บท
ตั้งค่า

บทที่1 ก่อนตายนั้นแสนยาวนาน

ก่อนตายนั้นแสนยาวนาน ภายนอกเป็นเช่นไร เว่ยซูหนิงไม่รับรู้แล้ว นางรู้เพียงว่าท้องฟ้าที่เคยสว่าง เจิดจ้าไปด้วยแสงแดดยามนี้มีเพียงความมืด หากแต่นางก็ยังไม่จากโลกนี้ไปเสียที

สวรรค์คงอยากให้คนชั่วช้าเช่นนางรับผลกรรมให้สาสมเป็นแน่

“ฮึก”

“ฮูหยินน้อย” อยู่ในห้วงความคิดและความทรมานมากว่าชั่วยาม เว่ยซูหนิงก็แทบไม่รับรู้สิ่งใดแล้ว หากแต่ยังสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของผู้ใดสักคน นางเงยหน้ามองแล้วก็ต้องหัวเราะเสียงแผ่ว ราวกับต้องการขบขันกับการเล่นตลกของสวรรค์

สวรรค์ช่างร้ายกาจนัก เล่นตลกอันใดอยู่กัน

“กู้จื่อเฉียน และผู้สมรู้ร่วมคิดทั้งหมดถูกปราบหมดแล้ว” ผู้มาใหม่ซึ่งอยู่ในชุดเกราะดั่งเช่นทหารมียศเอ่ย คนผู้นี้มิใช่คนอื่นไกล เป็นฟ่านฉีรองแม่ทัพคนสนิทของเฉินอวิ๋นหยางผู้เป็นสามีของนาง ซึ่งเขาเป็นคนที่ควรจะตายไปแล้ว...แต่คนกลับยังมีชีวิตอยู่เสียนี่

ในใจนางมีคำถาม ใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงงอย่างยิ่ง ทว่าไม่รอให้นางถาม ฟ่านฉีก็บอกเล่าออกมาก่อน

“เป็นท่านแม่ทัพที่วางแผนเอาไว้ เดิมทีเขาและคุณหนูคุณชายควรจะยังอยู่ หากแต่...ก็เป็นท่านที่ทำให้ท่านแม่ทัพจากไป”

“เป็นท่าน ที่ทำให้จวนแม่ทัพถูกสังหารก่อนที่พวกข้าจะลงมือ” ฟ่านฉีคล้ายกำความแค้นทั้งหมดมาลงที่คนตรงหน้า เขาแทบอยากจะหยิบดาบมาสังหารนาง หากแต่คล้ายจะยั้งความคิดเอาไว้อย่างยากลำบาก เป็นที่แน่ชัดว่าเขาโกรธแค้นนาง มิใช่เพียงเพราะนายของเขาต้องจบชีวิตเพราะนาง แต่เพราะแม้แต่น้องสาวของเขาก็จบชีวิตลง เพราะการกระทำของนางเช่นกัน

“นับว่าท่านโชคดีที่ท่านแม่ทัพสั่งไว้ไม่ให้ข้าลงมือกับท่าน ไม่เช่นนั้น ข้าคงจะปลิดชีพของท่านในทันทีที่มาถึง...ปล่อยคุณหนูกับคุณชายซะ พวกข้าจะนำไปจัดงานให้สมเกียรติ

“ส่วนท่าน...ฝ่าบาททรงให้จับไปขัง รอรับโทษพร้อมกบฏกู้จื่อเฉียน”

ฟ่านฉีบอกจุดประสงค์ของการมาของตนจนหมด ก็คล้ายจะทำให้นางได้รับรู้อะไรมากขึ้น ที่แท้กระดานหมากปล้นบัลลังก์ของกู้จื่อเฉียนก็มีเฉินอวิ๋นหยางซ่อนหมากลับเอาไว้เพื่อล้มทั้งกระดาน บุรุษผู้นั้นมิใช่คนโง่งมที่เก่งแต่ใช้กำลังในสนามรบจริง ๆ หมากกระดานนี้เขารักษาราชวงค์เฉียนเอาไว้ได้ บิดามารดาและน้อง ๆ ก็ดูเหมือนจะอยู่รอดปลอดภัย

แต่...หลิงเอ๋อร์และอิงเอ๋อร์ของนางควรต้องรอดด้วยมิใช่หรือ

เหตุใดบุตรทั้งสองของนางจึงไม่รอด คนผู้นั้นมิได้คิดไว้เผื่อนางกับลูกเช่นนั้นหรือ?

มีคำถามเกิดขึ้นมากมาย แต่ถึงไม่ใช่เช่นนั้น นางก็ไม่ปรารถนาจะขบคิดอันใดแล้ว อย่างไรคนผู้นั้นเองก็ทิ้งชีวิตของตนเช่นกัน นางถามผู้ใดไปก็คงไม่อาจได้คำตอบ...ช่างมันเถิด

คนใกล้ตายหัวเราะในลำคอเย้ยหยันในโชคชะตาตนเองและสามี เฉินอวิ๋นหยางผู้เก่งกาจเอ๋ย ต่อให้รักษาราชวงค์ไว้ได้แล้วอย่างไร เลือดเนื้อของตนเขาก็มิอาจรักษาไว้ได้ ซ้ำยังรักษาไว้ไม่ได้แม้แต่ชีวิตตนเองด้วยซ้ำ ช่างน่าขันนัก

“จับนางออกไป”

“อย่าเข้ามา” นางส่งเสียงออกไปหลังจากที่นิ่งคิดกับตนเองอยู่เนิ่นนานจนฟ่านฉีทนไม่ไหวก่อนที่นางจะหัวเราะในลำคอและเอ่ยต่อ “หึ เกรงว่าข้าจะอยู่ไม่ถึงตอนนั้นที่กู่จื่อเฉียนถูกตัดสินโทษเสียแล้ว ปล่อยให้ข้าได้ตายกับลูกเถิด”

“หมายความว่าอย่างไร?”

“อวี่กงกงมาที่นี่ มามอบสุราพิษให้ข้า พิษนี้แม้จะออกฤทธิ์ช้าสักหน่อย แต่เกรงว่าไม่ถึงครึ่งชั่วยามข้าก็คงจะตามหลิงเอ๋อร์กับอิงเอ๋อร์ไปแล้ว”

ประโยคของนางฟ่านฉีคล้ายไม่เชื่อ เขาขยับเข้ามาใกล้ก่อนจะจับชีพจร พอเห็นว่าแผ่วกว่าคนทั่วไปมากก็ทอดถอนใจ

“สุดท้ายท่านก็เป็นเพียงหมากที่ถูกกำจัด คุ้มหรือที่ทรยศท่านแม่ทัพ...ช่างโง่เขลานัก” ฟ่านฉีคล้ายเสียดายแทนก่อนจะสูดหายใจหนัก ๆ และเอ่ยต่อ “เอาเถิด อย่างไรท่านก็เป็นฮูหยินของท่านแม่ทัพ...ข้าจะให้ท่านได้อยู่กับคุณชายและคุณหนูในวาระสุดท้ายก็แล้วกัน”

“พวกเราไปกันก่อน”

“นางจะไม่ใช้โอกาสนี้หนีหรือ”

“ตะเกียงชีวิตของนาง ใกล้ดับเต็มที เห็นแก่ท่านแม่ทัพเถิด อย่างไรท่านแม่ทัพก็สั่งเอาไว้ ว่าห้ามพวกเราลงมือกับนาง”

บทสนทนาที่นางไม่ได้คิดจะสนใจดังมาอีกสองสามคำก่อนที่คนเหล่านั้นจะถอยหลีกไป ประตูจวนแม่ทัพปิดลงอีกครั้ง หลงเหลือเพียงแค่ความเงียบที่อยู่รอบกายของเว่ยซูหนิงอีกครั้ง และคงจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วกระมังที่จะมีผู้มาหานาง

เว่ยซูหนิงกระชับอ้อมกอดบุตรชายและบุตรสาวอย่างทะนุถนอม สติสัมปชัญญะเลือนลางขึ้นทุกที หากแต่ในห้วงอันเงียบสงบและแสนจะทรมาน นางก็คล้ายมองเห็นภาพหลอนของบุรุษที่นางไม่รู้เสียแล้วว่าความละอายกับความขุ่นเคืองอันไหนมากกว่ากัน

หากแต่นั่นกลับมิใช่นางคิดไปเอง หรือคนผู้นั้นมาอยู่ตรงหน้าจริง ๆ แต่เป็นความทรงจำส่วนหนึ่งของนาง ในวันที่เขา...สิ้นใจ

เฉินอวิ๋นหยางในชุดนักโทษ เต็มไปด้วยร่อยรอยของการทรมาน ขาทั้งสองข้างพิการไปแล้ว และยังถูกพิษ คนผู้นั้นมองมาที่นาง หากแต่สายตากลับไร้ซึ่งความเคียดแค้น เขาประทับลายนิ้วมือในหนังสือหย่าที่นางนำไปด้วยอย่างเงียบสงบ ไร้ซึ่งท่าทีไม่ยินยอม คำพูดก่อนสิ้นลมของเขา จนยามนี้นางก็ยังไม่เข้าใจ

“หากนี่คือประสงค์ของท่านอ๋อง กระหม่อมยินดีรับไว้ทั้งหมด ขอพระองค์สมหวังดั่งใจ”

เพียงเท่านั้น ลมหายใจสุดท้ายก็ขาดห้วน แม่ทัพผู้เก่งกาจสิ้นลมทันทีที่ประทับลายนิ้วมือเสร็จ เขามิได้ทุกข์ทรมาน หากแต่เป็นการกัดลิ้นตนเองเพื่อสิ้นสุดความทรมาน

ท่านอ๋อง...ในคำพูดของเฉินอวิ๋นหยางไม่คล้ายพร่ำเพ้อถึงผู้อื่น คล้ายว่าเขาพูดกับนาง หากแต่นางไม่เข้าใจ

น่าเสียดาย คงมิอาจเข้าใจได้อีกแล้ว

ในยามที่คิดว่าคงได้ใช้วาระสุดท้ายแล้วจริง ๆ ประตูจวนกลับถูกเปิดเข้ามาอีกครั้งอย่างรุนแรงและรีบร้อน ไม่นานเสียงฝีเท้าไม่ต่ำกว่าสองคนก็ใกล้เข้ามา ไม่ใช่กลุ่มของฟ่านฉี แต่มีกลิ่นอายที่นางคุ้นเคย นางเงยหน้ามองก่อนจะเห็นเป็นกลุ่มบุรุษห้าคนที่อยู่ในอาภรณ์ที่ให้ความรู้สึกคุ้นตา สิ่งที่สะดุดตาที่สุดก็คือป้ายคาดเอวที่มีตัวอักษรคำว่าเฟิงหู่กับสัญลักษณ์ที่คุ้นตาหากแต่นึกไม่ออกว่าเป็นสัญลักษณ์อะไรสลักอยู่

“ท่านอ๋อง” คนที่อยู่ด้านหน้าสุดสองคนเอื้องเอ่ยออกมาแล้วหลุดสะอื้นคนนึงจับชีพจรของนางแล้วได้รู้ว่าสายเกินไป บุรุษที่จับชีพจรอันแผ่วเบาของนางก่อนจะส่ายหน้ากับอีกคนก่อนจะเอ่ยขึ้น “อาซานมาช้าไป ฮึก อาซานผิดต่อท่านอ๋อง”

“อาเหอไร้สามารถ มิเช่นนั้น...” บุรุษอีกคนเอ่ยแล้วก็เว้นคำพูด ขณะที่อีกสามคนที่อยู่ด้านหลังก็คุกเข่าประสานมือ ราวกับต้องการขอรับโทษ

คำพร่ำเพ้อด้วยความโศกเศร้าของบุรุษทั้งสองทำให้นางได้ฉุกคิด

ท่านอ๋องที่ว่าคงมิได้หมายถึงนางกระมัง?

ท่านอ๋อง ป้ายอักษรคำว่าเฟิงหู่ กับสัญลักษณ์แปลก ๆ อาซาน อาเหอ คำเหล่านี้ใยนางรู้สึกคุ้นนัก?

“ฮึก” ฉับพลันนั้นความทรงจำมากมายก็แล่นมาปะทุ ในช่วงเวลาของลมหายใจเฮือกสุดท้าย ในที่สุดนางก็ได้รู้ถึงตัวตนที่ลืมเลือน

แท้จริงแล้ว นางคือเยว่เฟิงหนิง อ๋องหญิงแห่งแคว้นเยว่ที่แสนเกรียงไกร ต้าเฉียนที่นางเคยคิดว่ากว้างใหญ่ เล็กลงไปเท่าตัวเมื่อเทียบกับแคว้นบ้านเกิด เสด็จพ่อของนางคือฮ่องเต้ผู้เก่งกาจแห่งแคว้นเยว่ มารดาคืออดีตฮองเฮาที่เป็นองค์หญิงจากแคว้นหยวน ทั้งสายเลือดบิดามารดานางล้วนสูงศักดิ์ อำนาจในมือนางพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินต้าเยว่ได้อย่างง่ายดาย ซ้ำยังขึ้นชื่อว่าเป็นศิษย์เอกของหมอพิษและหมอเทวดาและเทพสงครามหญิงผู้เป็นที่พึ่งของปวงประชา หากนางไม่ถูกกลอุบายเจ้าเล่ห์ มีหรือจะมาเป็นคนไร้ที่มาให้คนลากไปจูงมาเช่นนี้

น่าเสียดาย กว่าจะจดจำได้ ทุกอย่างก็เหมือนจะสายไปแล้ว...แม้แต่การจะรักษาตนเองก็สายไปเสียแล้ว

“เสด็จพ่อพลานามัยยังแข็งแรงดีหรือไม่” นางเจ็บจนจะขาดใจอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีเรื่องให้ห่วง แท้จริงนางมิใช่สูญเสียไปแล้วทุกคนแต่ยังมีเสด็จพ่อและน้อง ๆ อยู่

“เสี่ยวฉี เสี่ยวเฟิงหลาน เสี่ยวเฟิงฮวา เสี่ยวเฟิงซิน น้อง ๆ ทุกคนของข้าล่ะ”

“ทุกพระองค์แข็งแรงดีพะย่ะค่ะ ฮึก รัชทายาทน้อยทรงรู้ความมาก ๆ และบอกว่าจะเป็นเด็กดีของพี่หญิงใหญ่”

“ดี ดี” นางพึมพำคล้ายวางใจ มือนั้นยังคงกอดบุตรชายและบุตรสาวเอาไว้แน่นก่อนจะพยายามพูดต่อแม้เสียงที่มีจะเบาบางลง “หากข้าตายแล้ว วานพวกเจ้าพาข้ากับลูกกลับต้าเยว่ ฝังพวกเขาไว้กับข้า ร่างของเฉินอวิ๋นหยาง บิดามารดาเขาคงไม่ยินยอม เช่นนั้นก็ทำป้ายวิญญาณของเขาตั้งไว้กับข้าและลูกด้วย อย่างไรเขาก็เป็นบิดาของลูกข้า ถือเป็นพระสวามีของข้า”

“ลูกชายข้า ชื่อเฉินเซียวหลิง ลูกสาว เฉินเสี่ยวอิง ป้ายชื่อของพวกเขาให้สลักแซ่บิดาแต่ก็กำกับไว้ด้วยว่าพวกเขาคือบุตรของข้าเป่ยเยว่อ๋องแห่งต้าเยว่ เป็นซื่อจื่อและท่านหญิงแห่งเป่ยเยว่”

“กระหม่อมจะทำตามบัญชาท่านอ๋องพะย่ะค่ะ” บุรุษทั้งสองคนตอบพร้อมกันก่อนจะคุกเข่าประสานงานมือทำความเคารพ “ขอท่านอ๋องโปรดวางพระทัย”

“อาซาน อาเหอ มีพวกเจ้าข้าก็วางใจ ต้าเยว่ต้องฝากพวกเจ้าองครักษ์เฟิงหู่เป็นตัวแทนข้าปกป้องแล้ว...ฝากบอกทุกคนใช้ชีวิตให้ดี”

“ฮึก ท่านอ๋อง”

“ท่านอ๋อง!”

เฮือกสุดท้ายมาถึงแล้วจริง ๆ นางคล้ายไม่ห่วงสิ่งใดแล้ว หากแต่ก็ยังมีความเสียดายอยู่มาก หากนางจดจำได้ก่อนนี้จะเปลี่ยนอะไรได้หรือไม่

หลิงเอ๋อร์ อิงเอ๋อร์ ไว้พบกันชาติหน้าเถิด...ชาติหน้า แม่จะดีกับพวกเจ้าให้มาก

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel