บทที่๔...เสนอตัว (๒)
ใบหน้ายิ้มแย้มของหญิงสาวเปลี่ยนเป็นราบเรียบ ก่อนที่ร่างสูงจะขอตัวกลับบ้านเพราะเริ่มรู้สึกตึงที่ขาแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นพี่กลับก่อนนะ” ไม่เคยรู้สึกว่าการบอกลามันยากขนาดนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนหล่อนคงดูแลเอาอกเอาใจเขาอย่างดี
“ยกทุเรียนเข้าไปข้างในให้ก่อนสิคะ” ไม่แน่ใจว่านั่นคือการรั้งหรือเปล่า แต่ไม่มีร่องรอยของความโหยหาอยู่ในดวงตากลมโตคู่นั้นเลย จนปูรณ์ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง เพราะเวลาที่เขาทิ้งเธอไปมันไม่ยากที่อรนลินจะตัดใจจากตนแล้ว
จำยอมหยิบทุเรียนที่ตนไม่ชอบเข้าไปไว้ในครัวให้หล่อน หญิงสาวปลีกตัวออกไปข้างนอกปล่อยให้คนเจ็บเดินกะเผลกอยู่อย่างนั้นจนผลไม้ในตะกร้าว่างเปล่า เขาถอนหายใจพลางก้มมองเข่าของตนเองที่เริ่มเจ็บมากกว่าเดิม พอเอามือไปแตะก็มีสีหน้าเหยเกด้วยความแสบ
ถอนหายใจพลางหันหลังกลับจะเดินออกทางประตูครัว ทว่าได้ยินเสียงเจ้าของบ้านดังขึ้นเสียก่อน จึงเหลียวกลับมามอง
“เดี๋ยวค่ะ” หล่อนเดินเข้ามาใกล้พลางจับจูงร่างหนาให้ไปยังห้องนั่งเล่น กดบ่าแข็งแกร่งให้นั่งลงแล้วตนก็มานั่งข้างๆ เปิดกระปุกยาพลางหันมามองชายหนุ่ม
“ถกกางเกงขึ้นสิคะ เจ็บไม่ใช่เหรอ” ปูรณ์ที่เอาแต่มองเสี้ยวหน้าหวานรีบทำตามพลางอมยิ้มอย่างมีความสุข คิดว่าเธอจะไม่ไยดีเสียแล้ว
พอเห็นแผลถลอกหล่อนก็รู้สึกแสบขึ้นมาทันที แผลไม่ได้ลึกมากแต่เพราะที่ตรงนั้นมีเศษหินเยอะทำให้เป็นรอยค่อนข้างกว้าง เลือดแห้งจนต้องใช้น้ำเกลือล้างออก แสบเล็กน้อยแต่ก็ไม่ส่งเสียร้อง
“เจ็บทำไมไม่บอก พูดอยู่ได้ว่าไม่เจ็บ พี่เป็นหุ่นยนต์หรือไง” ต่อว่าไม่จริงจังนัก ก้มมองที่เข่าของเขาแล้วอดพูดไม่ได้จริงๆ ร่างสูงได้ยินก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ไม่เห็นเจ็บ อ้าก แสบนะอ้าย” หล่อนกำลังใช้แอลกอฮอล์ชุบสำลีเช็ดรอบแผล พอได้ยินว่าเขาบอกไม่เจ็บจึงได้แตะที่แผลเล็กน้อย ทำให้อาการของชายหนุ่มเป็นอย่างที่เห็น ร้องออกมาแล้วบอกว่าแสบทันทีไม่มีปิดบัง
“อ้าว ไหนบอกไม่เจ็บคะ” ทำหน้าราวใสซื่อแต่เขารู้ว่าหล่อนต้องการแกล้ง
“ก็ไม่เจ็บ แต่มันแสบ เล่นทาแอลกอฮอล์ไม่ให้แสบได้ไง” เถียงกลับอย่างรวดเร็ว ร่างบางยักไหล่ไม่รู้ไม่ชี้ ทำแผลให้เขาต่อจนเสร็จสิ้นแล้วปิดพลาสเตอร์สีใส ระหว่างนั้นดวงตาคมก็จ้องมองภรรยาไม่คลาดสายตาแม้แต่วินาทีเดียว
หล่อนน่ารักน่าใคร่ขึ้นเยอะเหลือเกิน จากเด็กกะโปโลวันนั้นเป็นสาวหน้าตาสวยสะดุดตาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น จนน่าหงุดหงิดที่ชายทั้งหลายในหมู่บ้านจะแวะเวียนมาขายขนมจีบ ทั้งที่รู้เต็มอกว่าหญิงงามคนนี้มีสามีเป็นตัวเป็นตนแล้ว
ถึงหล่อนจะขอหย่ากับเขาวันละสามเวลาก็เถอะ อย่างไรก็ไม่ยอมหย่าเด็ดขาด จะมองว่าเห็นแก่ตัวก็ช่าง
คนอย่างปูรณ์หน้าด้านอยู่แล้ว
“เสร็จแล้วค่ะ คราวหลังถ้าทำไม่เป็นก็ไม่ต้องเสนอตัวก็ได้” ไม่แน่ใจว่านั่นคือคำด่าหรือเปล่า บางทีอาจเพราะหล่อนกำลังเป็นห่วงเขาจนร่างสูงเผลอยิ้มออกมา
“ที่พูดไม่ได้ห่วงนะคะ แต่ไม่อยากต้องมารับผิดชอบชีวิตพี่ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นเหมือนวันนี้อีก” ย้ำชัดเจนแล้วเก็บอุปกรณ์ทำแผลใส่กล่อง หยิบเศษกระดาษทิ้งลงถังขยะแล้วลุกยืนเพื่อนำกล่องปฐมพยาบาลไปไว้ในตู้ตามเดิม
“แต่พี่อยากให้อ้ายรับผิดชอบชีวิตพี่นะ” ร่างบางหยุดชะงัก จากที่หันหลังค่อยกลับมามองเขาด้วยแววตาราบเรียบ
“พี่ทิ้งโอกาสนั้นไปตั้งแต่ห้าปีก่อนแล้วค่ะ” ปูรณ์ไม่สามารถพูดอะไรต่อได้เลยเพราะมันคือความจริง เขาทิ้งหล่อนให้อยู่คนเดียวนานเกินไป จนมาเสียใจทีหลังยามหล่อนเอ่ยปากขอหย่า
ชายหนุ่มเดินกลับบ้านของตนเอง ปล่อยให้อรนลินทำขนมอบแห้งเพียงลำพังเพื่อจะได้ไม่ฟุ้งซ่านเกินไป แค่นี้หล่อนก็แทบไม่เป็นอันทำอะไรแล้ว นอนก็ไม่หลับได้ยินแต่เสียงเพลงดังมาจากบ้านข้างเคียง บางวันก็เป็นคีย์บอร์ด บางวันกีต้าร์ อย่างเมื่อคืนได้ยินเสียงเป่าแซคโซโฟน
แต่ละเพลงเศร้าทั้งนั้นจนเธอปล่อยน้ำตาให้ไหลเปียกหมอน เพลงดังของนักร้องต่างประเทศหลายคนปูรณ์ก็แต่งให้ เชื่อว่าเขาได้ค่าลิขสิทธิ์หลายเหรียญ แถมยังทำดนตรีให้อีกด้วย วงการนี้เงินค่อนข้างสะพัดยิ่งเป็นต่างประเทศ พอมาแลกเงินไทยคงกลายเป็นเศรษฐี
หล่อนยินดีกับเขาเสมอไม่ว่าอีกฝ่ายจะเลือกทางไหน แต่น่าเสียดายที่ตนเองไม่ได้อยู่ในแผนการดำเนินชีวิตของสามีเลย อนาคตที่เขาวางเอาไว้ไม่ได้มีเธออยู่ในนั้น
แล้วจะไม่ให้เสียใจได้อย่างไร
ไร่ยายจันทร์ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นสวนยายจันทร์ เมื่อก่อนตากับยายที่บุกเบิกเห็นบ้านข้างเคียงใช้คำว่าไร่ก็ใช้ตามเขาโดยไม่ได้รู้ความหมาย หากจะให้จำกัดความนั้น ไร่ใช้พื้นที่ค่อนข้างกว้าง แต่ดูจากขนาดสวนของเธอแล้วมีขอบเขตที่แน่ชัด ประเภทของคำทั้งสองก็ต่างกัน ไร่ใช้ปลูกธัญพืช พืชน้ำมัน พืชน้ำตาล ส่วนคำว่าสวนใช้กับผลไม้และไม้ดอกอย่างที่ปลูกทุกวันนี้
ป้ายด้านหน้าถูกเปลี่ยนจากไร่ยายจันทร์เป็นสวนยายจันทร์ ถึงคนภายนอกจะมองว่ามันไม่ต่างกัน ทว่าอรนลินอยากใช้ภาษาให้ถูกต้อง และเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ แม้เป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม หล่อนให้เพื่อนทำโลโก้สำหรับผลิตภัณฑ์แยมและผลไม้อบกรอบเรียบร้อยแล้ว
ส่งขายตามร้านขนมในตัวเมือง และส่งโรงแรมขนาดกลางประจำจังหวัดสองถึงสามที่ ได้ผลตอบรับค่อนข้างดีพอสมควร เธอแบ่งเงินให้ลุงป้าและชัดเจนที่ช่วยเหลือมาตลอด กำไรอาจจะไม่ได้มากแต่ก็เป็นสัญญาณในเรื่องดีๆ
เหมือนอย่างวันนี้ที่เธอต้องนำผลไม้อบแห้งไปส่งให้ร้านของเพื่อนสนิทในตัวเมือง นัดแนะกับลุงเรียบร้อยแล้วตั้งแต่เมื่อวาน เธอสวมเสื้อยืดตัวโคร่งยัดปลายเสื้อเข้าไปในกางเกงยีนส์สีซีด สวมเสื้อเชิ้ตลายสก็อตทับ มัดผมหางม้าค่อยสำรวจตนเองในกระจก
เหมือนย้อนวัยเด็กกว่าอายุจนอดหัวเราะไม่ได้ มองนิ้วนางข้างซ้ายที่ไม่มีแหวนก็ละสายตาอย่างรวดเร็ว ไม่อยากคิดเรื่องนี้ให้รกสมอง รีบเรียกกำลังใจจากความโหวงเหวง หยิบกระเป๋าสะพายข้างสีเข้มค่อยออกจากห้องนอนของตนเอง
รับประทานอาหารเช่าเรียบร้อยแล้วจึงเดินไปยังโรงรถที่อยู่ข้างบ้าน เสียดายที่ไม่ได้หัดขับรถเกียร์กระปุก ขับเป็นแค่เกียร์ออโต้แล้วตอนนี้รถคันนั้นก็อยู่เมืองหลวง ทั้งบ้านเหลือเพียงกระบะคันเก่าที่ใช้มากว่าสามสิบปี จึงต้องพึ่งลุงน้อยให้ขับไปส่งในตัวเมือง
“ลุงน้อยคะ อ้ายพร้อม...พี่ปูรณ์มาทำอะไรที่นี่คะ” ชะงักทันทีเมื่อเงยหน้าขึ้นแล้วพบสามีของตนเองแทนที่จะเป็นคุณลุงคนสนิท คิ้วสวยขมวดเข้าหากัน ไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ที่เขาเข้ามามีบทบาทในชีวิตเธอเหลือเกินในช่วงนี้
เช้าก็เห็น เย็นก็มากินข้าวด้วย ถึงเธอจะไล่เท่าไหร่ก็ไม่ยอมไปสักที บอกว่าเก๋งกับวาดไม่ทำอะไรให้กินอยู่นั่นแหละ แถมทำลอยหน้าลอยตาไม่สะท้านอะไรอีก เริ่มหมั่นไส้จนอยากทุบเข้าที่แผงอกหนาหลายๆ รอบ
“ลุงน้อยไม่ว่าง พี่เลยมาทำหน้าที่แทน” ชูกุญแจรถให้หล่อนดูว่าหน้าที่สารถีถูกเปลี่ยนจากคนสูงวัยเป็นหนุ่มรูปหล่อพ่อรวยแล้ว
เธอเม้มปากแน่นด้วยความขัดใจ ถ้าทำได้ก็อยากคว้ากุญแจนั้นมาถือไว้แล้วขับรถไปเอง แต่หล่อนดันขับรถคันนี้ไม่เป็น ได้แต่กำมือแน่นไม่ให้เผลอตะโกนใส่คนตรงหน้า ยิ่งเห็นว่าเขาทำเหมือนว่าอยู่เหนือกว่าก็ยิ่งอึดอัด
“อ้ายขับคันนี้ไม่เป็นใช่ไหม” ถามดักไว้ก่อน ทั้งที่เขาก็รู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่าเธอขับไม่เป็น ปากอยากจะบอกว่าขับเป็นเหลือเกินแต่ความจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น
มีเวลาว่างเมื่อไหร่เธอจะลองขับ มันคงไม่เหนือบ่ากว่าแรงหรอก เรื่องแค่นี้มีหรือที่คนอย่างอรนลินจะทำไม่ได้
“จะไปก็รีบไปสิคะ สายแล้ว” สุดท้ายก็จำยอมให้เขาเป็นคนขับรถ เดินไปเปิดประตูข้างคนขับแล้วขึ้นไปนั่งอย่างรวดเร็ว ขณะที่ร่างสูงร้องไชโยอยู่ในใจ ก่อนเดินอ้อมไปนั่งประจำตำแหน่งคนขับรถ เคลื่อนออกจากตัวบ้านอย่างรวดเร็ว เหลือบมองภรรยาซึ่งกอดอกพลางทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ข้างกาย
“ไม่เมื่อยคอเหรอ” ขับไปได้สักพักก็หันมาถาม เธอถอนหายใจก่อนจะเหลียวมองเขา
“ขับไปเถอะค่ะ ไม่ต้องสนใจอ้ายหรอก” บอกเสียงเข้ม เหมือนว่าตอนนี้ปูรณ์จะชินกับอรนลินเวอร์ชั่นใหม่แล้ว จึงอมยิ้มอย่างมีความสุขเวลาได้หยอกล้อให้เธอแสดงท่าทีโกรธ แต่มันกลับดูน่ารักเสียเหลือเกิน
ทว่าเขาก็อยากได้ภรรยาแสนหวานคนเก่ากลับมามากกว่า
“พี่สนใจอ้ายตลอดนะ” หยอดวันละนิด แต่เหมือนว่าหญิงสาวจะไม่อินกับเขาสักเท่าไหร่
“ขับรถอย่างเดียวเถอะค่ะ ถือว่าขอร้องล่ะ” ปิดการสนทนาอย่างรวดเร็ว เธอหันมองนอกหน้าต่างจนกระทั่งถึงตัวอำเภอเมืองประจำจังหวัด
หล่อนบอกทางไปร้านแล้วลงไปทักทายเพื่อนที่รู้จักกัน ใจดีให้ฝากขายของที่ร้านโดยคิดค่าเช่าไม่แพง ตอนแรกว่าจะให้ขายฟรีทว่าอรนลินไม่ยอม กว่าจะตกลงราคากันได้เพราะฝ่ายเจ้าของร้านก็ไม่อยากเอาเงินเพื่อน
“อ้าว พี่ปูรณ์” เห็นร่างสูงเดินตามหลังมาก็ทักทาย จำสามีของอรนลินได้เนื่องจากไปงานแต่งแสนใหญ่โตที่เมืองหลวง แต่เห็นว่าฝ่ายชายไปทำงานต่างประเทศเสียนาน ไม่คิดว่าจะกลับมาเมืองไทย
“สวัสดีครับ” ค้อมศีรษะให้เล็กน้อยแล้วยกของไปวางหลังร้าน
“นี่ พี่เขากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไปอยู่เมืองนอกนานหล่อขึ้นมากเลยอ่ะ” รีบขยับเข้ามาหาเพื่อนแล้วกระซิบกระซาบ อรนลินไม่ได้บอกใครว่าชีวิตคู่ไม่ได้ราบเรียบ ทุกคนจึงเข้าใจว่าเธอภักดีและรอสามีหนุ่มกลับมา
มันคงเป็นอย่างนั้นถ้าเขาไม่ขาดการติดต่อถึงห้าปี หล่อนรอโดยไม่มีความหวังสักนิด พอกลับมาก็ไม่รู้อะไรสักอย่างว่าเหตุผลของการหายไปคืออะไร
แล้วอย่างนี้จะให้กลับไปคืนดีด้วยเหรอ
“อือ เกือบลืมไปเลย ฉันทำขนมมาให้เธอด้วยนะ เป็นสูตรใหม่ลองกินดู” ยื่นถุงขนมให้เพื่อนเพื่อเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากพูดเรื่องส่วนตัวมากเกินไป
ฝ่ายนั้นก็ถูกชักจูงโดยง่าย รีบถามไถ่เกี่ยวกับขนมทันที หล่อนเปิดคาเฟ่อยู่ในตัวจังหวัด จัดร้านเหมาะสำหรับการถ่ายรูปในยุคนี้ที่เหมือนคนส่วนมากจะเน้นอวดภาพลงโซเชียลมากกว่าการดื่มด่ำกับอาหาร
“ขนมที่เธอเอามาขายหมดเกลี้ยงตั้งแต่เช้า ถ้าว่างก็ทำเค้กมาให้หน่อยสิ ฉันจะซื้อเอง” อ้อนเสียงหวาน เธอเริ่มทำร้านแห่งนี้เพราะชื่นชอบในการดื่มกาแฟ แต่พอมาลองทำเองมันไม่ง่ายเลย วันแรกที่มีโปรโมชั่นคนก็เยอะ แต่หลังๆ เริ่มสั่งแค่เครื่องดื่มแก้วเดียวแล้วนั่งทั้งวัน ขนมก็ขายไม่ออก
มีของอรนลินนั่นแหละที่หมดเกลี้ยงตั้งแต่เช้า แถมมีคนมาถามอีกต่างหากว่าจะมาเมื่อไหร่ แทบอยากดึงตัวเพื่อนมาร่วมหุ้นร้านด้วยกัน แต่อีกฝ่ายตอบปฏิเสธตลอด
“ได้ เดี๋ยวฉันจะทำมาให้” สองสาวพูดคุยกันขณะที่ชายหนุ่มวางของเรียบร้อยค่อยออกมาหาภรรยา พวกเขาขึ้นรถแล้วกลับบ้านด้วยกัน
จากใบหน้ายิ้มแย้มก็กลับมาเป็นเรียบเฉย ปูรณ์เหลือบมองคนตัวเล็กเป็นระยะ ก่อนจะรับโทรศัพท์ที่ปลายสายโทรมาจากต่างประเทศ ไม่ค่อยอยากรับเท่าไหร่แต่ก็จำต้องเลื่อนกดรับ
“ฮัลโหล” คนที่ทำเป็นไม่สนใจแต่หูผึ่งอยู่ตลอดเวลา หล่อนอยากรู้ว่าใครโทรมาหาเขา
‘พี่ปูรณ์กลับไทยเหรอคะ ไม่เห็นบอกแพรวเลย’ เสียงเล็กลอดออกมาจนอรนลินได้ยิน เผลอกำมือแน่นที่ปลายสายเป็นผู้หญิง แถมทำเสียงเง้างอนราวเป็นแฟนสาวซะอย่างนั้น
“ใช่ งานทางนั้นเสร็จแล้วพี่เลยกลับ” น้ำเสียงเขาไม่มีความรู้สึกใดเจือปนในนั้น จนอรนลินเริ่มสับสนว่าทั้งสองมีสถานะอะไร อยากถามใจจะขาดแต่ก็กลัวเสียฟอร์ม
‘น่าจะบอกแพรวก่อน ไว้ถ้าแพรวเสร็จงานทางนี้จะกลับไทยนะคะ’ กดตัดสายจนคนที่เผลอมองต้องรีบหันออกนอกหน้าต่าง ทำราวกับไม่อยากรับรู้เรื่องของเขาทั้งที่ความจริงอยากรู้ใจแทบขาดว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร
กอดอกแล้วกำมือแน่น กำลังจะอ้าปากถามว่าหนุ่มนักดนตรีคุยกับใคร แต่ก็ยั้งตนเองเอาไว้ทัน ในเมื่อกำลังจะเลิกกันแล้วเธอต้องสนใจด้วยเหรอว่าอีกฝ่ายจะคุยกับใคร
“ถ้าจะหย่าก็บอกนะคะ อ้ายพร้อมเสมอ” พูดขึ้นไม่มีปี่มีขลุ่ย
“พี่ต้องบอกอ้ายอีกกี่ครั้งว่าพี่ไม่หย่า ถ้าอยากหย่าก็ตัดมือพี่ไปเลยแล้วกัน” บอกด้วยเสียงเข้มอย่างโมโห ทำให้ตลอดการเดินทางกลับบ้านไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาสักคำ และรถก็เต็มไปด้วยบรรยากาศที่น่าอึดอัด
จนกระทั่งถึงสวนยายจันทร์ และมีแขกมารออยู่ก่อนแล้ว
“คุณเต้มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” เป็นเกษตรอำเภอหนุ่มที่กลับมาจากเมืองหลวงพร้อมของฝากมากมายนั่นเอง...
