บทที่3 ความเป็นมา
หญิงสาวให้สาวใช้ออกไปก่อนจะทบทวนตนเองอีกครั้ง พยายามรื้นฟื้นบางสิ่งบางอย่าง ก่อนตายแม้จะจดจำได้บ้างแล้วว่าตัวตนจริง ๆ นางเป็นมาเช่นไร แต่ก็ยังไม่ใช่ความทรงจำทั้งหมด
อาการปวดศีรษะปะทุขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่เรื่องราวหลากหลายจะปะทุเข้ามาเด่นชัดในหัว ความทรงจำทุกอย่างชัดเจนขึ้นและค่อย ๆ ได้รับการเรียบเรียง
เยว่เฟิงหนิง นั่นคือชื่อแซ่ของนาง แซ่เยว่ที่เป็นของนาง ก็คือแซ่เยว่เดียวกับชื่อแคว้นเยว่ซึ่งนับได้ว่าเป็นแคว้นใหญ่ที่สุดในแปดทิศ กินอาณาเขตกว้างเป็นเท่าตัวของแคว้นเฉียนแห่งนี้ บิดาของนางคือโอรสสวรรค์แห่งต้าเยว่ เฟิงหลิงฮ่องเต้ มารดาของนางคือชายาเอกผู้เป็นองค์หญิงจากแคว้นหยวนในสมัยที่บิดาเป็นรัชทายาท น่าเสียดายที่ทรงจากไปตั้งแต่นางอายุได้เจ็ดขวบ เมื่อเสด็จพ่อขึ้นครองราชย์เสด็จแม่จึงได้เป็นหยวนฮองเฮาผู้ล่วงลับ
นางคือองค์หญิงองค์โต หลังนางเกิด ก็มีน้องสาวอีกหลายคน หากแต่ไร้น้องชาย หน้าที่ในการแบ่งเบาภาระพระบิดาจึงตกเป็นของนาง ถึงขั้นที่เสด็จพ่อตรัสกับขุนนางว่าหากไม่มีพระโอรสก็จะให้นางเป็นฮ่องเต้คนถัดไป
ต้าเยว่แตกต่างจากหลาย ๆ แคว้นรอบข้าง ปฐมกษัตร์แห่งต้าเยว่เป็นสตรี ทุกรัชสมัยจึงมิได้ดูแคลนสตรีส่งเสริมบุรุษ สตรีใดมีความสามารถก็สามารถมีที่ยืนในราชสำนักได้เช่นกัน การที่เสด็จพ่อจะให้นางเป็นฮ่องเต้จึงไม่นับว่าเป็นเรื่องที่ผู้คนยอมรับไม่ได้ ตั้งแต่รู้ความนางจึงครองตนไม่ต่างจากรัชทายาทของแคว้น แบ่งเบาภาระของบิดา
ภาระบนบ่าสองข้างหนักอึ้งอยู่เสมออันเนื่องมาจากสงครามแย่งชิงดินแดนที่ผู้ใดก็อยากจะครอบครองแคว้นใหญ่ทำเลดีเช่นแคว้นเยว่
อายุได้สิบสามนางก็ออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพระบิดายึดแคว้นตงที่อยู่ทางใต้ที่คิดการณ์ใหญ่อยากยึดครองต้าเยว่ อายุสิบหกก็อาสานำทัพพิชิตตอนเหนือที่ถูกรุกราน นำชัยมามอบถวายพระบิดาจนถูกขนานนามว่าเป็นเทพสงครามหญิงแห่งต้าเยว่ ในวัยใกล้ปักปิ่นนางกินนอนในสนามรบเสียมากกว่าในพระราชวัง สองบ่าของนางเต็มไปด้วยภาระหน้าที่ในการดูแลต้าเยว่
หลังจบภาวะสงครามที่กินเวลาหลายปีนางจึงได้ปลดพันธนาการทั้งหมด ในที่สุดก็มีองค์ชายน้อยถือกำเนิด ในทันทีที่มีข่าวน่ายินดีนี้ นางก็ยกตำแหน่งรัชทายาทให้กับน้องชายในทันทีที หลังจากไร้พันธนาการที่เรียกว่าตำแหน่งรัชทายาท เยว่เฟิงหนิงก็ถูกพระบิดาเรียกไปปรึกษาเพื่อมอบตำแหน่งเชื้อพระวงค์หญิงอันดับหนึ่งให้ นางปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดนาน นางไม่อยากเป็นสตรีที่ต้องติดอยู่ในวัง และเมื่อถึงเวลาก็แต่งออกไปเฉกเช่นที่เชื้อพระวงค์หญิงต้องทำ นางจึงใช้ความดีความชอบทั้งหมดทูลขอพระบิดาสามอย่าง
หนึ่งคือแต่งตั้งนางในตำแหน่งที่มีจวนนอกวัง ตำแหน่งต้องไม่สูงเทียบเทียมชินอ๋อง ไม่น้อยกว่ากู้หลุนกงจู่ ไม่เป็นภัยต่อตำแหน่งรัชทายาท ไม่ใช่ตำแหน่งกู้หลุนกงจู่หรือชินอ๋อง มากด้วยอำนาจ มีสิทธิ์เข้าประชุมขุนนาง คัดคานในท้องพระโรงได้โดยไร้ซึ่งความผิด
สองคือการแต่งงานนางสามารถเลือกบุรุษแต่งเข้าจวนได้เองไม่มีผู้ใดสามารถเข้าแทรกแซงได้แม้แต่โอรสสวรรค์ สามคือให้ละเว้นพิธีการที่ยุ่งยากเมื่อต้องเข้าวัง และอยากเข้าวังเมื่อใดก็ย่อมได้ จะพกอาวุธเข้าเขตพระราชฐานก็ไร้ซึ่งความผิด
ด้วยการทูลขอสามข้อ เฟิงหลิงฮ่องเต้จึงแต่งตั้งนางเป็นเป่ยเยว่อ๋อง มอบสี่มณฑลทางตอนเหนือที่พิชิตมาได้อันได้แก่เป่ยเยว่ ฉางหนิง หนิงซวง ฉางเป่ยให้เป็นเมืองในอาณัท ที่ดินศักดินาอีกหลายแห่ง ทั้งพระราชทานจวนในเมืองหลวง และให้นางเป็นผู้บัญชาการหน่วยเฟิงเยว่หน่วยที่จัดการเรื่องต่าง ๆ ทั้งการข่าวกรอง ทั้งกององครักษ์ส่วนพระองค์ และการดูแลเมืองหลวงซึ่งขึ้นตรงกับฮ่องเต้ซึ่งนับได้ว่าเป็นการมอบอำนาจให้นางเป็นผู้ดูแลทุกอย่างเบ็ดเสร็จ ทั้งยังไม่เรียกคืนตราพยัคฆ์และกองทัพเฟิงหนิง
สิทธิ์เสียงไม่มีใครกล้าพูดว่าน้อย และไม่มีใครกล้าพูดว่ามากเช่นกัน อันเนื่องมาจากต้าเยว่ไร้ตำแหน่งชินอ๋อง แม้นางและเสด็จพ่อจะไม่ยอมรับว่าตำแหน่งของนางเทียบเทียมชินอ๋อง แต่ขุนนางไหนเลยจะไม่รู้ว่านางก็เปรียบดั่งชินอ๋องของต้าเยว่ อยู่เหนือคนนับหมื่น อยู่ใต้คนเพียงสองคน
นับจากนั้นมานางก็ดำรงตำแหน่งเป่ยเยว่อ๋องมาโดยตลอดจนกระทั่งอายุได้สิบแปด ในช่วงที่ขอพระราชทานอนุญาตพระบิดาไปเยี่ยมเยียนอาจารย์ที่เร้นกายไม่พบผู้คนซึ่งมีจดหมายมาบอกว่าอยากพบเจอลูกศิษย์สักครั้งก็มีคนชั่วลอบโจมตีด้วยด้วยแผนการสกปรก กว่าจะรู้ตัวว่าเป็นจดหมายลวงก็สายไปเสียแล้ว นางถูกไล่ต้อนไปจนถึงหน้าผาและในที่สุดก็ถูกธนูลึกลับยิงจนตกจากหน้าผา ความทรงจำในฐานะของเยว่เฟิงหนิงจบลงที่ตรงนั้น
นางฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็ไร้ซึ่งความทรงจำแล้ว นางรักษาตัวอยู่หนึ่งเดือนเต็มภายใต้การดูแลของนายท่านเว่ยหลาน น้องชายของเว่ยตงฟาน รองเสนาบดีกรมพิธีการแห่งราชสำนักต้าเฉียน ตอนหลังเว่ยตงฟาน เว่ยฮูหยินและคุณหนูเว่ยซูหนี่บุตรสาวคนเล็กก็มาเยี่ยมบ้านเกิด คนเหล่านั้นบอกว่านางคือเว่ยซูหนิง คุณหนูใหญ่ของจวนเว่ยที่เติบโตอยู่จวนในบ้านเกิดของบิดาด้วยว่าสุขภาพไม่ดี
นางไม่เคยสงสัยว่านางไม่ใช่เว่ยซูหนิงด้วยความใส่ใจที่เว่ยฮูหยินและเว่ยซูหนี่มีให้ นางจึงไม่เคยเก็บเรื่องนั้นมาขบคิด
ผ่านไปเดือนกว่ารองเสนาบดีเว่ยและครอบครัวก็กลับเมืองหลวง นางได้ปรากฏตัวในฐานะบุตรีคนโตของจวนเว่ย ยามนั้นนางไร้ความทรงจำเก่า ถูกลากจูงไปทิศทางใดก็ไปทางนั้น ผู้ใดจะคิดในงานเลี้ยงปักปิ่นของเว่ยซูหนี่นางกลับถูกพบว่านอนเปลือยเปล่าอยู่กับแม่ทัพน้อยแห่งกองทัพอินทรีเพลิง เฉินอวิ๋นหยาง บุตรชายขององค์หญิงเฉียนอวิ๋นเหมยพระเชษฐภคินีเพียงพระองค์เดียวของอันหมิงฮ่องเต้กับแม่ทัพใหญ่ผู้ครองตำแหน่งเฉินซือโหว เฉินเหยียน ซึ่งมีสถานะเป็นคู่หมั้นหมายของเว่ยซูหนี่
นางกลายเป็นสตรีที่แย่งชิงคู่หมั้นของน้องสาว ต้องแต่งเข้าจวนแม่ทัพพร้อมกับชื่อเสียงฉาวโฉ่ ทั้งที่ความจริงคุณหนูใหญ่เว่ยก็มีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้ว และจากนั้นมานางก็กลายเป็นฮูหยินแม่ทัพน้อยเฉินมาจนถึงปัจจุบัน
เดิมทีนางไม่เคยสงสัยอันใด แต่ยามนี้นางเข้าใจจนถ่องแท้แล้ว เว่ยซูหนิงตัวจริงเร้นกายอยู่ในความมืด สกุลเว่ยต้องการใช้นางปลดสัญญาหมั้นหมายของคุณหนูทั้งสอง เพราะเฉินอวิ๋นหยางเป็นพระนัดดาในเฉียนหมิงฮ่องเต้ การจะถอนหมั้นหมายอย่างไรก็ต้องไว้หน้าราชวงค์ การให้เฉินอวิ๋นหยางแต่งกับเว่ยซูหนิงก็ไม่ถือว่าสกุลเว่ยผิดสัญญากับสกุลเฉินทั้งยังทำให้สัญญาแต่งงานของเว่ยซูหนิงตัวจริงถูกยกเลิกด้วย
กว่าความลับเรื่องที่นางไม่ใช่เว่ยซูหนิงจะเปิดเผย คู่หมั้นผู้นั้นก็คงแต่งสตรีอื่นเป็นฮูหยินไปแล้ว เว่ยซูหนี่เองก็แต่งให้บุรุษที่พึงใจไปแล้ว และเมื่อความจริงถูกเปิด สกุลเว่ยก็จะโยนความผิดมาที่นาง หาว่านางสวมรอยเป็นบุตรสาวที่เติบโตอยู่นอกเมืองตั้งแต่แรก ตอนหลังบุตรสาวตัวจริงรอดพ้นภัยและกลับมา ไร้ซึ่งความผิดและมลทิน เหมาะสมคู่ควรกับตำแหน่งฮองเฮา
ที่แท้สกุลเว่ยก็เจ้าแผนการถึงเพียงนี้ นางพลาดท่าไปจริง ๆ
ความทรงจำเลือนหาย ความฉลาดเฉลียวก็หายตามไปเสียได้ ที่แท้เยว่เฟิงหนิงก็มิใช่สตรีที่ฉลาดเหนือผู้ใด นางทระนงตนเกินไปเอง
สตรีผู้พบเจอกับเรื่องเหลือเชื่อมาส่ายหน้ากับตนเอง ในที่สุดความทระหนงในใจก็ลดน้อยลง ความคิดจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างบังเกิดขึ้น นางไม่อาจใช้ชีวิตดั่งเช่นเว่ยซูหนิงที่ถูกลากจูงอย่างโง่เขลา และไม่อาจจะเป็นเป่ยเยว่อ๋องที่ทระนงว่าตนมีความสามารถจนใช้ชีวิตอย่างไม่ระแวดระวังผู้ใด
