บทที่๕...งานวัด (๒)
สงสัยพรุ่งนี้คงต้องลองไปสวนยายจันทร์อีกรอบ
“อย่างนี้ก็หมายความว่ากำลังจะเลิกกันใช่ไหมครับ” ย้ำเพื่อความแน่ใจ
“เขาว่ามาอย่างนั้นค่ะ ป้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” เตชินเริ่มคิดหนัก ก่อนจะได้ถามอะไรมากกว่านั้นก็ได้ยินเสียงคุณปราณีเรียกให้ไปเก็บของ จึงได้ผละจากลูกชายเพียงคนเดียวของบ้านดลยุทธ์ ปล่อยให้ร่างสูงนึกหนักอกหนักใจเพียงลำพัง
ไม่รู้ว่าจะตัดสินใจเดินต่อไปทางไหนดี หากลุยจีบเต็มที่ก็กลัวบาปกรรมที่ไปทำลายครอบครัวคนอื่น แต่เหตุผลที่ทั้งสองกำลังจะเลิกรากันก็น่าสนใจ คิดไม่ตกจนกระทั่งตกลงใจกับตนเองว่าขอดูท่าทีทั้งสองก่อนแล้วกัน
จากที่คิดจะไม่ไปงานวัดกับอรนลินก็เปลี่ยนความคิดทันที เขาต้องไปสังเกตการณ์ว่าความสัมพันธ์ของสามีภรรยาคู่นี้เป็นอย่างไรกันแน่
ตั้งแต่กลับมาหญิงสาวก็ไม่ได้พัก เธอเตรียมทำแยมเพื่อส่งขายโรงแรมในวันพรุ่งนี้ทันที และแน่นอนว่าสามีที่หล่อนไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลือก็เต็มใจช่วยแม้จะถูกไล่หลายครั้งก็ตาม ปูรณ์ยังทำหน้าระรื่นไม่สะทกสะท้าน
จนอรนลินคร้านจะเอ่ยปาก จำต้องให้ชายหนุ่มอยู่ในครัวแล้วคอยถามเป็นเจ้าหนูจำไม เห็นอะไรก็สงสัยไปเสียหมด พอหล่อนไม่ตอบก็เปลี่ยนเรื่อง เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าเขาก็พูดเก่ง ไม่เหมือนชายเมื่อห้าปีที่แล้ว เอาแต่ยิ้มอย่างเดียวไม่ค่อยพูด
“พี่ขอชิมได้ไหม” หล่อนกำลังบรรจุแยมใส่ขวดโหลแก้วแต่ก็มีเสียงเข้มถามขึ้น ดวงตาคมจ้องมองแยมสีเหลืองเป็นประกาย ลอบกลืนน้ำลายเมื่อได้กลิ่นหอม ไม่ว่าอรนลินจะทำอะไรก็ดูน่ากินไปเสียหมด
“ไม่ค่ะ” ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
“นิดเดียวเอง” ยังคงต่อรองแต่ดูเหมือนว่าร่างบางจะไม่ยอมลงให้เลย จนเห็นเขาทำตาปริบจึงถอนหายใจเสียงดัง หันไปหยิบขนมปังแล้วทาแยมมะม่วงลงไปก่อนจะยื่นให้ปูรณ์ที่รับมากินด้วยความหิว พอได้ชิมแค่คำเดียวก็รีบยกนิ้วโป้งให้เธอ
ทำเอาแม่ครัวส่ายศีรษะพลางก้มหน้าก้มตาตักแยมใส่ขวดโหล พยายามซ่อนรอยยิ้มของตนเองไม่ให้อีกฝ่ายได้เห็น ว่ามีความสุขมากแค่ไหนยามอยู่ด้วยกันสองคน
หลังกินเสร็จชายหนุ่มก็ลุกไปเข้าห้องน้ำ ปล่อยเธอขะมักเขม้นในการตักแยมใส่ขวดเพียงลำพัง แต่แสงจากโทรศัพท์ที่สว่างเรียกความสนใจจนต้องละมือจากงาน ชะเง้อมองสามีก็ไม่เห็นวี่แววว่าเขาจะกลับมา ตัดสินใจคว้าเครื่องมือสื่อสารของอีกฝ่ายมาถือไว้ ค่อยเลื่อนกดรับ
“สวัสดีค่ะ” ชื่อที่โชว์หน้าจอมั่นใจว่าเป็นผู้หญิงแน่ แต่เรื่องที่จะคุยนั้นหล่อนสงสัยว่าเป็นเรื่องอะไร
‘นี่ใคร พี่ปูรณ์อยู่ไหนเรียกมารับสายหน่อย’ สิ่งแรกที่อรนลินรู้สึกหลังจากรับสายนี้คือไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ ตามมาด้วยความอยากรู้ว่าปลายสายคือใคร สนิทสนมกับปูรณ์มากแค่ไหนถึงออกคำสั่งโดยไม่สนใจว่าเธอคือใครด้วยซ้ำ
“พี่ปูรณ์เข้าห้องน้ำค่ะ มีอะไรฝากไว้ได้นะคะ” ประโยคนั้นทำเอาผู้หญิงที่ชื่อแพรวเกือบกรีดร้องด้วยความขัดใจ แต่ก็ข่มเสียงนิ่งแล้วเอ่ยถาม
‘เธอเป็นใคร’ หล่อนรอคำถามนี้แหละ
“ฉันชื่ออ้าย เป็นภรรยาของพี่ปูรณ์ค่ะ” รู้สึกว่าตัวยืดขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากจิ้มลิ้มยกยิ้มอย่างเหนือกว่ากับสถานะของตนเอง
“ถ้าไม่มีอะไรจะฝากก็แค่นี้นะคะ สวัสดีค่ะ” กดตัดสายโดยไม่คำนึงถึงมารยาทสักนิด หล่อนไม่ได้ใจดีกับผู้หญิงที่ทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของสามีของตนเองหรอก ร่างสูงเดินกลับมาในห้องครัวก่อนจะยิ้มให้อรนลินแต่ดูเหมือนเธอจะอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
“มีคนโทรมาหาพี่ปูรณ์ค่ะ อ้ายไม่รู้ว่าใครแต่ชื่อหน้าจอบอกว่าแพรว” คิ้วหนาขมวดเข้าหากันทันที หยิบโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจะเลี่ยงไปคุยข้างนอก มือที่กำลังตักแยมใส่ขวดหยุดชะงัก รู้สึกอารมณ์เสียโดยไม่ทราบสาเหตุ
ไม่หรอก ที่จริงสาเหตุก็พอจะรู้ว่าเกิดจากบุคคลที่สาม และสามีก็ทำตัวมีลับลมคมในกับหล่อนเหลือเกิน จนต้องถอนหายใจอย่างอึดอัด
อยากถามใจจะขาดว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร แต่ทิฐิในใจก็ทำให้ปิดปากเงียบ เขาไม่บอกเธอก็ไม่ถาม
งานวัดของหมู่บ้านจัดอย่างยิ่งใหญ่ มีโซนอาหารและโซนเครื่องเล่นแบ่งแยกชัดเจน เสียงเพลงเปิดอย่างอึกทึกครึกโครม มีเด็กวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานจนหญิงสาวมองตามด้วยรอยยิ้มหวานหยดจนชายที่มาด้วยมองไม่ละสายตา
อรนลินอยู่ในชุดเดรสสีหวานยาวเลยเข่าเล็กน้อย สะพายกระเป๋าสานและรองเท้าสานที่เข้ากัน ผมดัดลอนปล่อยยาวกลางหลัง แต่งหน้าเล็กน้อยพอให้มีสีสัน หล่อนสวยจนชายที่เดินผ่านต้องเหลียวกลับมามอง
ทำเอาปูรณ์ไม่ชอบใจจนต้องเดินเคียงข้างภรรยา ทิ้งเกษตรอำเภอให้เดินตามหลัง ทำได้เพียงมองคนที่แอบรักจากทางด้านหลังเท่านั้น น่าเศร้าเหลือเกินที่เขามาช้าเกินไป
“กินอะไรก่อนไหม” หนุ่มนักดนตรีหันมาถามอรนลิน ทว่าหล่อนกลับเหลียวไปมองเตชินเสียอย่างนั้น เมินคำถามของคนเป็นสามีราวไม่ได้ยิน
“คุณเต้กินข้าวหรือยังคะ ไปหาอะไรกินก่อนไหม” ปูรณ์รู้สึกชาไปหมดทั้งกายราวโดนน้ำแข็งสาดใส่ตัว มองคนตัวเล็กกว่าที่เดินช้าลงเพื่อรอคนข้างหลังให้ก้าวมาใกล้กว่าเดิมจนกลายเป็นเคียงข้างกันทั้งสามคน โดยมีหญิงสาวอยู่ตรงกลาง
“ยังเลยครับ งั้นเราไปกินขนมจีนดีไหม” คนฟังตาลุกวาวพลางพยักหน้า หล่อนกำลังนึกว่าอยากกินขนมจีนอยู่พอดี
“ยำขนมจีนก็น่าอร่อยนะคะ” คิดแล้วก็เอ่ยขึ้น เพียงพูดชื่อก็น้ำลายสอเสียแล้ว
“ผมอยากกินพอดีเลย ถ้างั้นต้องสั่งยำขนมจีนมากินด้วยกันนะครับ” เสียงพูดคุยราวตัดขาดเขาออกจากการสนทนา ใบหน้าคมเรียบเฉยจนกลายเป็นบูดบึ้ง หลายวันมานี้หญิงสาวแทบไม่คุยกับเขาเลยสักคำ
หรือหากมีเรื่องให้ต้องพูดคุยก็ถามคำตอบคำ อย่างตอนไปส่งแยมที่โรงแรมในตัวเมืองหล่อนก็นอนหลับไปตลอดทาง ไม่มีการโวยวายหรือให้เปลี่ยนคนขับเป็นลุงน้อยแต่อย่างใด จำยอมเล่นบทตามที่ชายหนุ่มต้องการ
แต่มันก็แลกมากับบรรยากาศที่แสนอึดอัด ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้เธอโกรธ อยากถามให้รู้เรื่องแต่เหมือนว่าหล่อนจะไม่ยอมบอกอะไรเลย
ปูรณ์เลือกที่จะเดินช้าลง ทำให้ตอนนี้เตชินและอรนลินเดินเคียงข้างกันพร้อมพูดคุยเรื่องอาหารอย่างออกรส มือหนากำเข้าหากันแน่น โกรธจนอยากไปกระชากภรรยาออกจากชายอื่น แต่เพราะอยู่ในที่สาธารณะจึงไม่อาจทำตามใจตนเองได้
มาถึงร้านอาหารทั้งสองก็สั่งเหมือนกัน มีเพียงหนุ่มเมืองกรุงที่เลือกกินขนมจีนน้ำยากะทิเพราะไม่เผ็ด อยากลองกินเผ็ดบ้างแต่คาดว่าคงไม่รอด
“ตอนเย็นจะมีหมอลำมาแสดงที่เวทีหลักด้วยนะครับ” ระหว่างรับประทานอาหารเกษตรอำเภอก็ชวนหล่อนคุย
“คณะไหนคะ อ้ายไม่ค่อยรู้จักหมอลำแต่อยากลองไปดูสักครั้ง” หมอลำไม่ใช่แนวเพลงที่เธอชอบสักเท่าไหร่ แต่ก็อยากลองไปดูสักครั้ง ตอนที่คุณยายยังมีชีวิตท่านห้ามหลานสาวไม่ให้ไปดูหมอลำ เพราะชอบตีกันจนคนอื่นโดนลูกหลง ท่านกลัวว่าหลานสุดที่รักจะได้รับบาดเจ็บ
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมไม่เคยดู” หัวเราะแห้งเล่นเอาหล่อนถึงกับขำในท่าทีของเตชิน หากให้นิยามความสัมพันธ์ของเราคงเหมาะกับการเป็นเพื่อนมากกว่าแฟน
หล่อนก็ยังยืนยันคำเดิมว่าคิดกับอีกฝ่ายเป็นเพียงเพื่อน และมั่นใจว่าคงไม่เลื่อนสถานะไปมากกว่านี้ แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการเลื่อนขั้นมากแค่ไหนก็ตาม ทว่าหลังจากที่เขารู้ว่าเธอมีเจ้าของเป็นตัวเป็นตนก็ไม่ค่อยมาหาที่บ้าน ตีตัวออกห่างอย่างเห็นได้ชัด จะมาก็เมื่อมีธุระ
แต่แปลกที่วันนี้กลับขอมาเที่ยวงานวัดด้วย
“คุณปูรณ์เคยดูหมอลำไหมครับ” เห็นเขานั่งเงียบจึงได้ถาม ใบหน้าคมเงยจากถ้วยขนมจีนแล้วตอบเสียงเรียบราวไม่อยากพูดคุย
“ไม่เคย” ตอบเสียงห้วน ไม่อยากสนทนาเพราะพยายามสงบจิตใจตนเองไม่ให้อาละวาด ใครจะทนได้ที่ภรรยาไปจี๋จ๋ากับชายอื่นต่อหน้าต่อตา
เขาคนหนึ่งล่ะที่ทนไม่ได้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน
“อ้อ” เตชินถึงกับพูดไม่ออก อรนลินหันมองนักดนตรีมากฝีมือพลางทำหน้าไม่พอใจกับคำพูดของเขา แต่ตอนนี้มีหรือที่ปูรณ์จะสนใจ ไม่ลากหล่อนกลับบ้านแล้วเคลียร์กันให้รู้เรื่องก็ดีแค่ไหนแล้ว
พอรับประทานอาหารเรียบร้อยพวกเขาก็เดินไปยังซุ้มเกมต่างๆ มื้อเย็นได้ปูรณ์เป็นเจ้ามือเพราะอายุเยอะที่สุดในบรรดาสามคน เขาก็เพิ่งรู้ว่าเกษตรอำเภอคนนั้นเป็นรุ่นน้อง เห็นหน้าแล้วนึกว่ารุ่นเดียวกันเสียอีก
พวกเขาไปเล่นสอยดาว ซึ่งจ่ายกันคนละหนึ่งร้อย แล้วไปหยิบไม้ไผ่ที่มีตะขออยู่ตรงปลายแล้วเกี่ยวรูปดาวที่ห้อยอยู่บนต้นไม้ ค่อยนำไปให้คนที่เฝ้าซุ้มของรางวัล ในส่วนของรางวัลที่เรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ คือของที่คนในหมู่บ้านนำมาร่วมทำบุญด้วย เป็นตะกร้า หมอน ผ้าไหม เสื้อ หรือของใช้นานาชนิดเป็นรางวัลใหญ่ทั้งนั้น
ส่วนรางวัลเล็กจะเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ผงซักฟอก สบู่ ฯลฯ หลายคนเสียเงินเป็นร้อยแต่กลับได้ของรางวัลเล็กกลับบ้าน หรือคนดวงดีเสียแค่ยี่สิบบาทแต่ได้พัดลมซะอย่างนั้น
“คุณอ้ายได้เสื้อฮาวายเหรอครับ สวยดี” เดินออกมาจากซุ้มต่างก็ได้ของรางวัลใหญ่กันทั้งนั้น อรนลินได้เสื้อฮาวายผ้านุ่มและของรางวัลเล็กๆ น้อยๆ
“คุณเต้ได้เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินพอดีเลยนะคะไว้ใส่ไปทำงาน” สองคนนั้นได้ของรางวัลเหมือนกันราวกับนัด ผิดกับปูรณ์ที่มองของในมืออย่างไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไหร่
“คุณปูรณ์ใส่โสร่งเป็นใช่ไหมครับ” อรนลินมองของที่สามีถือไว้ก่อนจะอมยิ้ม นึกภาพเขาใส่โสร่งไม่ออก แต่คิดว่าใส่อะไรอีกฝ่ายก็ดูหล่อทั้งนั้น ความจริงอยู่บนใบหน้า ไม่อย่างนั้นสาวน้อยใหญ่คงไม่ติดพันหรอก
โดยเฉพาะคนที่ชื่อแพรว
และหล่อนเพิ่งนึกออกว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นฝาแฝดของแฟนเก่าปูรณ์!
