บท
ตั้งค่า

ปฐมบท

แคว้นเฉียน

กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งชวนให้รู้สึกสะอิดสะเอียนลอยกระทบจมูกเมื่อเปิดประตูเข้ามาภายในจวนใหญ่ซึ่งเคยเป็นจวนพระราชทานของแม่ทัพผู้เป็นดั่งเทพสงครามทำให้ผู้ที่เปิดประตูจวนเข้ามาต้องผงะ ให้รู้สึกคลื่นเหียนจนไม่อยากจะย่างกายเข้าไป หากแต่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้จึงจำต้องก้าวเดินต่อ

ภายในลานกว้างในยามนี้เต็มไปด้วยร่องรอยเลือดกระเซ็น และซากศพของผู้คนภายในเรือน ทั้งทหาร และคนงาน ทว่าก็ยังมีสตรีผู้หนึ่งนั่งอยู่ท่ามกลางซากศพเหล่านั้น

สตรีนางนั้นเนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดที่สาดกระเซ็นลามมาจนถึงใบหน้า ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง จนแทบจะจดจำไม่ได้เลยว่านางคือโฉมสะคราญนางหนึ่ง

เว่ยซูหนิงผู้ที่ผู้คนรู้จักกันในนามของฮูหยินแห่งจวนแห่งนี้หาได้สนใจผู้มาใหม่ นางเพียงกระชับอ้อมแขนที่กอดรัดร่างไร้วิญญาณของเด็กชายและเด็กหญิงวัยหกหนาวเอาไว้ด้วยจิตใจที่แทบจะแตกสลายไปแล้ว

“แม่นางเว่ย ฝ่าบาทมีรับสั่งให้มาเชิญท่านกลับเข้าวังหลัง โปรดลุกขึ้นแล้วตามพวกข้าไปเถิด” ผู้มาใหม่ซึ่งมีสถานะเป็นกงกงข้างกายผู้เป็นโอรสสวรรค์เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ให้ความเคารพอยู่หลายส่วน ทว่าผู้ฟังกลับมิได้สนใจใด ๆ จนจำต้องเอ่ยต่อ “แม่นางเว่ย ฝ่าบาทมีรับสั่งแต่งตั้งท่านเป็นเว่ยกุ้ยเฟย ท่านตามพวกข้ากลับไปเถิด”

“เว่ยกุ้ยเฟย มิเช่นนั้น...ข้าต้องมอบสุราพิษแก่ท่านแล้ว”

“สุราพิษรึ” ในที่สุดคนที่คล้ายล่องลอยไปแล้วก็ยอมตอบโต้กลับ นางหันมามองเหล่าขันทีที่เครื่องแต่งกายยังใหม่เอี่ยมบ่งบอกว่าเพิ่งรับตำแหน่งได้ไม่นานก่อนจะยิ้มเยาะ “หึ คนผู้นั้นจะตอบแทนข้าด้วยตำแหน่งกุ้ยเฟย แต่หากข้ายังอาลัยบุตร กลับจะมอบสุราพิษเช่นนั้นรึ ช่างดีเหลือเกิน”

มิใช่ว่านางยิ้มเยาะผู้มาใหม่ หากแต่เยาะหยันตนเอง ดูเถิด บุรุษที่นางทุ่มเทให้ถึงขั้นป้ายสีบิดาแท้ ๆ ของลูกตอบแทนนางอย่างไร

สั่งคนลงมือสังหารลูก ๆ ของนางยังไม่พอ ยังคิดจะมอบเหล้าพิษให้หากนางไม่เข้าวังไปอยู่ข้างกาย

“หากเขาอยากให้ข้าเป็นกุ้ยเฟยจริง ๆ ใยต้องสังหารลูกข้า ทั้งที่ข้าเคยขอร้องเขาไว้ เขามิได้อยากให้ข้าเข้าวังด้วยซ้ำ”

“กุ้ยเฟย ท่านเข้าใจฝ่าบาทผิดแล้ว ฝ่าบาทจำต้องถอนรากถอนโคน มิอาจเหลือเอาไว้ได้ ไม่เช่นนั้นจะเป็นภัยในภายหน้า อย่างไรสายเลือดครึ่งหนึ่งของลูกท่านก็เป็นของโจรกบฏ มิอาจเก็บไว้ได้จริง ๆ”

กบฏหรือ...ผู้ที่เป็นกบฏปล้นบัลลังก์ผู้อื่นคืออีกฝ่ายมิใช่หรือ

ช่างน่าขัน กลับดำเป็นขาวได้อย่างหมดจดเสียจริง

เว่ยซูหนิงคล้ายเพิ่งตื่นจากฝัน ที่แท้บุรุษที่นางหลงใหล มิใช่คนดีอะไร

ที่แท้เส้นทางที่ผ่านมา เขาก็เหยียบผู้อื่นขึ้นที่สูง และนางก็เป็นหมากตัวหนึ่งของเขา หมากที่เขาล่อลวงด้วยความรัก ให้ลงมือกับผู้ที่เป็นขวางหนามที่สุดของเขา...ชายผู้เป็นสามีของนาง

เมื่อไม่มีแม่ทัพผู้ถูกขนานนามว่าเทพสงครามแห่งต้าเฉียน การช่วงชิงบัลลังก์ เปลี่ยนฮ่องเต้จากแซ่เฉียนเป็นแซ่อื่นก็มิใช่เรื่องยากอันใด

เว่ยซูหนิงนึกเสียใจกับทุกสิ่งจนแทบคลั่ง กว่าจะรู้ว่าตนทำผิดพลาดไปมากมาย ก็เหมือนจะสายไป ชาตินี้คงมิอาจมีโอกาสชดใช้ให้ผู้ใดได้แล้ว

เช่นนั้น...ก็ตายเสียเถิด

“เอาเหล้ามาเถิด ข้าไม่ปรารถนาจะเป็นสนมของคนชั่วช้าผู้นั้นอีกแล้ว”

“เช่นนั้นก็แล้วแต่ท่าน” สิ้นเสียงสุราพิษก็ถูกยื่นมาให้ นางหาได้หวั่นเกรงใด ๆ เพียงรับจอกมาแล้วก็กระดกดื่มราวกับเป็นสุราธรรมดา เพียงชั่วพริบตาก็กระอักเลือดออกมา

“พิษนี้จะค่อย ๆ ทำลายภายใน ท่านจะต้องพบกับความทรมานเป็นอย่างมาก มันออกฤทธิ์ช้าสักหน่อย แต่คงมิเกินสองวัน พวกข้าคงมิได้อยู่ส่ง” กงกงผู้รับหน้าที่มาเชิญว่าที่กุ้ยเฟยเข้าวังเอ่ยแล้วก็สลายตัวกันออกไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าไม่อยากจะอยู่ในสถานที่อันเต็มไปด้วยกลิ่นอายความตายแบบนี้นานอย่างไรอย่างนั้น

เว่ยซูหนิงยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ดวงตาทอดมองบุตรชายและบุตรสาวที่เหลือเพียงร่างอันไร้ลมหายใจ

หลิงเอ๋อร์และอิงเอ๋อร์ของนางตายไปแล้ว...ตายไปด้วยคำสั่งของบุรุษที่นางหลงรักอย่างลึกซึ้งเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนนี้เอง

เป็นนางเองที่ผิด หากนางไม่หลงเชื่อที่เขาบอกว่าจะให้คนมารับบุตรชายและบุตรสาวให้นางและให้นางรั้งรออยู่ภายในวังหลังจากที่คนผู้นั้นยึดบัลลังก์ได้สำเร็จและมารับลูกด้วยตนเอง หลิงเอ๋อร์และอิงเอ๋อร์ของนางก็คงไม่ต้องตายเช่นนี้

“หลิงเอ๋อร์ อิงเอ๋อร์ แม่ขอโทษ เป็นแม่เองที่ผิดไป ฮึก”

ไม่ทันจะได้หลั่งน้ำตาออกมาเพิ่มเสียงประตูจวนก็ดังขึ้นอีกครั้ง เงาร่างสองเงาก้าวมาหยุดตรงหน้าทำให้เว่ยซูหนิงต้องเงยหน้าขึ้นมอง ทว่าไม่ทันจะได้ประหลาดใจใด ๆ อีกฝ่ายก็เอ่ยกับผู้ที่มาด้วยกัน

“ฮูหยินผู้งดงามของจวนแม่ทัพไปไหนเสียแล้วล่ะหนี่เอ๋อร์ ไยพี่เห็นเพียงคนก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิงเล่า”

“นั่นสิเจ้าคะพี่ใหญ่ ข้าก็เห็นเช่นเดียวกันกับท่าน” สตรีงดงามทั้งสองเอ่ยแล้วก็หัวเราะชอบใจออกมาพร้อมกัน เว่ยซูหนิงแทบไม่อยากสนใจเลยหากมิใช่ว่าสตรีที่เออออกับสตรีคนแรกไม่ใช่เว่ยซูหนี่ น้องสาวของนาง และสตรีที่บอกว่านางเป็นคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิงนั้นมิใช่ผู้ที่เป็นสาวใช้ในจวน

แต่...ไยถึงเรียกกันว่าพี่ใหญ่เล่า?

“ไยเจ้าเรียกสาวใช้ว่าพี่ใหญ่” เว่ยซูหนิงคล้ายเจอเรื่องชวนให้งุนงงเข้าอีกแล้ว ทั้งท่าทีไม่ห่วงใยพี่สาวของเว่ยซูหนี่ ทั้งการเรียกสตรีอีกนางว่าพี่ใหญ่ ช่างเป็นเรื่องที่นางงุนงงยิ่ง ทว่าสตรีนางนั้นกลับส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มเย็นแล้วเอ่ยบอก

“สาวใช้อันใดกัน ข้าไม่ใช่สาวใช้เสียหน่อย” สตรีผู้มีใบหน้างดงามแต่ก็พูดได้ว่างามน้อยกว่าคนตรงหน้าในยามปกติเอ่ยแล้วก็ขยับเข้ามาใกล้และเอ่ยต่อ “แท้จริงแล้ว ข้าก็คือเว่ยซูหนิงอย่างไรเล่า”

“เว่ยซูหนิง!?”

“ใช้แล้ว ข้าคือเว่ยซูหนิง เจ้าของชื่อที่เจ้าใช้มานานหลายปีอย่างไรเล่า”

“ใช่...นี่ก็คือพี่สาวที่แท้จริงของข้า ส่วนเจ้า...ก็แค่ใครก็ไม่รู้ที่ท่านอาช่วยเหลือเอาไว้แล้วป้ายหยกที่ติดตัวเจ้ามาก็มีคำว่าหนิงเช่นเดียวกับชื่อของพี่ใหญ่ ท่านพ่อจึงคิดแผนการแล้วหยิบเจ้ามาใช้ประโยชน์แทนค่าข้าวค่ายาที่ท่านอาผู้โง่เขลาของข้าจ่ายไปเพื่อรักษาเจ้าเท่านั้น” เว่ยซูหนี่เอ่ยเสริม เพียงเท่านี้เรื่องทุกอย่างก็กระจ่าง

ผู้ที่เข้าใจว่าตนคือเว่ยซูหนิงมาโดยตลอดถึงกับกระอักเลือดออกมาเมื่อในที่สุดก็ประติดประต่อทุกอย่างได้

ที่แท้นางก็ไม่ได้ชื่อเว่ยซูหนิง แต่เป็นสตรีที่ชื่ออาจจะมีคำว่าหนิงเช่นเดียวกับเว่ยซูหนิง ที่ถูกคนเหล่านี้อาศัยว่าสูญเสียความทรงจำหยิบยกมาเป็นตัวหมากตัวเบี้ยในกระดานหมากช่วงชิงอำนาจ

ผู้ที่นางคิดมาตลอดว่าเป็นบิดาช่างเป็นขุนนางมากเล่ห์ ให้นางสวมรอยเป็นบุตรสาวทำเรื่องฉาวโฉ่ และเปื้อนเลือด ส่วนบุตรสาวตัวจริงแอบซุกซ่อนเอาไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในยามที่การกบฏจบลง

“สารเลว”

“ใช่ข้าสารเลว” เว่ยซูหนิงตัวจริงไม่ปฏิเสธคำด่าทอนั้น กลับชอบใจเสียอีก นางแสยะยิ้มก่อนจะเอ่ยต่อ “แล้วจะบอกอันใดให้ เหล้านี่ก็เป็นข้าที่สั่งอวี่กงกงมอบให้เจ้า...ผู้ใดจะยอมให้นางจิ้งจอกเช่นเจ้ามาใช้สามีร่วมกันเล่า”

“ต้องโทษที่เจ้ามีความสามารถทำให้จื่อเฉียนหลงใหลได้ ซ้ำยังงดงามจนน่าริษยา หากไม่เช่นนั้น ข้าคงให้เจ้ากับลูก ๆ สองคนได้อยู่ต่อ แต่...เจ้ามีน้ำหนักในใจจื่อเฉียนมากเกินไป ข้าไม่อาจยอมให้ตำแหน่งฮองเฮาถูกสั่นคลอนอย่างแน่นอน”

“ฮึก” ผู้ไม่รู้ว่าตนมีชื่อแซ่ว่าอันใดกันแน่ และแท้จริงเป็นใครกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพิษในเหล้า หรือเพราะเจ็บใจกับความโง่เขลาของตนกันแน่จึงได้กระอักเลือดออกมา ทว่าหากไม่ติดว่าในอ้อมแขนมีบุตรทั้งสอง นางก็อยากจะพุ่งเข้าไปบีบคอสองพี่น้องสารเลวนั้นให้ตาย ๆ ไปเสีย

“พี่ใหญ่ ใกล้ได้เวลาที่อวี่กงกงจะนำขบวนมารับท่านเข้าวังแล้ว อย่าได้ชักช้าอยู่กับคนใกล้ตายเลย อัปมงคลยิ่ง” เว่ยซูหนี่ไม่นำพากับความเจ็บปวดของคนตรงหน้า นางหันไปเอ่ยกับพี่สาวตัวจริง ก่อนที่ผู้เป็นพี่จะพยักหน้าและหันกลับมามองผู้ที่ใช้ชื่อของตนมาหลายปี

“จื่อเฉียนให้คนมารับข้าไปเป็นฮองเฮาเคียงข้างเขาแล้ว ให้เขารอคงไม่ดี เช่นนั้น...ไม่อยู่ส่งล่ะ ขอบใจเจ้าที่ช่วยเหลือข้ากับจื่อเฉียนมาหลายปี ลาก่อน” สิ้นประโยคสองพี่น้องก็ก้าวเดินออกไปอย่างไม่หันกลับมาใยดี

อย่างไรคนก็ดื่มพิษไปแล้ว เพียงเท่านั้นก็ไม่จำเป็นต้องห่วงอันใดอีก อย่างไรคนก็ต้องตายอย่างแน่นอน รออีกสักหนึ่งหรือสองชั่วยาม ให้คนมาดูให้แน่ใจแล้วค่อยให้อวี่กงกงที่ได้รับคำสั่งให้มารับกุ้ยเฟยและฮองเฮารายงานว่าสุดท้ายนางก็รู้สึกผิดกับลูกและสามีจึงดื่มพิษฆ่าตัวตาย ก็เป็นอันสิ้นเรื่อง อย่างไรฝ่าบาทก็ยังมีนาง นางย่อมทำให้เขาลืมนังจิ้งจอกนี่ได้อย่างแน่นอน

เว่ยซูหนิงที่รู้แล้วว่าตัวเองเป็นตัวปลอมแม้จะเจ็บปวดไปทั่วทั้งกาย แต่ก็ยังครองสติอยู่ได้ มือทั้งสองข้างกำแน่นด้วยความโกรธแค้นที่ไม่อาจปล่อยวางได้

เรื่องราวที่เกิดขึ้นช่างมากมายเหลือเกิน ที่แท้นางถูกผู้ใดหลอกใช้บ้างกัน และบาปกรรมและหนี้แค้นที่เกิดขึ้น นางจะชดใช้อย่างไรหมดกัน

“ฮึก” สุราพิษนับว่าออกฤทธิ์ได้ดี หากแต่ความตายกลับมาเยือนเชื่องช้าจริง ๆ สตรีผู้ไม่รู้ว่าตนเป็นผู้ใดกันแน่ได้แต่กัดฟัน นางเจ็บปวดถึงที่สุด แต่ก็ไม่คิดลงมือกับตนเอง นั่นก็เพราะนางไม่รู้จะชดใช้ให้คนที่ต้องตายไปเพราะความโง่งมของนางเหล่านั้นอย่างไรดี จึงคิดชดใช้ด้วยความเจ็บปวด

มือที่ไร้เรี่ยวแรงยังคงกอดบุตรสาวและบุตรชายเอาไว้แน่น สิ่งที่นางเสียใจที่สุดย่อมเป็นชีวิตน้อย ๆ ของเฉินเซียวหลิงและเฉินเสี่ยวอิง เลือดในอกที่กว่านางจะรู้ว่ารักมากเพียงใดก็สายไปเสียแล้ว

ที่ผ่านมานางไม่เคยให้พวกเขาเข้าใกล้ ไม่เคยใยดี ทั้งยังเคยแม้แต่หลอกใช้พวกเขาจนทำให้บิดาของพวกเขาได้รับโทษ...นางผิดต่อลูกยิ่งนัก

หลิงเอ๋อร์ อิงเอ๋อร์ แม่จะไปขอโทษเจ้าแล้ว

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel