เมื่อไม่เห็นแม่ก็เดินไปยังขวดโหลเป้าหมายทัน ก่อนจะเอื้อมตัวไปหยิบมันมากอดไว้ แล้วก็หัวเราะเบา ๆ อย่างมีความสุข
คุกกี้ชิ้นแล้วชิ้นเล่าถูกมือเล็ก ๆ หยิบออกมาจากขวดโหลเป้าหมาย โดยที่สายตาก็คอยมองลาดเลาอยู่ตลอดว่าแม่จะเดินเข้ามารึเปล่า
ตัดมาที่คนที่ถูกลูกสาวมองหาอย่างระวัง เธอกำลังไล่เปิดเมล์อ่านอย่างตั้งใจ แต่ก็ไม่มีบริษัทไหนเรียกเธอไปสัมภาษณ์เลย ส่วนบริษัทที่สัมภาษณ์ไปวันนี้ก็ยังไม่ส่งเมลตอบกลับมา หลังจากไล่เปิดจดหมายไปได้สักพัก ร่างบางก็ขยับตัวยืดเส้นยืดสาย ด้วยความเมื่อยขบ ก่อนจะกดอ่านจดหมายฉบับต่อไป ซึ่งพออ่านมันก็ทำให้เธอพอยิ้มออกอยู่บ้างเมื่อถูกเรียกสัมภาษณ์ เพราะจดหมายที่เธออ่านมาก่อนหน้าทั้งหมดนั้นล้วนปฏิเสธการสัมภาษณ์เธอ
และหลังจากที่เปิดกล่องจดหมายอ่านทั้งหมดชาลิสาก็ยิ้มเยาะกับตัวเองเบา ๆ เมื่อมีเพียงบริษัทเดียวเท่านั้นที่นัดสัมภาษณ์เธอ ส่วนที่สัมภาษณ์ไป จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีข้อความตอบกลับมา
“เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่” เธอพูดกับตัวเองเบา ๆ
ก่อนจะเดินไปหาลูกสาวที่ห้องนั่งเล่น เมื่อสังเกตว่าตัวเองไม่ได้ยินเสียงน้ำไหลเลย ตั้งแต่นั่งทำงานอยู่ในห้อง ลูกเธอไม่น่าจะนั่งกินคุกกี้นานขนาดนี้ เพราะที่เธอแบ่งไว้ให้ลูกมีไม่ถึงสิบชิ้น คิดได้ดังนั้นก็รีบเดินออกไปหาลูกสาวทันที กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น
แต่พอเห็นลูกก็ต้องตกใจ เมื่อมือหนึ่งนั้นกอดขวดโหลไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งก็หยิบคุกกี้กิน พร้อมดูการ์ตูนอย่างสบายใจ
“พระพาย”
“ขาคุณแม่” เสียงใส ตอบกลับมาราวกับไม่รู้ตัวในความผิดของตัวเอง ก่อนจะดีดตัวลุกขึ้นยืนเมื่อคิดบางอย่างขึ้นได้
“คุณแม่!”
“ตัวแสบ มาให้แม่ลงโทษซะดี ๆ อย่าหนีนะ” ว่าแล้วก็วิ่งไล่จับร่างเล็ก ๆ ของลูกสาวไป ๆ มา ๆ อยู่ที่โซฟาตัวเล็ก
“คิก ๆ คุณแม่ขาพระพายขอโทษ พระพายผิดไปแล้ว” ปากก็พูดขอโทษอย่างสำนึกผิด แต่ขานั้นก็ยังวิ่งหนีผู้เป็นแม่ไม่หยุด
