ตอนที่ 3 ขอทำหน้าที่
ขอทำหน้าที่
จังหวะที่ชนาวิชญ์ลากกำลังวรากรออกมาจากห้องพักฟื้นของสุทธิดานั้นเอง สายตาคมของวรากรก็มองเห็นชายหนุ่มสองคน เดินสวนทางผ่านหน้าเขาไป มุ่งตรงเข้าไปข้างในห้องที่พึ่งเขาถูกลากออกมาพอดี
“ไอ้วิชญ์! มึงจะลากกูออกมาทำไมวะ” ทันทีที่เดินออกมาจากห้องถึงทางบันไดหนีไฟ วรากรก็ถามขึ้นด้วยความไม่พอใจทันที ที่จู่ ๆ ชนาวิชญ์ลากเขาออกมาจากห้อง
“มึงช่วยใจเย็น ๆ ก่อนได้ไหมไอ้กร ควบคุมอารมณ์ของตัวเองหน่อย กูรู้ว่ามึงกำลังจะพูดอะไร” ชนาวิชญ์ตวาดเสียงเข้มดุใส่ เพราะเพื่อนเริ่มจะโวยวายควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่อยู่
เขารู้ดีว่าอาการเป็นหวงลูกในฐานะคนเป็นพ่อนั่นเป็นเช่นไร เพราะตัวเองก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน หวงลูกชายแทบไม่อยากให้ใครเข้าใกล้ แถมวรากรยังได้ลูกสาวอีก ก็คงต้องหวงเป็นธรรมดา
“แต่ไอ้นั้นมัน...”
“สองคนนั้นมันก็เพื่อนกู แล้วมึงกับไอ้เวย์ก็เพื่อนกู พวกมึงต่างก็เป็นเพื่อนที่กูรักและหวังดีทั้งนั้น” ชนาวิชญ์ย้ำกับเขาถึงสถานะของความเป็นเพื่อนกัน ว่าเขาไม่ได้เข้าข้างหรือโอนเอนไปทางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลย ถึงแม้ว่ากับอีกฝั่งนี้เขาจะรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กเพราะอยู่หมู่บ้านเดียวกันก็ตาม
“แต่มันกำลังจะ...”
“กูรู้ว่ามึงหวงลูก” ชนาวิชญ์พูดสวนขึ้นมาก่อน เพราะเขารู้ดีว่าตอนนี้วรากรกำลังคิดเช่นไร มีทั้งดีใจและกำลังสับสนเพราะสถานะที่ยังไม่ชัดเจนกับแม่ของลูก
“กูก็ต้องหวงลูกกูอยู่แล้ว แต่ไอ้หมอนั่นมันจะมาแย่งตำแหน่งพ่อไปจากกู มึงก็เห็นไอ้วิชญ์”
“กูเห็นอยู่ แล้วกูก็รู้ด้วยว่าไอ้โกมันชอบธิดา แต่สถานะของความเป็นพ่อลูกกัน ไม่มีใครมาแย่งตำแหน่งมึงไปได้หรอกไอ้กร” ชนาวิชญ์จึงบอกความจริงอีกเรื่องไปกับวรากร เพราะรู้เห็นมาตลอดว่าเพื่อนสมัยเด็กของเขารู้สึกเช่นไรกับสุทธิดา
“มึงรู้ แล้วทำไมมึงต้องให้มันเข้าใกล้ธิดาด้วย หรือว่ามึงเห็นมันดีกว่ากู”
“มึงมีเหตุผลหน่อยไอ้กร เป็นพ่อคนแล้วนะ กูไม่ได้เห็นใครดีกว่าใครทั้งนั้น ตอนนี้ธิดาถือว่าเป็นคนของกูมึงอย่าลืมสิ แต่กูก็ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของธิดาด้วย ธิดาจะทำอะไรคบกับใครกูกับปลาก็ได้แค่ให้คำแนะนำกับปรึกษาเท่านั้น ส่วนเรื่องลูกของมึง ยังไงตอนนี้มึงคือพ่ออยู่แล้ว แต่จะมีสิทธิ์มากน้อยแค่ไหนมันก็ขึ้นอยู่กับแม่ของเขา ใจเย็นแล้วค่อยหาทางออกร่วมกันไม่ดีกว่าเหรอ” ชนาวิชญ์พยายามพูดอย่างมีเหตุผล เพราะตอนนี้ตัวเองถือว่าเป็นคนกลาง
“แต่กูเย็นไม่ได้”
“กูเข้าใจว่ามึงหวงลูก แต่ตอนนี้กูอยากให้มึงมีสติ รอให้ธิดาออกจากโรงพยาบาลก่อน แล้วค่อยไปตกลงกันว่าจะเอายังไงต่อ”
“กูก็จะรับผิดชอบไง”
“มึงต้องรอคุยกับธิดาเอาเอง ว่าเขาจะเอายังไง จะยอมรับข้อเสนอจากมึงไหม”
“มึงต้องการแค่จะรับผิดชอบลูก หรือว่าทั้งสองคนว่ะไอ้กร” ศุภวัฒน์ถามขึ้นบ้าง หลังจากที่ยืนฟังเพื่อนทั้งสองอย่างเงียบ ๆ อยู่นาน
“ลูกกูกูต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว แต่กับธิดากู...” เรื่องลูกสาวที่พึ่งเกิดมาเขาตอบออกไปแบบไม่ต้องคิดและตอบอย่างมั่นใจ แต่กับแม่ของลูกแน่นอนว่าเขาต้องมีความลังเลอยู่แล้ว เพราะกำลังสับสนกับความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้
“เรื่องลูก กูว่าธิดาคงไม่ใจดำที่จะกีดกันขนาดนั้นหรอกไม่เช่นนั้นคงไม่ให้มึงรับรองบุตรและใช้นามสกุลมึงหรอก แต่กับตัวของธิดาเองกูอยากให้มึงกลับไปคิดทบทวนตัวเองดู ว่ารู้สึกกับเขาแบบไหนกันแน่ ไม่ใช่ว่ามึงจะห่วงก้างไปทั่วแบบนี้ ทั้งที่ตัวเองก็มีคนนอนกกอยู่” ชนาวิชญ์เสริมขึ้นมาอีกครั้ง เพราะรู้ดีว่าสุทธิดาเป็นคนแบบไหน แต่เรื่องหัวใจของเธอ เขาไม่อาจรู้ได้หรอก และก็ไม่ลืมที่จะบอกกับวรากรออกไปด้วยว่าควรจะทำเช่นไรต่อจากนี้
“กูจะรีบจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยให้เร็วที่สุด” วรากรพูดอย่างมั่นใจ เพราะตอนนี้ตัวเองมีเป้าหมายและหน้าที่สำคัญต้องรับผิดชอบอยู่
คนที่อยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอดไม่เคยรู้จักคำว่าครอบครัวแบบเขาถึงแม้ฐานะจะดีแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยเข้าใจกับคำว่าครอบครัวที่อบอุ่น พอได้เป็นพ่อคน กลับทำให้เขามีความรู้สึกและทัศนคติเปลี่ยนไปทันทีความอบอุ่นภายในใจก่อเกิดขึ้นมาจนไม่อยากแยกจากกันเลย
“รีบ ๆ ไปจัดการ และเคลียร์ตัวเองให้เรียบร้อย ถ้ามึงรู้สึกกับแม่ของลูก ก็แค่เดินหน้าเริ่มต้นจีบไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย” ชนาวิชญ์พูดขึ้นมาอีก เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาอะไรตามมาทีหลัง เพราะเขาเองก็พึ่งจะเข้าใจความรักที่แท้จริงเมื่อไม่นานมานี้เอง เกือบจะเสียคนที่เขารักและรักเขาไปเพราะเรื่องราวในอดีตที่ยังค้างคาไม่ชัดเจน
“ที่ไอ้วิชญ์พูดก็ถูกของมัน มึงลองใช้เวลาอยู่กับตัวเองดู ลองคิดทบทวนในสิ่งที่ตัวเองต้องการเอาตามความรู้สึกของมึงเองนะ ไม่ใช่ตามความต้องการของใคร” ศุภวัฒน์ได้แต่ช่วยพูด เพราะเขาเองก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องพวกนี้ พูดอะไรมากก็ไม่ได้ ได้แต่เออออตามน้ำไปกับชนาวิชญ์
วรากรที่เริ่มระงับอารมณ์กรุ่นโกรธควบคุมสติได้ ต้องขบคิดตามในสิ่งที่เพื่อนทั้งสองคนบอก ก่อนจะเอ่ยขอบคุณเพื่อนทั้งสองกลับจากใจจริง ที่คอยเตือนสติเขา
“ขอบคุณพวกมึงทั้งสองคนมากนะเว้ย”
“แล้วตอนนี้จะกลับกรุงเทพฯหรือจะอยู่ที่นี่ต่อ” ชนาวิชญ์จึงเปลี่ยนเรื่อง
“ขออยู่จนกว่าธิดากับลูกจะออกจากโรงพยาบาลแล้วกัน เพราะกลับไปตอนนี้ก็ยังไม่มีงาน” เขาบอกเพื่อนไปตามความตั้งใจของตัวเอง เพราะอยากทำหน้าที่พ่อตรงนี้ให้ดีก่อน
“จะพักที่บ้านกูหรือจะเช่าโรงแรมพักต่อ” ชนาวิชญ์ได้แต่ถามไถ่ในฐานะที่เขาเป็นเจ้าบ้านและเจ้าถิ่นแห่งนี้
“ตอนนี้ขออยู่เฝ้าลูกที่นี่ไปก่อน ถ้าออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่ก็คงต้องรบกวนมึงแล้วกัน” วรากรยืนยันที่จะอยู่ต่อ
เมื่อเพื่อนอีกคนยืนกรานว่าจะอยู่ต่อ ชนาวิชญ์จึงหันไปถามทางศุภวัฒน์บ้าง เพื่อนที่เดินทางมาไกล เพื่อนร่วมงานแต่งของเขา ทั้งที่งานรัดตัว
“แล้วมึงละไอ้เวย์ จะเอายังไง”
“กูมีงานที่ต้องทำนะเว้ย เย็นนี้ก็จะกลับเลย” ศุภวัฒน์ตอบไปตรง เพราะเขามีงานรัดตัวจริง ๆ ในฐานะที่พึ่งได้รับตำแหน่งผู้บริหารมาหมาด ๆ และอะไร ๆ ก็ยังไม่ค่อยลงตัว
“อ้อ...กูลืมไปว่ามึงเป็นท่านประธานหนุ่มไฟแรง แถมกำลังฮอทเป็นที่ต้องการของสาว ๆ อีกด้วย” ชนาวิชญ์ได้แต่เอ่ยแซวเพื่อนนักธุรกิจของเขา
“ไอ้วิชญ์! แล้วเพื่อนมึงคนนี้นิสัยเป็นยังไงว่ะ” วรากรถามชนาวิชญ์ขึ้นมาอีกครั้ง ในสิ่งที่ตัวเองยังคาใจ
“คนไหน?” ชนาวิชญ์เลิกคิ้วใส่อย่างนึกหมั่นไส้ อยากจะแกล้งให้เพื่อนโมโหขึ้นมาอีก ก็พอจะรู้อยู่หรอกว่าวรากรนั่นหมายถึงเพื่อนคนไหนของเขา
“ก็ไอ้คนที่ชอบทำหน้ากวนตีน คนที่กำลังจีบธิดา”
“สำหรับกูนะ มันก็เป็นผู้ชายที่ดีคนหนึ่งเลยแหล่ะ และที่แน่ ๆ มันก็ไม่ทำตัวเจ้าชู้เหมือนมึงด้วย” ชนาวิชญ์พูดแล้วพลางกับเหลือบมองหน้าของวรากรด้วย ก่อนที่จะเดินออกไปจากตรงนี้
“เจองานหยาบแล้วไหมมึงไอ้กร แต่กูก็เอาใจช่วยน่ะ สู้ ๆ นะเว้ยเพื่อน” ศุภวัฒน์ได้แต่กระซิบบอกวรากร ก่อนที่จะหันหลังเดินตามชนาวิชญ์ไปเช่นกัน
