บทที่ 2 หวนคืนอีกครา
“เจียอี!” เสียงเรียกชื่อนางดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท ทำให้นางต้องพยายามฝืนสติของตนเองเพื่อลืมตาขึ้น
“คุณหนูเจ้าคะท่านเป็นอย่างไรบ้าง” เสียงของป้าเฝิงที่ดังขึ้นข้างกายทำให้สติของซุนเจียอีพลันระลึกได้ในทันที
“ป้าเฝิง!” นางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งแล้วจึงได้ลืมตาขึ้นมาด้วยความยากลำบาก
“คุณชาย คุณหนูของข้าได้สติแล้วเจ้าค่ะ” เสียงและสีหน้าที่เต็มไปด้วยความยินดีของป้าเฝิงทำให้ซุนเจียอีจ้องมองนางนิ่งๆ อยู่เนิ่นนาน ป้าเฝิงผู้นี้เป็นแม่นมของนางที่ติดตามนางมาจากชนบท ยามที่เข้าไปอยู่ในจวนสกุลเยว่ใช้ชีวิตอย่างอดทนอดกลั้นอยู่แค่เพียงไม่ถึงปี สุดท้ายด้วยอายุที่มากขึ้นและความเจ็บป่วยที่รุมเร้าทำให้ป้าเฝิงต้องตายจากนางไปก่อนเวลาอันควร
“ข้าตายไปแล้วหรือ” ซุนเจียอีเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง แต่แล้วก็พลันรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้อง นางละสายตาจากป้าเฝิงไปจ้องมองคนผู้หนึ่งอีกครั้ง แม้ว่ารูปร่างของเขาจะยังคงสูงโปร่งอยู่เช่นเดิม แต่ความอ่อนเยาว์บนใบหน้ากลับปรากฏให้เห็น ยังมีความเคร่งขรึมและความดุดันที่จางหายไปทำให้ซุนเจียอีอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
“พูดอะไรอย่างนั้นกันเล่าเจ้าคะ คุณหนูแค่ล้มป่วยเพียงเท่านั้นเจ้าค่ะแต่คุณหนูวางใจเถิดญาติผู้พี่ของท่านได้เชิญท่านหมอมาดูอาการของท่านแล้ว ท่านแค่เพียงต้องลมหนาวมากจนเกินไปเพียงเท่านั้น กินยาไม่กี่เทียบก็คงจะดีขึ้นแล้ว” คำพูดของป้าเฝิงทำให้ซุนเจียอีพลันขมวดคิ้ว ส่วนชายหนุ่มที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเมื่อเห็นว่านางได้สติแล้วสีหน้าของเขาก็พลันผ่อนคลายขึ้น
“ในเมื่อได้สติแล้วก็ดื่มยาที่ท่านหมอจัดมาให้เถิด ส่วนข้าจะออกไปส่งข่าวเข้าเมืองหลวงสักหน่อยว่าการเดินทางของพวกเราอาจจะต้องล่าช้าไปอีก เจ้าล้มป่วยเช่นนี้ควรจะพักรักษาตัวให้หายดีก่อนแล้วค่อยเดินทางต่อ” เมื่อเขาเอ่ยจบก็เดินออกจากห้องไป ซุนเจียอีจึงได้มีโอกาสมองรอบๆ อย่างสำรวจอีกครั้ง
“คุณหนูเจ้าคะบ่าวจะไปต้มยามาให้ท่านนะเจ้าคะ” เมื่อป้าเฝิงเอ่ยเช่นนี้เดิมทีนางคิดจะห้ามเอาไว้แต่เมื่อคิดได้ว่านางอยากอยู่ลำพังสักครู่จึงได้พยักหน้าให้ป้าเฝิง เมื่อป้าเฝิงเดินออกไปแล้วนางจึงได้สำรวจตนเองอย่างละเอียดอีกครั้ง
ซุนเจียอีค่อยๆ ไล่สายตาลงมาจ้องมองตนเองร่างกายนี้ยังไม่ได้เติบโตอย่างเต็มที่เสื้อผ้าที่นางสวมใส่อยู่ก็ล้วนเป็นเครื่องแต่งกายที่นางสวมใส่เป็นประจำในตอนที่อยู่บ้านในชนบทของสกุลซุน อาการปวดเมื่อยและครั่นเนื้อครั่นตัวรวมไปถึงสภาพร่างกายของนางในยามนี้กำลังบ่งบอกว่านางกำลังมีไข้แต่ไม่ใช่อาการของคนที่ได้รับพิษ ซุนเจียอียกข้อมือของตนเองขึ้นมาแล้วใช้ปลายนิ้วกลางและปลายนิ้วนางทาบทับไปที่จุดชีพจรของตนเอง
“ข้าแค่เพียงเป็นไข้หวัดธรรมดาเท่านั้น” นางเอ่ยออกมาแล้วก็พยายามทบทวนความทรงจำของตนเอง
นางเดินทางเข้าเมืองหลวงตอนอายุ 13 คนที่ไปรับนางคือเยว่ซื่ออันที่ไปรับการรักษาอาการป่วยเรื้อรังกับท่านลุงใหญ่ของนางที่บ้านสกุลซุนพอดี มารดาของเยว่ซื่ออันคือลูกพี่ลูกน้องจากจวนสกุลหานของมารดาของนาง ยามนี้มารดาของนางสิ้นชีพไปแล้วและบิดาของนางเองก็สิ้นชีพไปแล้วเช่นกัน นางจึงกลายเป็นลูกกำพร้าที่สกุลซุนต้องเลี้ยงดู
ซุนเจียอีถูกเลี้ยงดูอย่างเข้มงวดในบ้านสกุลซุน แน่นอนว่าเมื่อสิ้นบิดามารดาความเป็นอยู่ของนางย่อมจะย่ำแย่ลง โชคดีที่ท่านลุงใหญ่ของนางเป็นคนจิตใจดีนอกจากจะรับเลี้ยงดูนางแล้วยังช่วยสอนวิชาแพทย์ให้ น่าเสียดายที่ตอนที่นางยังเด็กเพราะความไร้เดียงสาของนางทำให้นางไม่รู้จักคำว่าเก็บงำประกาย การที่นางสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วจดจำสมุนไพรและคุณสมบัติของพวกมันได้ดีทำให้นางกลายเป็นลูกศิษย์ที่มีความโดดเด่นมากที่สุดของท่านลุงและกลายเป็นตัวน่ารังเกียจของบรรดาลูกพี่ลูกน้องที่ได้เรียนวิชาด้วยกัน ความเป็นอยู่ของนางจึงได้ย่ำแย่ลงเพียงเพราะความลำเอียงรักลูกและความตามใจลูกของป้าสะใภ้
ยามที่เยว่ซื่ออันมารักษาตัวมามาข้างกายของหานเสวี่ยหนิงผู้เป็นมารดาของเขาได้ติดตามเขามาด้วย เมื่อได้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของซุนเจียอีจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสารนาง ยามที่กลับไปเมืองหลวงจึงได้รายงานเรื่องของนางให้หานเสวี่ยหนิงผู้มีศักดิ์เป็นป้าต่างสกุลของนางทราบ หานเสวี่ยหนิงจึงได้ส่งจดหมายมาที่สกุลซุนขอตัวนางไปเลี้ยงดูที่สกุลเยว่ แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมสร้างความยินดีให้แก่ป้าสะใภ้ของนางเป็นอย่างมาก ตัวปัญหาเช่นนางเมื่อถูกส่งไปอยู่ในที่ที่ห่างไกลย่อมจะสามารถคุกคามลูกๆ ของป้าสะใภ้ได้น้อยลง
“คุณหนูยามาแล้วเจ้าค่ะ” ป้าเฝิงเดินเข้ามาภายในห้องพร้อมกับยาต้มที่กลิ่นขมลอยคละคลุ้งจนทั่ว ซุนเจียอียื่นมือไปรับถ้วยยามาดูแล้วก็พลันขมวดคิ้ว ยานี้มีตัวยาที่รุนแรงอยู่หลายตัวไม่เหมาะกับเด็กสาวเช่นนางเลยสักนิด แต่เมื่อคิดถึงว่ายามนี้นางกำลังต้องการยาที่แรงมากมากระตุ้นตนเองอยู่พอดีนางจึงได้ตัดสินใจกลืนยาชามนั้นจนหมดชาม
“เก่งมากเลยเจ้าค่ะคุณหนู” ป้าเฝิงเอ่ยพลางยื่นก้อนน้ำตาลก้อนเล็กๆ ให้แต่ซุนเจียอีกลับส่ายหน้าปฏิเสธ
“เช่นนั้นก็นอนพักสักหน่อยนะเจ้าคะ ได้เวลาอาหารเย็นเมื่อไหร่บ่าวจะปลุกเจ้าค่ะ” เมื่อป้าเฝิงเอ่ยเช่นนี้นางก็พยักหน้าแล้วจึงได้ขยับกายนอนลงไป
“คุณชายส่งคนมาแจ้งบ่าวแล้วว่าพวกเราจะพักอยู่ที่นี่อีกสักระยะ รอคุณหนูมีอาการดีขึ้นพวกเราจึงค่อยเดินทางเข้าเมืองหลวง” ป้าเฝิงเอ่ยพลางช่วยดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวนางให้
“คุณหนูอย่าหาว่าบ่าวปากมากเลยนะเจ้าคะ เมื่อวานตอนที่คุณหนูกระโดดลงน้ำไปช่วยคุณชายน้อยท่านนั้นบ่าวหัวใจจะวายให้ได้ ไม่ว่าอย่างไรคุณหนูก็เป็นสตรีอีกทั้งผู้ติดตามรอบกายของคุณชายน้อยผู้นั้นก็มีมากมายถึงเพียงนั้น ยังไม่ถึงคราวให้คุณหนูต้องทุ่มเทตนเองลงไปช่วยขึ้นมาเฉกเช่นเมื่อวานหรอกเจ้าค่ะ วันหน้าคุณหนูอย่าได้ทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ ถึงแม้ว่าคุณชายใหญ่เยว่จะไม่ได้เอ่ยออกมาแต่บ่าวก็จับสังเกตได้ว่าเขาไม่ชื่นชอบการกระทำของคุณหนู” คำพูดของป้าเฝิงทำให้มุมปากของซุนเจียอีพลันยกยิ้มขึ้นมาอย่างเย้ยหยันตนเอง
นางไม่ได้ตั้งใจจะช่วยคนหรอก แต่เป็นเพราะหลายวันมานี้นางสังเกตเห็นว่าขบวนคุ้มกันนั้นมีความเป็นมาที่ไม่ธรรมดาต่างหาก คุณชายน้อยผู้นั้นก็ดูสูงศักดิ์ไม่เหมือนชาวบ้านธรรมดาทั่วไป เพราะจะต้องเข้าเมืองหลวงซึ่งเป็นสถานที่ที่นางไม่คุ้นเคยการสร้างบุญคุณต่อผู้อื่นไว้ย่อมจะเป็นการดี พอได้โอกาสมีหรือที่นางจะไม่รีบลงมือ เสียดายก็แต่การกระทำในครั้งนี้ของนางนอกจากป้าเฝิงจะมองออกแล้ว เยว่ซื่ออันเองก็น่าจะมองออกด้วยเช่นกัน สายตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชาคู่นั้นจึงได้จับจ้องมองนางราวกับจะมองให้ทะลุไปจนถึงกระดูกเช่นเมื่อครู่นี้
ซุนเจียอีหลับตาลงพลางคิดในใจว่าเหตุใดนางจึงได้เผชิญกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้วเช่นนี้ ตัวนางสถานที่และผู้คนรอบกายกำลังชี้ให้เห็นว่ายามนี้นางได้ย้อนกลับมาตอนที่ตนเองอายุ 13 อีกครั้ง แต่เท่าที่นางจำได้ยามนี้นางควรจะเป็นร่างไร้วิญญาณที่ตำหนักเยี่ยนหนิงมิใช่หรือ นางได้ย้อนกลับมาจริงๆ หรือว่าเป็นแค่เพียงภาพฝันก่อนที่จะตายของนางกันแน่ซุนเจียอีก็ไม่อาจจะรู้ได้ แต่ถ้าหากได้ย้อนกลับมาจริงๆ นางจะทำอย่างไร
นางต่อสู้ดิ้นรนฝ่าฟัน อดทนต่อทุกเรื่องราวอดทนต่อทุกความเจ็บปวดในหัวใจ วางแผนการอย่างระมัดระวังทุกย่างก้าว แต่สุดท้ายนางก็ไม่เคยได้ลิ้มรสความสุขที่แท้จริง ยามนี้เมื่อนางได้หวนกลับคืนมาอีกครั้ง นางจะยังคงก้าวไปสู่หนทางเดิมอีกหรือไม่
‘ไม่แล้ว! ข้าผู้นี้จะไม่เป็นอีกแล้วฮองเฮา’ เสียงร่ำร้องในใจตะโกนก้องออกมาจากจิตใต้สำนึก ภาพการนองเลือด ภาพการถูกทรยศหักหลัง และสุดท้ายคือภาพที่นางสวมมงกุฎหงส์นั่งเป็นผู้สำเร็จราชการอย่างโดดเดี่ยว นางไม่เคยมีความสุขเลยสักครั้งดังนั้นครั้งนี้นางจึงตั้งใจเอาไว้แล้วว่านางจะไม่หวนเดินไปบนเส้นทางเดิมของตนเองอีก
