4 คุณลุงใจดี
การเดินทางมายังประเทศบ้านเกิดเป็นไปด้วยความราบรื่น ก่อนที่ชาลิสาจะใช้เวลาจัดของเข้าคอนโดขนาดห้าสิบตารางเมตรใช้เวลาประมาณสามวันกว่าจะเก็บของเข้าที่และตกแต่งเสร็จ
ที่ใช้เวลาไม่นานก็เพราะว่าเธอเลือกได้จ้างคนมาตกแต่งไว้ก่อนแล้ว มาถึงเพียงจัดของให้เข้าที่และปรับนิด ปรับหน่อยเท่านั้น และคอนโดนี้เป็นคอนโดที่เธอพึ่งซื้อก่อนกลับมา โดยคนช่วยจัดการซื้อขายก็ไม่ใช่ใครที่ไหนคุณแม่ของเธอนั่นเอง ถึงอย่างนั้นแม่ก็ยังไม่รู้ว่าเธอจะกลับมาอยู่ เธอบอกเพียงว่าซื้อเก็บไว้ให้พระพายเท่านั้น เพราะเห็นราคามันลง
“พร้อมรึยังคะ” หลังจากโทรหาแม่เพื่อคอนเฟิร์มแล้วว่าแม่อยู่โรงพยาบาลเฝ้าพ่ออยู่จริง ๆ ชาลิสาจึงหันไปถามลูกสาวตัวน้อยที่เธอกุมมืออยู่
“พร้อมค่ะ” เสียงใสตอบกลับ
โรงพยาบาล
“เปิดเลยใช่ไหมคะ” น้ำเสียงแผ่วเบาราวกระซิบเอ่ยถามผู้เป็นแม่ ในตอนนี้เธอและแม่ยืนอยู่หน้าห้องผู้ป่วย ซึ่งก็คือห้องคุณตา พอแม่พยักหน้า มือเล็ก ๆ ก็เริ่มออกแรงดันประตู
“ฟางลูก...”
หมับ
“คิดถึงจังเลยค่ะ” ทันทีที่เห็นผู้เป็นแม่ ชาลิสาก็เข้าไปโผกอดทันที โดยมีร่างเล็ก ๆ ของพระพายตามมากอดขาคุณยายด้วยติด ๆ
“พระพายก็คิดถึงคุณยายเหมือนกันค่า”
“หลานยาย” พอเห็นหลานสาวก็ค่อย ๆ ผละจากลูกสาว ก่อนจะย่อตัวกอดหลานสาวเอาไว้
“ตัวจริงน่ารักน่าชังกว่าในรูปเสียอีก”
“แล้วไปไงมาไงล่ะ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ยะ อย่าบอกนะว่าแอบกลับมากันสักพักแล้ว”
“คิก ๆ” ได้ยินคุณยายพูดแบบนั้นพระพายก็หัวเราะน้อย ๆ ทันที เพราะเธอกับแม่มาถึงที่นี่กันได้หลายวันแล้ว และแม่บอกว่าจะพาเธอมาเซอร์ไพรส์คุณยาย
“ฟางกลับมาได้สักพักแล้วค่ะ กะว่าจะมาเซอร์ไพรส์” เสียงหวานเอ่ยตอบผู้เป็นแม่ ก่อนจะได้รับรอยยิ้มจากแม่ตอบกลับมาเช่นกัน
“แล้วนี่จะมาอยู่กันกี่วันล่ะลูก”
“ฟางกลับมาอยู่ที่นี่แล้วค่ะ ฟางไม่อยากให้แม่เหนื่อยคนเดียวอีกแล้ว”
“เหนื่อยอะไรกันลูก แค่นี้ไม่ถือว่าเหนื่อยเลย”
“คนที่เหนื่อยเห็นจะเป็นพ่อมากกว่า สู้กับโรคร้ายมาหลายปีแล้ว ก็ยังไม่ดีขึ้นเลย” ว่าพร้อมกับเดินไปหาสามีที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง
“ฟางเชื่อว่าคุณพ่อจะดีขึ้นค่ะ” ถึงไม่หายขาด ขอแค่มีสติกลับคืนมา สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ปกติ แค่นี้เธอกับแม่ก็ดีใจมากแล้ว
“คุณแม่ขา คุณตาของพระพายใช่ไหมคะ”
“ใช่ค่ะ คุณตาของพระพาย ตอนนี้คุณตาไม่สบาย ยังเล่นกับคุณตาไม่ได้นะคะ”
“คุณตาหายไว ๆ นะค้า พระพายรอเล่นกับคุณตาอยู่” มือเล็ก ๆ จับไปที่แขนคุณตาเบา ๆ อย่างกลัวว่าคุณตาจะเจ็บ เธอไม่เคยคุยกับคุณตามาก่อนเลย มีแต่คุณยายเท่านั้นที่เธอโทรคุยด้วย เพราะคุณตาไม่สบายอยู่สินะ...
“ฟางกลับมาแล้วนะคะพ่อ พาหลานมาด้วย รีบฟื้นมาคุยกับฟาง มาเล่นกับหลานนะคะ”
ชาลิสาและลูกอยู่พูดคุยกับวิภาต่ออีกหน่อย ก่อนจะออกมาให้วิภาได้พักผ่อน พร้อมกับขอตัวไปทำธุระ ซึ่งก็คือพาพระพายไปสมัครเรียน
โดยโรงเรียนที่ชาลิสาเลือกก็คือโรงเรียนอนุบาลใกล้โรงเรียนที่วิภาแม่ของเธอสอนนั่นเอง ซึ่งแม่เธอเป็นเคยรูภาษาไทยอยู่โรงเรียนประถมที่นั่น แต่ตอนนี้แม่เธอเกษียณตัวออกมาแล้ว ซึ่งก่อนออกมาแม่ก็แนะนำให้เธอพาพระพายไปสมัครเรียนที่นั่น
“คุณแม่ขา เราจะไปไหนกันต่อดีคะ” หลังจากสมัครเรียน และเดินดูโรงเรียนกันเสร็จแล้วเด็กหญิงก็เอ่ยถามผู้เป็นแม่
“ไปซื้อของทำกับข้าวไปฝากคุณยายดีไหมคะ”
“ดีค่ะ เพราะพระพายก็เริ่มหิวแล้วเหมือนกัน” ว่าจบก็หัวเราะน้อย ๆ ก่อนสองแม่ลูกจะพากันขึ้นรถประจำทางไปยังห้างสรรพสินค้าเป้าหมาย
ดีที่เมื่อก่อนเธอใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวง ขึ้นลงรถประจำทางตลอด ทำให้เธอรู้จักเส้นทางอยู่บ้าง พอได้ขึ้นมานั่งบนรถ ก็พาให้หวนนึกถึงบรรยากาศเก่า ๆ ที่เคยมีเขานั่งอยู่ข้าง ๆ
ส่วนรถส่วนตัวนั้น ไม่ใช่ว่าไม่มี แม่ให้เธอเอารถที่บ้านมาใช้ก่อนได้ แต่ไหน ๆ วันนี้ก็เดินทางด้วยรถประจำทางมาเกือบครึ่งวันแล้ว เธอเลยบอกแม่ว่าจะเข้าไปเอารถมาใช้วันหลัง วันนี้เธอไม่ได้ไปไหนไกลมาก ใช้รถประจำทางต่อก็ไม่ลำบากอะไร
หลังจากวันนั้น ชาลิสาและพระพายก็เทียวไปเทียวมาระหว่างโรงพยาบาล คอนโด โรงเรียน อยู่ตลอด คนที่หัวหมุนกว่าใครเพื่อนก็คงไม่พ้นชาลิสา ที่นอกจากเธอต้องคอยรับส่งลูกสาว คอยไปเยี่ยมพ่อที่โรงพยาบาล เธอต้องไปทำงานด้วย
แต่หน้าที่การงานก็ไม่ราบรื่นเท่าไรนัก เพราะภายในสามเดือนที่กลับมาอยู่ไทย เธอเปลี่ยนบริษัทมาแล้วถึงสี่ครั้ง ด้วยเหตุผลเดิม ๆ นั้นก็คือ ถูกเจ้านายล้วนลาม ไม่ก็ถูกภรรยาเจ้านายเข้าใจผิด ว่าเธอเป็นเลขาที่ทำเกินกว่าหน้าที่
ในตอนนี้เธอจึงเป็นคนตกงานนานอยู่ และกำลังช่วยแม่เตรียมเอกสารทำเรื่องย้ายพ่อไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลรัฐ เพราะเธอกับแม่ไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายที่แพงหูฉี่นี่ไหว
ครอบครัวเธอมีฐานะปานกลางไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมาย เมื่อก่อนพ่อจะเป็นคนแบกรับค่าใช้จ่ายทั้งหมด รวมถึงค่าใช้จ่ายที่ใช้ส่งเธอเรียนต่างประเทศด้วย แม้จะได้ทุนแต่ก็มีค่าใช้จ่ายส่วนตัวยิบย่อย
แต่ตอนนี้พ่อไม่สามารถเป็นเสาหลักของครอบครัวแบกรับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ภายในบ้านได้อีกแล้ว ทั้งพ่อก็ป่วยเข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาลเป็นเวลานานเงินเก็บที่มีก็ร่อยหรอลงเรื่อย ๆ แม่กับเธอเลยตัดสินใจย้ายพ่อไปรักษาที่โรงพยาบาลรัฐ
ส่วนเธอก็เหลือเงินเก็บอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะจ่ายค่าคอนโดและค่ารักษาพ่อครั้งล่าสุดไป นี่จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวเธอในตอนนี้
“คุณแม่ขา พระพายขอไปซื้อขนมได้ไหมคะ”
“ไว้แม่เตรียมเอกสารให้คุณตาเสร็จก่อนได้ไหมคะ เดี๋ยวแม่พาไป”
“ร้านอยู่ตรงนั้นเองค่ะ ไม่ไกล อยู่ตรงนี้คุณแม่ก็มองเห็น” นิ้วเล็ก ๆ ชี้ไปยังขนมเค้กเป้าหมาย
“ก็ได้ค่ะ รีบไปรีบกลับนะคะ” เมื่อชาลิสาเห็นว่ามันไม่ได้อยู่ไกลตาอย่างที่ลูกสาวว่าเธอจึงอนุญาต
“ค่ะ” เมื่อลูกสาวตอบรับชาลิสาจึงยื่นเงินให้ลูก พร้อมกับถามสิ่งที่เคยสอน
“จำที่แม่บอกได้ไหมคะ”
“อย่าไปไหนกับคนแปลกหน้า//อย่าไปไหนกับคนแปลกหน้า” สองแม่ลูกพูดออกมาพร้อมกัน ก่อนมือบางของผู้เป็นแม่จะยื่นไปยีศีรษะลูกสาวเบา ๆ อย่าเอ็นดู
“เก่งมากค่ะ”
หลังจากได้รับเงินมาแล้ว ร่างเล็ก ๆ ก็เดินเร็ว ๆ ไปยังร้านขนมเค้กตัวเองหมายตาไว้ตั้งแต่เดินเข้ามาในโรงพยาบาลกับผู้เป็นแม่
เดินเข้ามาข้างในดวงตากลมโตก็เป็นประกาย เพราะเค้กหน้าตาน่าทานต่าง ๆ ที่ถูกวางเรียงจนเกือบเต็มชั้น หันมองเงินในมือที่แม่พึ่งยื่นให้ บวกกับตอนเช้าที่คุณยายให้ไว้เป็นค่าขนมก็ยิ้มกรุ้มกริ่ม ก่อนจะเริ่มชี้นิ้วเลือกนั่นนี่บอกพี่พนักงาน
แต่ทว่าพอคิดเงินปากเล็ก ๆ ก็เริ่มคว่ำลง พร้อมกับแก้มกลม ๆ ที่เริ่มป่องออกอย่างน่ารัก ทว่าสวนทางกับความรู้สึกของเจ้าของใบหน้าโดยสิ้นเชิง เพราะว่าเงินเธอไม่พออย่างไรล่ะ ขาดอีกเพียงเจ็ดสิบบาทเท่านั้น
จะตัดใจคืนเค้กสักชิ้นก็ทำไม่ได้ เพราะที่เลือกมาเธออยากกินทั้งหมด แล้วเธอก็จะเอาไปฝากคุณตาด้วย
ในตอนที่กำลังสิ้นหวังคิดไม่ตกเพราะเงินไม่พอ ก็หันไปเห็นคุณลุงคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน มันเหมือนมีแสงออร่าออกมาจากตัวคุณลุง เหมือนกับว่าเป็นแสงแห่งความหวังที่จะทำให้เธอได้ทานเค้กที่เลือกไว้ ไม่รอช้า เธอจึงตัดสินใจร้องเรียกคุณลุงคนนั้นไว้ทันที
“คะ คุณลุงคะ” เสียงใสที่ดังขึ้น ทำให้ภรัณยูที่เดินผ่านอดไม่ได้ที่จะหัน ก่อนจะพบเด็กหญิงตัวเล็กไว้ผมหน้าม้าคนหนึ่ง ยืนมองเขาอยู่ ก่อนที่เธอจะเดินเข้ามาหาเมื่อเห็นเขาหยุดมอง
“เรียกลุงหรอครับ” นิ้วเรียวชี้มายังตัวเอง ก่อนจะหันมองซ้ายขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีใครจึงก้มลงพูดกับเด็กหญิง ที่แกเองก็เงยหน้ามองเขาเช่นกัน
“ค่ะ พระพายเรียกคุณลุง”
“มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ” ด้วยไหวพริบ ทำให้ภรัณยูกวาดสายตามองสำรวจโดยรอบ ก่อนจะพบว่ามีเค้กจำนวนหลายชิ้นรอการจ่ายตั้ง และเด็กหญิงตัวน้อยที่เรียกเขาเธอก็ถือเงินจำนวนหนึ่งไว้ในมือ ทำให้เขาเลือกหันไปถามกับพนักงาน ด้วยเพราะเหตุผลอะไรบางอย่างที่เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะเขาไม่ค่อยได้มีปฏิสัมพันธ์กับเด็กเท่าไหร่
“พอดีน้องซื้อขนมเค้กแล้วเงินไม่พอน่ะค่ะ ไม่ทราบว่าใช่คุณลุงน้องรึเปล่าคะ” พนักงานถามด้วยใบหน้าเป็นมิตร
ส่วนเด็กหญิงพระพายที่ได้ยินพี่พนักงานพูดแบบนั้น ก็หันไปส่งสายตาปริบ ๆ ให้คุณลุงแปลกหน้าอย่างต้องการความช่วยเหลือ
“พระพายขอยืมเงินคุณลุงก่อนได้ไหมคะ...ยืมแป๊บเดียวค่ะ คุณแม่ของพระพายอยู่ข้างนอก ถ้าพระพายซื้อเค้กเสร็จแล้วพระพายจะเอาเงินมาคืนคุณลุง นะคะ” ว่าพร้อมกับเงยหน้ามองคุณลุงตรงหน้าตาใสแป๋ว แม้ว่าแม่จะบอกว่าไม่ให้พูดคุยหรือยุ่งเกี่ยวกับคนแปลกหน้า แต่ทว่าเธอกลับรู้สึกไว้ใจคุณลุงแปลกหน้าคนนี้มาก ๆ
“ครับ เธอเป็นหลานของผมเอง ค่าของทั้งหมดเท่าไหร่ครับ” สุดท้ายภรัณยูก็ไม่อาจทนต่อสายตาและความน่ารักน่าเอ็นดูของเด็กหญิงตัวน้อยได้ เขาเดินไปที่เคาน์เตอร์ก่อนจะสั่งเครื่องดื่มของตัวเองกับแซนด์วิชง่าย ๆ แล้วให้พนักงานคิดยอดรวมทั้งหมด
“ทั้งหมดแปดร้อยยี่สิบบาทค่ะ”
“นี่ครับเงิน”
“ส่วนเรา นี่ครับขนม” หลังจากได้รับกล่องขนมจากพนักงานแล้ว เขาก็หยิบกล่องขนมยื่นให้เด็กหญิงที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไหล
“ขอบคุณนะคะ” ว่าจบก็ฉีกยิ้มหวาน ๆ ให้คุณลุง
“ส่วนเงิน คุณลุงรอพระพายแป๊บนึงนะคะ เดี๋ยวพระพายกลับมา”
“ถ้าคุณลุงไม่เชื่อ พระพายจะให้ยางมัดผมของคุณลุงไว้ก่อน พระพายจะเอาเงินมาให้คุณลุงแลกกับยางมัดผมของพระพายคืน ตกลงไหมคะ” ยังไม่ทันที่ภรัณยูจะได้พูดอะไร เด็กหญิงตัวน้อยก็พูดรวบรัดเอาเองเสร็จสับ ก่อนจะถอดยางมัดผมสุดหวงที่ตัวเองคล้องแขนไว้อยู่ออก
“นี่ค่ะ คุณลุงเก็บไว้ดี ๆ นะคะ อันนี้เป็นยางมัดผมเส้นโปรดของพระพายเลย”
“รอพระพายก่อนนะคะ” หลังจากยื่นยางมัดผมให้คุณลุงแล้ว ร่างเล็ก ๆ ก็เดินเร็ว ๆ ออกจากร้านไปในทันที ทิ้งให้ภรัณยูได้แต่มองตาม ก่อนมุมปากหนาจะกระตุกยิ้มขึ้นมา
“ชื่อพระพายสินะ” ดวงตาคมมองยางมัดผมรูปกระต่ายในมือแล้วพูดขึ้น ก่อนจะเก็บยางมัดผมใส่กระเป๋ากางเกงไว้เมื่อมีสายโทรศัพท์เข้ามา
