บท
ตั้งค่า

บทที่ 7 หลี่เฟยหลง

ตอนที่เดินทางออกจากจวนอ๋องนางนั่งรถม้าของจวนอ๋องมา แต่ตอนขากลับนางถือวิสาสะย้ายไปนั่งในรถม้าคันเดียวกับหลี่เฉิงอัน ซึ่งเขาก็ไม่ได้มีท่าทีผลักไสหรือมีท่าทีอึดอัดต่อการกระทำของนางแต่อย่างใด นางจึงได้ทำหน้าหนานั่งในรถม้าของเขาประดุจว่ารถม้าคันนี้เป็นของตนเอง

“ท่านอ๋องยังเจ็บบาดแผลอยู่อีกหรือเพคะ” ซูถังโหรวกระซิบเอ่ยหลี่เฉิงอันตามตรงเมื่อเห็นว่าทุกครั้งที่รถม้ากระเด้งกระดอนไปมาหลี่เฉิงอันก็จะนิ่วหน้าแล้วยกมือขึ้นมากุมบริเวณหน้าอกของตนเองไว้อีกทั้งสีหน้าของเขาก็ซีดเซียวไปเรื่อยๆ นางจึงได้เปิดผ้าม่านออกแล้วออกกับคนขับรถม้าเสียงเบา

“ช่วยช้าลงหน่อย ข้าไม่ค่อยจะได้ออกจากจวนเท่าใดนักจึงอยากจะค่อยๆ ชื่นชมบรรยากาศภายนอกให้มากสักหน่อย”

“พ่ะย่ะค่ะ” คนขับรถม้าส่งเสียงรับคำแล้วค่อยๆ ชะลอความเร็วลง

“ข้าไม่ได้เป็นอันใดมาก” แม้ว่าจะเอ่ยเช่นนั้นแต่เมื่อคนขับรถม้าบังคับให้ม้าวิ่งช้าลงก็ทำให้การกระแทกกระทั้นที่กระทบกับบาดแผลของเขาเมื่อครู่นี้พลันลดการแรงกระแทกลงไปได้มาก

“ไม่ได้เป็นอะไรก็ดีแล้วเพคะ” ซูถังโหรวเอ่ยออกมาพลางแง้มผ้าม่านทางหน้าต่างของรถม้าเพื่อชื่นชมทิวทัศน์ด้านนอก ค่ายทหารของหลี่เฉิงอันอยู่นอกประตูเมือง ต้องใช้เวลาเดินทางมากสักหน่อย แต่นางกลับรู้สึกชื่นชอบยิ่งนักด้วยทิวทัศน์ระหว่างทางล้วนเต็มไปด้วยทิวเขาและลำธาร ดูงดงามดึงดูดสายตามากพอสมควร

“ทูลท่านอ๋องมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังขี่ม้ามาทางนี้พ่ะย่ะค่ะ” เสียงรายงานจากด้านนอกทำให้ซูถังโหรวนั่งตัวตรงอย่าระมัดระวังในทันที ส่วนหลี่เฉิงอันนั้นก็พลันขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่านางขยับมานั่งเบียดเขาจนแทบจะเกยขึ้นมาบนตักแล้ว

“อีกสักครู่ท่านอ๋องก็อยู่ใกล้หม่อมฉันเอาไว้ก็แล้วกันนะเพคะ ท่านอ๋องกำลังบาดเจ็บอยู่ห้ามต่อสู้กับผู้อื่นอย่างเด็ดขาด” คำพูดของซูถังโหรวทำให้หลี่เฉิงอันได้แต่ส่ายหน้า

“กลัวว่าจะเป็นนักฆ่าหรือ หากเป็นนักฆ่าไม่มีทางที่จะมาอย่างเปิดเผยเช่นนี้หรอก”

“จะไว้ใจได้หรือเพคะ บริเวณนี้บังเอิญเป็นบริเวณที่เปลี่ยวร้างมากที่สุดพอดี” ซูถังโหรวพลางชี้ให้เห็นว่าบริเวณนี้ไร้บ้านเรือนของผู้คน เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่และลำธารไม่มีวี่แววของชาวบ้านดังเช่นตลอดเส้นทางที่ผ่านมา

“เจ้าวางใจเถิด ข้าเชื่อว่าผู้มาไม่ใช่คนที่จะลอบปองร้ายพวกเราได้อย่างแน่นอน” เมื่อหลี่เฉิงอันเอ่ยจบคนของเขาก็เข้ามารายงานในทันที

“ทูลท่านอ๋องผู้ที่มาคือองค์ไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ” คำพูดประโยคนี้ทำให้ซูถังโหรวพลันมีปฏิกิริยาระมัดระวังตนเองมากยิ่งขึ้น แต่เมื่อคิดได้ว่าคนอย่างหลี่เฟยหลงไม่มีทางลงมือโจมตีโดยป่าวประกาศการมาของเขาอย่างเปิดเผยเช่นนี้แน่นางจึงได้ผ่อนคลายความระมัดระวังของตนเองลง เมื่อเสียงกีบเท้าม้าวิ่งมาหยุดลงตรงบริเวณที่รถม้าหยุดรออยู่ซูถังโหรวก็หันไปส่งสายตาสอบถามหลี่เฉิงอันในทันทีว่านางควรจะวางตัวเช่นไร

“ข้าคือเสด็จอาของเขา ส่วนเจ้าก็มีศักดิ์เป็นอาสะใภ้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องออกไปรอถวายการคารวะ” เมื่อหลี่เฉิงอันเอ่ยเช่นนี้ซูถังโหรวก็พยักหน้าแล้วนั่งนิ่งอยู่กับที่โดยลืมที่จะผละออกจากเนื้อตัวของสวามี ทำให้หลี่เฉิงอันจ้องมองร่างกายที่กำลังแนบชิดอยู่กับร่างกายของเขาด้วยความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อน

เสียงฝีเท้าม้าหยุดลงที่ด้านนอกของรถม้า เสียงคารวะของผู้คนด้านนอกทำให้ซูถังโหรวพยายามสงบสติอารมณ์ของตนเองเอาไว้ ตอนนี้หลี่เฉิงอันกำลังรู้สึกเช่นไรนางไม่อาจจะรับรับรู้ได้เพราะในใจของนางกำลังคิดถึงการกระทำและคำพูดที่เคยทำร้ายจิตใจของนางในชาติที่แล้วของหลี่เฟยหลงอยู่

“หลี่เฟยหลงคารวะเสด็จอา เดิมทีหลานตั้งใจว่าจะไปคารวะเสด็จอาที่ค่ายของเสด็จอาคิดไม่ถึงว่าจะได้พบกันกลางทางเช่นนี้” เสียงหลี่เฟยหลงที่ดังขึ้นตรงข้างหน้าต่างของรถม้าทำให้ซูถังโหรวพลันรวบรวมสติอารมณ์ได้ในทันที นางหันไปมองสีหน้าของหลี่เฉิงอันอยู่ครู่หนึ่งเมื่อพบว่ายามนี้ใบหน้าของเขาไม่ได้มีความซีดเซียวดังเช่นก่อนหน้านี้ อีกทั้งบนใบหน้าของเขาเริ่มมีสีชมพูระเรื่อบนใบหน้าอย่างคนที่มีสุขภาพดีบ้างแล้วนางจึงได้เปิดผ้าม่านออกแล้วเอ่ยกับหลี่เฟยหลงเสียงเบา

“คารวะองค์ไท่จื่อเพคะ” แม้ว่าจะเอ่ยวาจาถวายการคารวะแต่นางกลับยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ยามที่หลี่เฟยหลงมองเข้ามาในรถม้าจึงได้เห็นภาพที่พวกนางสองสามีภรรยากำลังนั่งแนบชิดกันอยู่ด้านใน

“องค์ไท่จื่อจะไปหากระหม่อมเช่นนั้นหรือ แล้วเหตุใดจึงไม่เสด็จไม่ไปหากระหม่อมที่จวนเล่า จะเดินทางออกจากกำแพงเมืองมาหากระหม่อมที่ค่ายทหารด้วยเหตุใด” เมื่อหลี่เฉิงอันเอ่ยถามเช่นนี้สีหน้าของหลี่เฟยหลงก็ดูเหมือนจะมีความเย็นชามากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

“หลานได้ยินมาว่าเสด็จอาพึ่งจะได้ครอบครองม้าป่าที่ทั้งปราดเปรียวและงดงาม หลานจึงได้ตั้งใจว่าจะมาขอชื่นชมม้าของเสด็จอาเสียหน่อย คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับเสด็จอากลางทางเช่นนี้” คำพูดของหลี่เฟยหลงทำให้หลี่เฉิงอันยิ้มเย็นออกมา

“เช่นนั้นคราวหน้าก็ควรจะส่งข่าวมาให้กระหม่อมได้ทราบสักหน่อยว่าจะมาหา กระหม่อมจะได้อยู่ที่ค่ายทหารเพื่อรอต้อนรับองค์ไท่จื่อ” คำพูดของหลี่เฉิงอันทำให้หลี่เฟยหลงรีบพยักหน้ารับในทันที

“เอาไว้คราวหน้าหลานจะส่งคนมาแจ้งให้เสด็จอาทรงทราบก่อนก็แล้วกันนะพ่ะย่ะค่ะ” หลี่เฟยหลงเอ่ยพลางจ้องมองซูถังโหรวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยการตัดพ้อแต่นางกลับจ้องมองเขากลับด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชา

“ท่านอ๋อง หม่อมฉันอยากรีบกลับไปที่จวนแล้วเพคะ ข้างนอกนี้ก็มีทิวทัศน์งดงามอยู่หรอก แต่อากาศกลับร้อนอบอ้าวเป็นอย่างยิ่ง” ซูถังโหรวเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่มีความออดอ้อนอยู่ไม่น้อยทำให้หลี่เฉิงอันส่งยิ้มให้นางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้ทันในทันที

“โหรวเอ๋อ อย่าได้เอาแต่ใจจนเสียมารยาท องค์ไท่จื่อยังทรงประทับอยู่ตรงนี้” คำพูดของเขาทำให้หลี่เฟยหลงที่พึ่งจะส่งสายตัดพ้อมาให้ซูถังโหรวพลันแปรเปลี่ยนไปเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่สบอารมณ์ในทันที

“องค์ไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมคงต้องขอตัวกลับจวนก่อน ก่อนที่พระชายาของกระหม่อมจะถูกความร้อนของอากาศเล่นงานจนทนไม่ไหวแล้วล่วงเกินองค์ไท่จื่อเข้า” คำพูดของหลี่เฉิงอันยิ่งทำให้สายตาของหลี่เฟยหลงเต็มไปด้วยความไม่ชอบใจมากยิ่งขึ้น แต่หลี่เฉิงอันกลับไม่ได้สนใจความคิดของหลานชายของตนเอง เขายื่นมือมาดึงผ้าม่านในมือของซูถังโหรวให้ปิดในทันที

“เช่นนั้นหลานก็ไม่รบกวนเวลาของเสด็จอาแล้ว” หลี่เฟยหลงเอ่ยพลางเดินกลับไปที่ม้าของตนเองในทันทีแล้วจึงกระตุ้นให้ม้าวิ่งจากไปด้วยแรงอารมณ์แห่งความไม่ชอบใจเป็นอย่างยิ่ง ในใจก็ได้แต่คิดว่า 'เดิมทีนางควรจะเป็นของข้า'

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel