ฟื้นคืน
นางลืมตาฟื้นขึ้นมา พบว่าเป็นจวนของตนที่เคยอยู่ตั้งแต่เด็ก ไม่ใช่วังหลวงที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย นางจำได้ว่านางนั้นตายไปแล้ว แสดงว่าคำขอก่อนตายนางนั้นเป็นจริงหรือ? ในเมื่อนางนี้ย้อนกลับมา นางจะไม่ขอเป็นผู้ที่ถูกเลือกอีกต่อไป นางจะเป็นคนเลือกทุกอย่าง ในชีวิตของตนเอง
หลังจากนางฟื้นขึ้นมาแล้ว สาวใช้ข้างกายรีบเข้ามาถามถึงอาการป่วยของนาง
“คุณหนูท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”
โจวเจียวหรงเห็นสาวใช้ที่ยังมีชีวิตอยู่ นางรู้สึกดีใจอย่างมากที่ ซูย่ายังคงมีชีวิตอยู่
นางน้ำตาคลอขณะดึงสาวใช้เข้ามาสวมกอด
“เจ้ายังมีชีวิตอยู่ซูย่า”
สาวใช้ตกใจอย่างมาก ที่คุณหนูของฟื้นแล้วทำตัวแปลก ๆ กับนาง
“คุณหนูท่านเป็นไข้ จนสมองเบลอไปแล้วหรือเจ้าคะ?”
นางจำได้ว่าสาวใช้ของนางพยายามช่วยนางจากการถูกฝังทั้งเป็น แต่ท้ายที่สุดนางก็ไม่รอดชีวิตเช่นกัน สาวใช้ของนางได้สิ้นใจตายไปแล้ว ในขณะที่พยายามช่วยเหลือนาง
นางมองหน้าสาวใช้ที่กำลังงุนงงกับพฤติกรรมของตน นางปาดน้ำตาที่หางตาแล้วกล่าว
“นี่คือวันที่เท่าไหร่ ปีไหนแล้ว”
ซูย่าตอบอย่างนอบน้อม แม้ว่าจะยังงุนงงกับท่าทางของคุณหนูอยู่
“วันนี้วันที่สิบห้า เดือนสาม รัชศกเจี้ยนหนิงเจ้าค่ะ”
โจวเจียวหรงหลังจากทราบแล้วว่าเป็นช่วงเวลาไหน นางจึงรู้ว่านางฟื้นมาในตอนอายุสิบห้าปี ตอนนี้น่าจะเป็นตอนที่นางป่วยหนักหลังจากตกน้ำ เนื่องจากตอนนั้นนางเดินไปส่งสินค้าด้วยตนเอง และบังเอิญเจอพายุเข้าพอดีจึงพลาดลื่นล้มตกน้ำไป
ตอนนี้นางยังไม่ได้เจอเขาองค์ชายสาม เจิ้งหาน ฮ่องเต้ทรราชย์ในตอนนี้ ซึ่งเขายังเป็นเพียงองค์ชายอยู่ ขั้นตอนแรกนางจะต้องไม่พบเจอกับเขาอีกในตอนที่เขามาเยือนเมืองหลิวสุ่ย เพื่อมาสร้างขวัญกำลังใจแก่ชาวบ้านในตอนน้ำท่วมในอีกสองเดือนที่จะถึงนี้
ซูย่าเห็นคุณหนูมีท่าทางแปลก ๆ พลางครุ่นคิดอะไรก็ไม่รู้ นางจึงถามด้วยความห่วงใยขึ้น
“คุณหนูเจ้าคะ ตอนนี้อาการท่านเป็นอย่างไรบ้าง ให้ข้าตามหมอมาดูอาการหรือไม่เจ้าคะ?”
โจวเจียวหรงขณะที่คิดหาวิธีรับมืออยู่จึงเงยหน้ามองสาวใช้ พลางตอบว่า
“ตอนนี้ข้าไม่เป็นไรแล้ว แต่เริ่มหิวแล้วมากกว่า”
“นั่นนะสิเจ้าคะ คุณหนูสลบไปตั้งหนึ่งวันหนึ่งคืนคงจะหิวแย่ เดี๋ยวบ่าวจะรีบนำอาหารมาให้คุณหนู รอสักครู่เจ้าค่ะ”
ซูย่ากล่าวอย่างกระตือรือร้น พลางคิดว่าคุณหนูคงจะหิวมากจึงรีบไปนำอาหารมาให้คุณหนู พร้อมกับแจ้งข่าวดีกับทุกคน
“อืม เจ้าไปเถอะ”
เมื่อทุกคนได้ข่าวโจวเจียวหรงฟื้นแล้ว ท่านพ่อของนางจึงรีบเข้ามาถามไถ่อาการ เสียงฝีเท้ารีบเร่งดังใกล้เข้ามา ประตูห้องเปิดออกอย่างเร่งรีบ พบว่าเป็นชายวัยกลางคนเข้ามา ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
“หรงเอ๋อร์! ลูกเป็นอย่างไรบ้าง?” น้ำเสียงของโจวกงซุ่นหรือก็คือท่านพ่อของโจวเจียวหรงนั้นอบอุ่น ทว่าเต็มไปด้วยความร้อนรน มือของเขาค่อย ๆ ประคองมือของนางขึ้นมาด้วยความระมัดระวังราวกับกลัวจะทำให้ลูกสาวเจ็บปวด
เจียวหรงมองใบหน้าของท่านพ่อ ใบหน้าที่เคยมีริ้วรอยแห่งความเหนื่อยล้าจากการรับภาระงานหนัก แต่แฝงด้วยความอาทรลึกซึ้ง นางรู้สึกถึงความอบอุ่นที่เคยได้รับมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นางน้ำตาคลอในดวงตา ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา
“ข้าดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ…”
โจวกงซุ่นพยักหน้ารับด้วยความโล่งใจ แม้หัวใจยังเต็มไปด้วยความห่วงใย แต่สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นทันที พลางนั่งลงข้างเตียงของนาง
“พักรักษาตัวให้ดีก่อนเถิดหรงเอ๋อร์ เรื่องงานอย่าเพิ่งกังวล พ่อจะจัดการทุกอย่างแทนเจ้าเอง เมื่อเจ้าหายดีแล้ว ค่อยกลับมาช่วยงานตามเดิม”
เจียวหรงพยักหน้ารับเบา ๆ แต่ความอบอุ่นในน้ำเสียงของท่านพ่อกลับทำให้นางน้ำตาคลอขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่เกินจะกลั้นไว้ นางหลุบตาลง ปิดบังหยาดน้ำตาที่ไหลเอ่อ
ในชาติก่อน นางเลือกเส้นทางผิด เลือกที่จะทิ้งครอบครัวอันอบอุ่นเพื่อตามหาความฝันที่ไร้ค่า หลงไปกับอำนาจและคำหวานหลอกลวง จนปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในความทุกข์และความอับอาย
เมื่อคิดถึงความผิดพลาดนั้น ใจของนางบีบแน่น ความอาทรของท่านพ่อในเวลานี้ยิ่งทำให้นางรู้สึกถึงความสูญเสียและสิ่งที่เคยละเลยไป
"ข้าไม่เป็นไรมาแล้วเจ้าค่ะ พักผ่อนอีกหน่อยก็คงหายดี"
นางเอ่ยเสียงแผ่วพร้อมเช็ดน้ำตา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาใหม่ พลันมีประกายของความมุ่งมั่นในดวงตา
เมื่อโจวอี้หงพี่ชายของเจียวหรงก้าวเข้ามาในห้อง เขาเห็นภาพน้องสาวนั่งอยู่บนเตียง น้ำตายังคลอเบ้า มือเล็ก ๆ ยังคงกุมมือของท่านพ่อไว้แน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนแอที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ท่านพ่อเหลือบสายตามองเขา แววตาฉายความผิดหวังและตำหนิ
“เจ้าดูไว้! หากเจ้าใส่ใจการงานเสียบ้าง ไม่ทำตัวเหลวไหล เสียจนต้องให้น้องทำงานหนัก นางก็คงไม่ล้มป่วยเช่นนี้!”
โจวกงซุ่นตำหนิลูกชายเสียงเข้ม จนโจวอี้หงชะงักไป หันมองน้องสาวที่นั่งฟังด้วยสีหน้าซีดเซียว โจวอี้หงได้แต่ก้มหน้ารับคำ ไม่กล้าโต้แย้งใด ๆ พลันรู้สึกถึงความผิดที่ก่อขึ้น
โจวเจียวหรงเห็นพี่ชายถูกตำหนิ นางจึงยิ้มบาง ๆ ให้กำลังใจ พลางพูดเสียงเบา
“ท่านพ่อ อย่าตำหนิพี่ใหญ่เลยเจ้าค่ะ เป็นข้าที่พลาดลื่นล้มเอง” นางเอ่ยหวังให้บรรยากาศคลายความตึงเครียดลง
โจวอี้หงยืนนิ่งอยู่ในห้อง ราวกับกำลังจมอยู่ในห้วงความคิด ความทรงจำในอดีตชาติแล่นผ่านเข้ามาอย่างชัดเจน ภาพน้องสาวผู้เข้มแข็งทะเยอทะยานตั้งแต่เยาว์วัยกลับมาหลอกหลอน ภาระที่หนักอึ้งนั้นควรเป็นของเขา แต่โจวเจียวหรงกลับเป็นผู้แบกรับทุกอย่างแทน จนสุดท้ายนางก็พาตัวเองไปสู่จุดจบอันเลวร้าย
ในเวลานี้ เขาเพิ่งเข้าใจถึงสิ่งที่น้องสาวต้องเผชิญ ความรู้สึกผิดถาโถมลงในใจอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง โจวอี้หงจึงขยับเข้าไปใกล้เตียง พลางเอ่ยออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ
“ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าต้องรับภาระอีกแล้ว ข้าจะตั้งใจทำงาน…เพื่อเจ้าจะได้ไม่ต้องเหนื่อยเช่นนั้นอีก”
เจียวหรงพยักหน้ารับคำพูดของโจวอี้หง แม้หัวใจจะอบอุ่นขึ้นบ้างที่เห็นเขาเปลี่ยนไป แต่ความมุ่งมั่นที่ซ่อนอยู่ในใจของนางก็ยิ่งแน่วแน่ขึ้น นางไม่อาจให้ครอบครัวของตนต้องประสบชะตากรรมเลวร้ายเช่นที่เคยเกิดขึ้นอีก
“เจ้าพูดให้มันจริงเถอะ!” โจวกงซุ่นไม่อยากจะเชื่อนักว่าลูกชายจะพูดเป็นงานเป็นการขึ้นมา
“ท่านพ่อ ข้าจะไม่ทำตัวเหลวไหลอีกแล้วขอรับ นับจากนี้ข้าจะเริ่มเข้ามาช่วยงานท่านแทนหรงเอ๋อร์เอง”
ในชาติใหม่นี้ โจวอี้หงจะไม่ให้น้องสาวของเขาต้องเข้าไปในวังวนของการแก่งแย่งอำนาจอีกแล้ว เขาจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องน้องสาวผู้เป็นที่รัก ไม่ยอมให้ชะตากรรมอันเลวร้ายย้อนกลับมาเล่นซ้ำ
โจวกงซุ่นไม่อยากจะเชื่อคำกล่าวของลูกชายเลยจริง ๆ เขาได้แต่หวังว่าลูกชายจะสืบทอดกิจการแทนเขามากกว่า
“อืม ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้เจ้าก็มาเริ่มงานเลยแล้วกัน”
“ขอรับท่านพ่อ” โจวอี้หงไม่ปฏิเสธที่จะเริ่มต้นเรียนรู้งานทั้งหมด
โจวเจียวหรงนางไม่คิดเช่นกันว่าพี่ชายที่อยู่ ๆ เอาแต่สนใจเรื่องชกต่อยหาเรื่องคนอื่นไปทั่วจะเริ่มนึกถึงเรื่องการทำงานขึ้นมา นางพลันรู้สึกยินดีที่พี่ชายเริ่มจะคิดได้
“ดีมากเจ้าค่ะ พี่ใหญ่”