บทที่ 5 หลี่เฉิงอัน
สิ่งที่ซูถังโหรวคาดไม่ถึงก็คือทุกความเคลื่อนไหวของนางในจวนอ๋องล้วนอยู่ภายใต้การรับรู้ของหลี่เฉิงอันเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของนางรวมไปถึงการที่คนของเขาไม่อาจจะลักลอบแอบฟังบทสนทนาระหว่างนางกับพี่ชายได้นั้นกระตุ้นความสนใจของหลี่เฉิงอันเป็นอย่างยิ่ง
"ทูลท่านอ๋องกระหม่อมพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ผู้ติดตามของคุณชายใหญ่ซูนั้นไม่ธรรมดาทำให้กระหม่อมอมไม่กล้าเข้าไปใกล้ด้วยเกรงว่าจะทำให้พระชายาและคุณชายใหญ่รู้ตัวพ่ะย่ะค่ะ" คำพูดของคนของเขาทำให้หลี่เฉิงอันส่ายหน้า
"พวกเขาพูดคุยอะไรกันก็ช่างเถิด หลังจากนี้ดูจากการกระทำของซูถังโหรวพวกเราก็คงจะรู้แล้วว่าพวกนางสองพี่น้องมีเรื่องลับลมคมในอันใดกัน เพราะเหตุใดจึงได้ระมัดระวังไม่ให้คนนอกได้ยินได้"หลี่เฉิงอันเอ่ยพลางหลุบตาลงมองบาดแผลที่หน้าอกของตนเอง
เพราะก่อนหน้านี้เขาถูกลอบโจมตีอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างใหญ่หลวง แต่ด้วยไม่อาจจะให้ผู้อื่นล่วงรู้ได้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บ เขาจึงจำต้องฝืนทนเข้าร่วมพิธีอภิเษกที่พระเชษฐาของเขาพระราชทานให้ หลังจากเสร็จสิ้นพิธีเขาก็รีบกลับมารักษาตัวที่ค่ายทหารของเขา แม้จะรู้ดีว่าการกระทำของเขาจะทำให้พระชายาของตนต้องได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจ แต่เพราะพระชายาของเขาผู้นี้เขาไม่กล้าไว้ใจในตัวนางได้ จึงไม่อาจจะให้นางล่วงรู้ได้ว่าเขากำลังได้รับบาดเจ็บอยู่
"ทูลท่านอ๋อง พระชายามาพ่ะย่ะค่ะ" คำพูดของนายทหารคนสนิททำให้หลี่เฉิงอันขมวดคิ้วในทันที
"เจ้าหมายความว่าอย่างไร"
"พระชายามาขอเข้าพบท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ" คนของเขายังไม่ทันเอ่ยจบ เสียงของคนเฝ้าหน้ากระโจมก็ดังเข้ามา
"ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะพระชายา ท่านอ๋องทรงกำลังพักผ่อนอยู่ ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าพบ" เสียงพูดของนายทหารที่เฝ้าอยู่ข้างหน้ากระโจมยังไม่ทันได้เอ่ยจบประโยค ผ้าใบที่หน้ากระโจมก็ถูกเปิดขึ้น เสียงเชื้อเชิญของสตรีผู้หนึ่งดังลอดเข้ามาในกระโจม
"เชิญพระชายาเพคะ” หลังจากนั้นซูถังโหรวก็เดินเข้ามาในกระโจมส่วนตัวของหลี่เฉิงอัน เพราะบาดแผลยังคงไม่หายดียามนี้เขาจึงยังคงคลายสาบเสื้อเอาไว้ ยามที่นางจ้องมองมาจึงทันได้เห็นผ้าพันแผลที่กลางหน้าอกก่อนที่เขาจะดึงสาบเสื้อเข้าหากันเพื่อปิดบังบาดแผล
“ทรงได้รับบาดเจ็บหรือเพคะ” ซูถังโหรวเอ่ยถามพลางเดินไปหยุดตรงหน้าเขา หลี่เฉิงอันหันไปส่งสายตาให้คนของเขาออกไปแล้วจึงได้หันมาจ้องมองนางอย่างเต็มตาอีกครั้ง
“เพราะเหตุใดเจ้าจึงได้มาหาข้าที่นี่” คำถามของเขาทำให้ซูถังโหรวเลิกคิ้วขึ้นมาจ้องมองเขา เดินเข้าไปหาเขาแล้วยื่นมือไปที่สาบเสื้อด้านหน้าของเขาอย่างช้าๆ แต่หลี่เฉิงอันกลับจับมือที่ยื่นเข้าไปเอาไว้แล้วจ้องมองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม นางจึงได้เก็บมือของตนเองกลับไปแล้วถือวิสาสะนั่งลงเคียงข้างเขาแล้วจ้องมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความค้นคว้า
“แต่งงานมาร่วมเดือนแต่สวามีกลับขลุกอยู่แต่ในค่ายทหาร หม่อมฉันก็ย่อมจะต้องมาดูเสียหน่อยว่ามีอะไรที่ฉุดดึงความสนใจของสวามีของตนเองเอาไว้” คำพูดของซูถังโหรวทำให้หลี่เฉิงอันนิ่งงันไปครู่หนึ่งแล้วจึงได้เอ่ยกับนางไปตามตรง
“ข้าได้รับบาดเจ็บ เจ้าก็คงจะเห็นแล้ว” เมื่อเขาพูดเช่นนี้ซูถังโหรวก็พยักหน้า
“ถ้าเช่นนั้นเหตุใดในคืนแต่งงานจึงได้ผลุนผลันเสด็จจากมาโดยไม่ตรัสอะไรเลยเล่าเพคะ คงจะทรงไม่รู้กระมังว่าหม่อมฉันทุกข์ใจอยู่ร่วมเดือนด้วยคิดว่าตนเองไม่เป็นที่พึงพอพระทัยของสวามี” คำพูดของซูถังโหรวทำให้หลี่เฉิงอันจ้องมองนางด้วยสายตารู้เท่าทันในทันที
“ไม่ใช่ว่าเจ้าเศร้าเสียใจเพราะต้องมาแต่งงานกับข้าแทนที่จะได้แต่งเข้าตำหนักบูรพาหรอกหรือ” ถ้อยคำประโยคนี้ทำให้ซูถังโหรวพยักหน้ารับอย่างตรงไปตรงมาในทันที
“ย่อมจะต้องเป็นเพราะเรื่องนั้นด้วยอยู่แล้ว หม่อมฉันถูกเรียกตัวเข้าวังอยู่บ่อยครั้งมาตั้งแต่เด็ก เพื่อเข้าไปเรียนรู้ขนบธรรมเนียมเพื่อเตรียมตัวจะเป็นไท่จื่อเฟยในอนาคต แต่เพราะเกิดเหตุการณ์พลิกผันก็ย่อมจะต้องยากจะทำใจได้เป็นธรรมดา” เมื่อซูถังโหรวเอยเช่นนี้หลี่เฉิงอันก็เก็บสายตาของตนเองกลับไป
“แต่แล้ววันหนึ่งหม่อมฉันก็คิดได้ว่าแทนที่จะมัวอาลัยกับตำแหน่งที่สูญเสียไปควรจะเอาเวลามาไขว่คว้าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ดีกว่าหรือ” คำพูดของซูถังโหรวทำให้หลี่เฉิงอันจ้องมองนางด้วยสายตาอันร้อนแรงอีกครั้ง เขายิ้มเย็นออกมาแล้วเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“หลานชายผู้นั้นของข้า เจ้าสามารถตัดใจจากเขาได้แล้วหรือ”
“อันที่จริงก็ยากจะตัดใจ แต่จากที่รู้มายามนี้น้องสาวของข้ากำลังจะเข้าตำหนักบูรพาแล้ว หม่อมฉันจึงคิดว่าไม่ควรจะคร่ำครวญหาคนที่ไม่มีความจริงใจให้แก่หม่อมฉัน” คำพูดของซูถังโหรวทำให้สายตาที่หลี่เฉิงอันจ้องมองนางต้องพลันเปลี่ยนไปนางจึงได้เอ่ยอธิบายต่อ
“ท่านตาของมี่เอ๋อคือคหบดีใหญ่ของแคว้นฉี แม้ว่าจะดูต่ำต้อยแต่ก็มีเงินทองเพียงพอที่ดึงดูดความสนพระทัยจากองค์ไท่จื่อได้ ในขณะที่หม่อมฉันนั้นเป็นเพียงหลานสาวของอดีตแม่ทัพที่เร้นกายไปใช้ชีวิตในชนบทนานแล้ว ต่อให้มีความผูกพันลึกซึ้งต่อกันมากเพียงใดแต่ก็ไม่เพียงพอที่จะตอบสนองต่อความทะเยอทะยานขององค์ไท่จื่อได้” คำพูดของซูถังโหรวเต็มไปด้วยความเย็นชา สายตาที่จ้องมองตรงกลางหน้าอดที่ยังคงมีบาดแผลของหลี่เฉิงอันเต็มไปด้วยความคาดเดา
“แต่ก็นั่นแหละเพคะ ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็ยังคงเป็นบุตรสาวคนโตของเสนาบดีซู แม้ว่าท่านพ่อของหม่อมฉันจะโปรดปรานมี่เอ๋อมากเพียงใดแต่ก็ไม่อาจจะละเลยบุตรสาวคนโตอย่างเช่นหม่อมฉันได้ นี่คงเป็นอีกสาเหตุที่ท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บสาหัสก่อนหน้าที่จะเข้าร่วมพิธีกับหม่อมฉัน… เพียงแต่ด้วยความสามารถขององค์ไท่จื่อไม่น่าจะสามารถลงมือกับท่านอ๋องได้เช่นนี้” ซูถังโหรวเอ่ยพลางจ้องมองหลี่เฉิงอันด้วยความประหลาดใจ ด้วยความสามารถและผู้สนับสนุนของหลี่เฟยหลงในยามนี้ เขาไม่น่าจะสามารถลักลอบโจมตีหลี่เฉิงอันอันได้สำเร็จ คำถามของนางทำให้หลี่เฉิงอันพลันมีสายตาที่เย็นชามากขึ้นแล้วจ้องมองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความพินิจพิจารณาอีกครั้ง
“ข้าหลงคิดว่าเจ้าจะเป็นแค่เพียงสตรีในเรือนหลัง ที่หมกมุ่นอยู่แต่เรื่องรักใคร่ชอบพอเสียอีก”
“เมื่อก่อนหม่อมฉันเป็นเช่นนั้นเพคะ แต่ยามนี้หม่อมฉันคิดได้แล้วว่าแค่คำว่ารักมันไม่เพียงพอสำหรับบุรุษ” ซูถังโหรวเอ่ยพลางจ้องมองหลี่เฉิงอันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความจริงใจและเปิดเผย
“ท่านอ๋อง ในเมื่อหม่อมฉันคือพระชายาของท่านแล้ว ต่อไปยามมีชีวิตอยู่ก็จะเป็นชายาของท่านอ๋อง ยามตายก็จะขอตายในฐานะพระชายาของท่านอ๋อง ดังนั้นศัตรูของท่านอ๋องก็จะเป็นศัตรูของหม่อมฉันไปด้วย” คำพูดของซูถังโหรวทำให้หลี่เฉิงอันเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังขา
“แม้ว่าศัตรูของข้าอาจจะเป็นคนรักของเจ้าเช่นนั้นหรือ”
“ใช้คำว่าอดีตคนรักน่าจะดีกว่านะเพคะ ตอนนี้สำหรับหม่อมฉันแล้วคนที่หม่อมฉันแค้นเคืองมากที่สุดก็คือคนผู้นั้นนั่นแหละ ต่อให้เขาไม่ใช่ศัตรูของท่านอ๋องหม่อมฉันก็ยังคงคิดจะกำจัดเขาให้ได้อยู่ดีแม้ว่าจะยากเย็นมากเพียงใดก็ตาม” ซูถังโหรวเอ่ยออกมาด้วยความหนักแน่นและแค้นเคืองทำให้หลี่เฉิงอันได้แต่พยักหน้าพลางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เคยได้ยินมาว่าบรรดาสตรีนั้นรักแรงและเกลียดแรง ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”
