บทที่ 2
"เจ้ามาหลบอีกแล้วหรือ เหตุใดถึงได้เจ็บตัวอยู่เรื่อยเลย" จ้าวเหยียนหยิบผ้าเช็ดหน้าของนางออกมา แล้วจับใบหน้าของเด็กหนุ่มเพื่อเช็ดคราบสกปรกออก
"เจ้าหาข้าเจอได้อย่างไร" ครั้งนี้เขามิได้ปฏิเสธนางและยอมให้นางเช็ดหน้าแต่โดยดี
"ข้าเพียงผ่านมาเท่านั้น" จ้าวเหยียนเงยหน้ามองเขาด้วยดวงตาที่กลมโต
"เจ้าเป็นคุณหนูตระกูลใด"
"ข้าจ้าวเหยียน บุตรสาวเสนาบดีกรมคลัง แล้วเจ้าเล่า" นางนั่งลงข้างเด็กชาย และหยิบขนมที่นางพกมาด้วยลงให้เขากิน
"ข้า ฉีหนิงห่าว"
"เช่นนั้น ท่านก็ ท่านก็ เป็นองค์ชายใช่หรือไม่" จ้าวเหยียนลุกพรวดขึ้นและทำความเคารพหนิงห่าวทันที
"หากข้าเป็นองค์ชาย เจ้ายังจะเป็นสหายของข้าหรือไม่" หนิงห่าวจ้องมองนางอย่างคาดหวัง
"ท่านเป็นถึงองค์ชายแล้วปล่อยให้ตนเองโดนรังแกได้อย่างไร" จ้าวเหยียนเมื่อเห็นรอยช้ำบนใบหน้าของหนิงห่าวก็เท้าสะเอวเอ่ยถามอย่างโมโห
"ข้าสู้พวกเขามิได้" เขาก้มหน้าลงเพื่อข่มอารมณ์
"ท่านก็ต้องทำให้ตนเองแข็งแกร่งมิเช่นนั้น หากข้าเป็นสหายของท่าน ท่านจะปกป้องข้าได้อย่างไร" หนิงห่าวเงยหน้าขึ้นมองจ้าวเหยียนก็เห็นใบหน้าของนางโมโหจนแดงก่ำ
เพียงคำพูดของนางในวันนั้น หนิงห่าวก็เริ่มขอเสด็จพ่อของเขาเพื่อฝึกวรยุทธ์ เพื่อวันหนึ่งเขาจะได้แข็งแกร่งจนสามารถปกป้องนางที่เป็นสหายเพียงหนึ่งเดียวของตนได้
จ้าวเหยียนเมื่อตื่นขึ้นก็พบว่านางฝันไปอีกแล้ว และครั้งนี้ต่างจากเดิมที่นางจำชื่อของเขาได้
"ฉีหนิงห่าว" นางพึมพำชื่อของเขาเบาๆก่อนจะลุกขึ้นเพื่อไปเตรียมตัวเข้าเวรเช่นเดิม
เสียงโทรศัพท์ของจ้าวเหยียนดังขึ้นเมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏเธอก็รีบรับอย่างดีใจ
"คุณแม่ โทรหาหนูแต่เช้ามีอะไรหรือเปล่าคะ"
"อาเหยียน วันหยุดนี้ลูกจะกลับบ้านหรือเปล่าจ๊ะ"
"คุณแม่หนูคงไม่ได้กลับค่ะ เพื่อนฝากเวรให้หนูอยู่แทน"
"เอาไว้ว่างก็กลับบ้านมาหาพ่อกับแม่บ้างนะลูก อย่าลืมพักผ่อนให้มากหน่อย"
เมื่อคุณแม่ของเธอว่างสายไปแล้วจ้าวเหยียนก็กลับไปทำงานของนางอย่างมีความสุข เพียงได้ยินเสียงของแม่และความห่วงใยที่ท่านส่งให้เธอก็เหมือนได้ชาร์จแบตมีแรงกลับมาทำงานอีกครั้ง
"เหยียนเหยียน ข้ามีของให้เจ้า" หนิงห่าวที่เติบโตจนถึงวัยสิบเจ็ดหนาวส่งของในมือเขาให้นาง
"เจ้าให้ข้าหรือ" นางมองหยกพกในมือแล้วเงยหน้าขึ้นมองอย่างสงสัย
"ข้าต้องไปฝึกที่ค่ายทหาร มิอาจปลีกตัวมาหาเจ้าได้เช่นเดิม เก็บไว้ให้ดี" เขาหยิบหยกพกที่มือของนางแล้วนำมาผูกที่เอวของนางอย่างอ่อนโยน
"ข้าทำเองได้ มิใช่เด็กเช่นเดิมเสียหน่อย" นางก้มหน้าลงอย่างเขินอาย ยามนี้นางอายุได้สิบสองหนาวแล้ว แต่เขาก็ยังดูแลนางเหมือนตอนที่นางพบเขาเมื่อยามแปดหนาว
"หากมีใครมารังแกเจ้า เจ้าต้องรีบส่งข่าวบอกข้าทันที เข้าใจหรือไม่" หนิงห่าวจ้องหน้านางอย่างจริงจัง เมื่อเขารู้ว่าเสด็จพ่อจะส่งเขาเข้าไปใช้ชีวิตที่ค่ายทหารเขาจึงเป็นกังวลเรื่องของนาง
"ข้าเข้าใจแล้ว ท่านรักษาตัวด้วย" จ้าวเหยียนโบกมือลาหนิงห่าว และมองส่งเขาอย่างอาลัยอาวรณ์
จ้าวเหยียนเมื่อตื่นขึ้นมาก็รู้สึกวูบโหวงในอกอย่างประหลาด เหมือนนางไม่อยากจะแยกจากจากบุรุษผู้นั้น
จ้าวเหยียนเมื่อกลับถึงห้องของตนก็พบว่าหว่านหว่านนางกลับบ้านของนาง ทำให้คืนนี้นางต้องนอนเพียงลำพัง
"คุณหนูจ้าว ท่านจะเข้าร่วมงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนข้าได้หรือไม่" เซี่ยซูมี่ เอ่ยถามนางขึ้น
"ข้าต้องไปแน่นอนเจ้าค่ะ" จ้าวเหยียนรับปากซูมี่ ถึงทั้งคู่จะมิค่อยลงรอยกันแต่จะให้ปฏิเสธตรงๆก็คงจะไม่ดี
จ้าวเหยียนที่ใกล้ถึงวัยปักปิ่นความงามของนางก็แทบจะทำให้บุรุษทั่วเมืองหลวงต่างอยากจะแต่งนางเข้าจวนแต่เพราะมีองค์ชายห้า ฉีหนิงห่าว ที่ตามเที่ยวไปเที่ยวมาที่จวนจ้าวอยู่จึงไม่มีจวนใดกล้าจะส่งแม่สื่อมาทาบทาม
เซี่ยซูมี่นางพึงใจในตัวของฉีหนิงห่าว จนทำให้นางแสดงตัวเป็นปรปักษ์กับจ้าวเหยียนอยู่เสมอ ฉีหนิงห่าวที่รู้เรื่องว่าจ้าวเหยียนจะต้องไปงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนตระกูลเซี่ยก็เอ่ยสำทับนางอยู่หลายครั้งให้นางระวังตัว เพราะอาจจะเกิดเรื่องกับนางได้
