บท
ตั้งค่า

บทที่ 6 ตามกลับจวน

ซูถังโหรวย่อมได้ยินคำพูดของหลี่เฉิงอัน แม้ว่าจะรู้สึกไม่พอใจในคำพูดของเขาแต่นางไม่อยากจะอธิบายความรู้สึกที่แท้จริงของตนเองให้เขารู้ การที่หลี่เฉิงอันได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ทำให้นางต้องคิดใคร่ครวญใหม่ว่ายามในนี้หลี่เฟยหลงมีผู้สนับสนุนที่นางไม่เคยรู้มาก่อนอยู่หรือไม่

“เจ้าควรจะกลับจวนได้แล้ว ตอนที่เจ้าเดินทางมาที่นี่ผ่านหูตาของผู้คนไม่รู้สักเท่าไหร่ ยามนี้ผู้คนคงจะเอาเจ้าไปโจษจันกันทั่วแล้วว่าเจ้าทนรอให้ข้ากลับไปหาไม่ไหวจนต้องมาตามข้าถึงที่นี่” เมื่อหลี่เฉิงอันเอ่ยเช่นนี้ซูถังโหรวจึงได้เอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมีแง่งอน

“ยามนี้เริ่มคิดถึงคำพูดของผู้อื่นที่จะพูดถึงหม่อมฉันแล้วหรือเพคะ ในเมื่อเริ่มกังวลแล้วว่าหม่อมฉันจะถูกผู้อื่นพูดถึงเช่นไรก็ควรจะยินยอมติดตามหม่อมฉันกลับจวนแต่โดยดีเถิดเพคะ” ซูถังโหรวเอ่ยพลางยิ้มออกมา เดิมทีนางคิดเอาไว้ว่าจะรอให้หลี่เฉิงอันกลับจวนเองดังเช่นที่เคยเป็นในชาติก่อน แต่พอคนของพี่ชายมาถึงและนางจำได้ว่าสตรีผู้นี้คือผู้ติดตามข้างกายของพี่ชาย ผู้ติดตามผู้นี้มีนามว่าจางอวี้หรูมีวรยุทธ์สูงจนบุรุษหลายคนไม่อาจจะสู้ได้ ซูถังโหรวจึงได้ตัดสินใจชักชวนจางอวี้หรูและผู้ติดตามอีกหลายคนให้เดินทางมาที่ค่ายทหารของหลี่เฉิงอันด้วยกัน

“ข้ายังต้องรักษาตัวเจ้าก็เห็น แล้วอีกอย่างเรื่องที่ข้าได้รับบาดเจ็บจะให้ผู้อื่นล่วงรู้มิได้” หลี่เฉิงอันเอ่ยพลางเม้มปากสายตาก็มีร่องรอยแห่งความแข็งกร้าวมากยิ่งขึ้น

“ให้ผู้อื่นล่วงรู้ไม่ได้หรือเพคะ แต่ท่านอ๋องคือพระอนุชาร่วมพระมารดากับฝ่าบาทนะเพคะ…” เมื่อเอ่ยมาถึงประโยคท้ายซูถังโหรวก็พลันนิ่งงันไป

หลี่เฉิงอันผู้นี้เป็นโอรสที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยของอดีตฮ่องเต้ อายุสิบสามก็ออกไปร่วมรบในแนวหน้าหน้าแล้ว พออายุได้สิบหกปีก็สามารถนำพากองทัพปราบปรามทัพของข้าศึกยึดครองแคว้นข้างเคียง แถมยังนำกองทัพกลับมาช่วยพี่ชายช่วงชิงราชบัลลังก์ได้ แม้ว่าความดีความชอบจะมีมากถึงขนาดนี้แต่ยามนี้ทัพของเขากลับยังคงต้องรั้งอยู่ภายในเมืองหลวง

เดิมทีซูถังโหรวเคยคิดว่าสาเหตุที่หลี่เฉิงกว่างฮ่องเต้ทรงรังหลี่เฉิงอันเอาไว้ก็เพื่อคอยคุ้มครองความปลอดภัยของราชบัลลังก์ แต่ยามนี้นางเริ่มจะพอมองออกแล้วว่าไม่ใช่ ทัพของฉู่อ๋องถูกเหนี่ยวรั้งเอาไว้ที่นี่ตั้งแต่เขามีอายุได้สิบเจ็ดปีจนยามนี้เขามีอายุได้ยี่สิบห้าปีแล้วก็ยังคงรั้งอยู่ที่นี่ กองกำลังของเขาถูกส่งออกไปประจำการที่ชายแดนในแต่ละจุด จนยามนี้กำลังพลที่อยู่ภายใต้การดูแลของเขาน่าจะเหลือไม่มากแล้ว และคนที่สามารถลิดรอนกำลังพลของฉู่อ๋องได้ก็มีแค่เพียงฝ่าบาทเพียงเท่านั้น

“หรือว่าจะเป็นฝ่าบาทที่…” ซูถังโหรวเอ่ยออกมาแล้วก็ไม่ได้เอ่ยออกมาอีก สีหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดไม่ถึง ความตื่นตระหนกและมีความหวาดหวั่นของนางล้วนอยู่ภายใต้การจับจ้องของเขา แล้วสุดท้ายเขาจึงได้หัวเราะออกมาเบาๆ

“ทำไม กลัวแล้วหรือ อยู่ก็เป็นชายาของข้า ตายก็จะตายในฐานะชายาของข้า เมื่อครู่นี้เจ้าพึ่งจะพูดประโยคนี้ออกมานะ” เมื่อหลี่เฉิงอันเอ่ยเช่นนี้ซูถังโหรวก็พยักหน้าในทันที

“หม่อมฉันยังคงยืนยันคำเดิมเพคะ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทที่ได้นั่งราชบัลลังก์อย่างมั่นคงแล้วจะทรงลดพระองค์ลงมาหวาดหวั่นพระอนุชาที่เคยมอบกายถวายชีวิตให้เช่นนี้” คำพูดของซูถังโหรวทำให้หลี่เฉิงอันได้แต่ส่ายหน้า

“ราชบัลลังก์มั่นคงต่อผู้อื่น แต่กลับไม่เคยมั่นคงเลยเมื่อทรงคิดถึงข้า แม้ว่าข้าจะยอมลงให้แล้ว ลดจำนวนกองทัพก็ลดแล้ว เรื่องแต่งงานก็ไม่กล้ามีความคิดว่าตนเองจะแต่งกับผู้ใดได้จนอายุล่วงเลยมาถึงป่านนี้ด้วยเกรงว่าจะทำให้เสด็จพี่ทรงหวาดระแวง แต่ก็ยังไม่สามารถลดทอนความระแวงลงได้” เมื่อเขาเอ่ยถึงเรื่องแต่งงานซูถังโหรวจึงได้เอ่ยถามในทันที

“ถ้าอย่างนั้นเรื่องราชโองการพระราชทานสมรสเล่าเพคะ” คำถามของซูถังโหรวทำให้สีหน้าของหลี่เฉิงอันเย็นชามากยิ่งขึ้น

“พอเริ่มสุขภาพไม่ดีก็ทรงคิดได้ว่าควรจะต้องสร้างศัตรูให้ข้ากระมัง หลี่เฟยหลงคือโอรสที่เสด็จพี่ทรงบ่มเพาะมาอย่างดี บัดนี้เขาเติบใหญ่แล้วสมควรที่จะมีเรื่องใหญ่ที่ต้องขัดแย้งกับข้าได้แล้ว คงจะทรงคิดว่าหากข้าแย่งชิงสตรีในดวงใจของหลี่เฟยหลงมาได้วันหน้าเขาย่อมจะต้องหาหนทางเล่นงานข้าให้ได้เป็นแน่” คำพูดประโยคนี้ของหลี่เฉิงอันทำให้ซูถังโหรวนิ่งงันไป

“ก็เลยมีราชโองการพระราชทานหม่อมฉันให้ท่านอ๋อง” เมื่อซูถังโหรวเอ่ยมาถึงจุดนี้แล้วก็พลันส่ายหน้าในทันที

“องค์ไท่จื่อไม่ได้ทรงรักใคร่ชอบพอหม่อมฉันมากมายถึงขั้นนั้น” คำพูดของซูถังโหรวทำให้หลี่เฉิงอันหัวเราะออกมาเบาๆ

“เจ้าอย่าได้ละเลยศักดิ์ศรีของบุรุษสิ สตรีที่กำลังจะเป็นของตนเองแต่กลับถูกผู้อื่นแย่งชิงไป ฝ่าบาททรงอ้างว่าข้าถึงวันที่ควรจะออกเรือนได้แล้ว แต่เจ้าก็ดูเอาสิข้าคนนี้มีอายุเท่าใดแล้ว หากเป็นผู้อื่นก็คงแต่งงานจนมีลูกที่วิ่งได้ไปนานแล้ว” คำพูดของเขาทำให้ซูถังโหรวคิดถึงเรื่องราวในชาติก่อนแล้วก็พลันยิ้มออกมาอย่างเศร้าใจ

‘ถ้าเป็นเช่นนั้นในชาติก่อนข้าก็ทำให้หลี่เฉิงอันถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีสินะ’ ซูถังโหรวด้วยความละอายใจ ในชาติที่แล้วเขาไม่เพียงไม่ซ้ำเติมนางแถมยังช่วยนางปกปิดผู้อื่นเรื่องที่นางขัดราชโองการด้วยการขอหย่าขาดกับเขาอีกด้วย แม้แต่ตอนที่นางตายในชาติที่แล้วผู้คนที่ยังจดจำนางได้ก็ยังเข้าใจว่านางคือพระชายาผู้ที่ไม่เป็นที่โปรดปรานของฉู่อ๋อง แต่เป็นเพราะนางทำตัวเหมือนคนหายสาบสูญไปนานแล้วจึงน้อยคนนักที่จะยังจดจำนางได้

“ถ้าเช่นนั้นท่านอ๋องก็ได้โปรดติดตามหม่อมฉันกลับจวนเถิดเพคะ ในเมื่อเบื้องบนอยากให้ศักดิ์ศรีขององค์ไท่จื่อถูกเหยียดหยามยิ่งนัก เช่นนั้นพวกเราก็ควรจะทำตัวไหลไปตามน้ำ” สีหน้าที่เต็มไปด้วยความจริงจังของซูถังโหรวทำให้หลี่เฉิงอันได้แต่จ้องมองนางด้วยความกังขานางจึงได้เอ่ยกับเขาตามตรง

“หม่อมฉันแค่รู้สึกว่าความสามารถขององค์ไท่จื่อในยามนี้ไม่น่าจะลักลอบโจมตีจนทำให้ท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บได้ จะต้องมีผู้อื่นช่วยองค์ไท่จื่ออีกเป็นแน่ ด้วยสถานะในตอนนี้หากท่านอ๋องมีความสัมพันธ์อันดีกับหม่อมฉัน คนที่เคยโจมตีท่านอ๋องคงจะต้องลงมืออีกแน่ ถึงยามนั้นหากสามารถจับตัวผู้ลงมือได้พวกเราก็จะได้รู้ว่าเป็นผู้ใดกันแน่ที่ลงมือลอบทำร้ายท่านอ๋อง” คำพูดของซูถังโหรวฟังแล้วดูเป็นเหตุเป็นผลเป็นอย่างยิ่ง หลี่เฉิงอันจึงจำต้องพยักหน้า

“เช่นนั้นเจ้ากลับไปก่อนเถิดอีกสักครู่ข้าจึงจะตามเจ้ากลับไป” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้นางก็ส่ายหน้า

“ไม่เพคะ หม่อมฉันเองก็มีศักดิ์ศรีและหน้าตาของตนเองที่ต้องรักษาเช่นเดียวกัน อุตส่าห์บากหน้ามาตามท่านอ๋องจนถึงที่ หากกลับจวนไปด้วยมือเปล่าแล้วหม่อมฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกันเล่าเพคะ”

“หากข้าถูกลอบโจมตีอีกครั้งเล่า เจ้าไม่กลัวว่าจะพลอยโดนลูกหลงไปด้วยหรือ” คำถามประโยคนี้ของหลี่เฉิงอันทำให้ซูถังโหรวส่ายหน้าในทันที

“ไม่หรอกเพคะ ผู้คุ้มกันของหม่อมฉันมีวรยุทธ์ที่ดีมากพอสมควร ส่วนทางท่านอ๋องนั้นในเมื่อเคยพลาดมาครั้งหนึ่งแล้วคนของท่านอ๋องคงจะไม่พลาดอีกเป็นครั้งที่สองกระมัง” คำพูดของซูถังโหรวทำให้หลี่เฉิงอันพยักหน้ารับในทันที

“เช่นนั้นก็ตามแต่ใจของเจ้าก็แล้วกัน แต่ข้าขอสั่งการกับคนของข้าก่อนเจ้าคงจะรอได้กระมัง”

“ย่อมจะต้องรอได้อยู่แล้วเพคะ ถึงอย่างไรที่จวนอ๋องก็ไม่มีสิ่งใดที่ต้องให้หม่อมฉันทำอยู่แล้ว” คำพูดของซูถังโหรวทำให้มุมปากของหลี่เฉิงอันพลันยกยิ้มขึ้นมาในทันที เมื่อคิดได้ว่ายามนี้หยางเหิงผู้โอหังจำต้องยอมศิโรราบให้ซูถังโหรวไปเสียแล้ว

“เช่นนั้นก็รอข้าสักครู่” เขาเอ่ยพลางส่งเสียงเรียกคนของตนมาสั่งงาน ส่วนซูถังโหรวก็ไม่ได้หลบเลี่ยงไปไหน ยังคงนั่งอยู่ข้างกายของเขาโดยไม่คิดจะหลบเลี่ยงสายตาที่ลอบพิจารณานางเป็นระยะจากคนของหลี่เฉิงอัน ส่วนสาเหตุที่นางไม่ได้สนใจสายตาของพวกเขาก็เพราะยามนี้ในใจของนางมีเรื่องให้ต้องสนใจมากกว่าจะมานั่งใส่ใจความรู้สึกที่คนของหลี่เฉิงอันมีต่อนาง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel