บทที่ 9 ข้าคือซื่อจื่อหลี่จื้อคัง
ส่วนจื่อหนิงนั้นเดินทางจากเมืองหลันเถียน โดยการจ้างรถม้าคันขนาดกลางที่ใช้นอนพักได้ยามกลางคืน นางพาซื่อจื่อน้อยนั่งรถม้าผ่านมาสามสี่วันแล้ว ในที่สุดก็มองเห็นกำแพงเมืองหลงเฉิงเสียที
เมื่อผ่านการตรวจป้ายประจำตัวจากทหาร จื่อหนิงก็ให้รถม้าไปส่งนางที่จวนของหลี่อ๋อง คราแรกคนบังคับรถม้าจะไม่ยอมไป นางจำเป็นต้องเพิ่มเงินอีกเล็กน้อย เพื่อให้คนงานคนนี้มีกำลังใจในการทำงาน ซึ่งมีซื่อจื่อน้อยคอยบอกทางเสร็จสรรพ
จนกระทั่งรถม้ามาหยุดอยู่ด้านหน้าจวนขนาดใหญ่ ซึ่งมีบ่าวไพร่มายืนเฝ้าระวังเวรยาม ที่มองมายังรถม้าอย่างสนใจ ว่าด้านในจะใช่สตรีหน้าด้านคนใดอีกหรือไม่ พอเห็นว่าเป็นสตรีรูปร่างซูบผอมเล็กน้อย กลับกลายเป็นความแปลกใจว่านางมาทำอันใดที่นี่
“แม่นางเจ้ามาทำอันใดที่จวนแห่งนี้หรือ”
หลังจากจื่อหนิงลงมายืนด้านล่างได้อย่างมั่นคงแล้ว จึงเงยหน้าตอบคำถามของบ่าวที่ยืนรอคำตอบอยู่ “อ้อ พี่ชายท่านนี้ข้ามีเรื่องสำคัญมาก และมันเกี่ยวกับซื่อจื่อของจวนอ๋อง ไม่ทราบว่าท่านอ๋องอยู่ด้านในจวนหรือไม่ รบกวนพี่ชายไปรายงานให้ทีเถิด”
“เจ้าว่าอะไรนะ ที่มาจวนของท่านอ๋องเพราะเรื่องของซื่อจื่องั้นหรือ นี่แม่นางเจ้าอย่าคิดแผนการตื้น ๆ มันใช้ไม่ได้ผลเจ้าเลิกคิดเถิด”
“อ้าว มิใช่ว่าท่านอ๋องกำลังตามหาซื่อจื่ออยู่หรอกรึ ตกลงเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ ข้าอุตส่าห์พาคนมาส่งให้แท้ ๆ แล้วคนพวกนี้พูดถึงอันใดกันแผนกงแผนการ ใครมันจะกล้ามีแผนการกับท่านอ๋องได้เล่า” จื่อหนิงยังไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของบ่าวคนนี้
“เฮ้อ แม่นางเจ้ารีบกลับไปเถิดข้าขอเตือนด้วยความหวังดี หากท่านอ๋องรู้เข้าเจ้าไม่มีทางมีชีวิตรอดแน่”
“เอ่อ...”
จื่อหนิงยิ่งงุนงงไปกันใหญ่เพราะนางมาด้วยความหวังดี กลับถูกมองว่ามีแผนการร้ายไปเสียได้ แต่เป็นเสียงของเด็กชายที่อยู่ในรถม้า ร้องเรียกชื่อของจื่อหนิงเอาไว้ และค่อย ๆ เดินออกมาปรากฏตัว
“พี่จื่อหนิงช่วยรับข้าลงไปทีขอรับ”
จื่อหนิงได้ยินเสียงซื่อจื่อน้อยเรียกหาตนเอง ก็ผละจากบ่าวคนนั้นมาอุ้มซื่อจื่อน้อยลงไป และพาไปหาบ่าวคนที่นางพูดด้วยก่อนหน้านี้ “มา ฮึบ นี่พี่ชายเรื่องสำคัญที่ข้าพูดถึงก็คือเด็กคนนี้ พวกท่านมองดูให้ชัด ๆ ว่าเขาคือใคร”
บ่าวอีกคนเมื่อเห็นสหายไล่คนไม่สำเร็จ มิหนำซ้ำยังมีเด็กมาเพิ่มอีกคนหนึ่ง จึงเดินมาพร้อมกับสีหน้าไม่ชอบใจนัก และกล่าวตำหนิจื่อหนิงอย่างรุนแรง “นี่แม่นางพอแผนการทำไม่สำเร็จ เจ้าถึงกับใช้เด็กเป็นเครื่องมือเพื่อจะเข้าจวนอ๋องให้ได้เชียวรึ”
“นั่นน่ะสิ ข้าอุตส่าห์เตือนด้วยความหวังดี แต่ยังทำตัวดื้อด้านไม่ยอมไปเสียที เหอะ”
“หา! อะไรกัน นี่พวกท่านจำซื่อจื่อของจวนอ๋องไม่ได้รึ ถึงเสื้อผ้าที่ใส่อยู่จะเลอะไปบ้างก็เถอะ แต่ใบหน้าและผิวพรรณก็ควรจะแยกแยะได้บ้างนะ” จื่อหนิงกำลังคิดว่าบ่าวสองคนนี้ คงไม่ใช่บ่าวคนเก่าแก่ของจวนแน่ ๆ
ซื่อจื่อน้อยที่ถูกเลี้ยงดูจากหลี่อ๋อง เขาได้อุปนิสัยมาจากบิดาบุญธรรม จนเรียกได้ว่าเป็นการลอกเลียนแบบก็ว่าได้ ถึงจะเป็นเด็กแต่น้ำเสียงที่ใช้ กลับแตกต่างจากยามที่พูดกับจื่อหนิงอย่างมาก
“บังอาจ! พวกเจ้าเป็นแค่บ่าวไพร่คอยดูแลจวน ยามมีแขกมาเยือนไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ไม่ควรใช้วาจาดูหมิ่นเช่นนี้ ถ้าพวกเจ้าอยากรู้ว่าสิ่งที่พี่สาวคนนี้พูดเป็นความจริงหรือไม่ จงไปตามพ่อบ้านออกมาอย่าลืมบอกด้วยว่า ข้าหลี่จื้อคังกำลังรออยู่ที่หน้าจวน”
“เฮ้ เจ้าเด็กคนนี้ไม่มีใครสั่งสะ...”
“หยุด! อย่าได้ใช้นิ้วมือสกปรกของเจ้าชี้มาทางนี้เด็ดขาด ตอนนี้คนที่จะพิสูจน์ได้มีเพียงพ่อบ้านเท่านั้น หากพ่อบ้านของจวนก็ไม่รู้จักเด็กคนนี้เช่นพวกเจ้า ข้าจะคุกเข่าขอโทษโขกศีรษะสามครั้ง แล้วจะพาเด็กคนนี้จากไปทันทีว่าอย่างไร” จื่อหนิงก้าวไปยืนบังซื่อจื่อน้อยเอาไว้ เพราะบ่าวไม่รู้ความกำลังจะชี้หน้าด่าทอเด็กน้อย
“หึ ย่อมได้ข้าจะรอดูเจ้าคุกเข่าโขกศีรษะสามครั้ง”
‘จื่อหนิงข้าสัมผัสได้ว่าหลี่อ๋องยังอยู่ที่จวน มิได้ออกไปที่ค่ายทหารเช่นทุกวัน’
‘อืม คงเป็นเพราะเรื่องของซื่อจื่อกระมัง เหลือเด็กน้อยคนนี้เป็นญาติสนิทเพียงคนเดียว และยังไม่มีข่าวคราวจากผู้ใด จะทำให้หลี่อ๋องเคร่งเครียดเรื่องหลานชายก็ไม่แปลกนัก’
ซื่อจื่อน้อยไม่คิดเลยว่าแค่ตนเองถูกจับตัวไปไม่กี่วัน บิดาถึงกับละเลยการรับบ่าวไพร่เข้ามาทำงานได้ “พี่จื่อหนิงข้าขอโทษด้วยนะขอรับ ที่ท่านต้องมาพบเจอบ่าวไพร่นิสัยไม่ดีเช่นนี้ ไว้ข้าจะบอกเสด็จพ่อให้ลงโทษพวกเขาอย่างหนัก”
จื่อหนิงรู้สึกสบายใจอย่างมากที่เด็กน้อยรู้จักกล่าวคำขอโทษ แม้ตนเองจะมิใช่ผู้กระทำผิดก็ตาม “ไม่เป็นไรหรอกเสี่ยวอวี้ บางทีพวกเขาอาจไม่รู้เรื่องจริง ๆ ก็ได้ แล้วเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องขอโทษพี่สาวด้วย”
ระหว่างที่รอพ่อบ้านของจวนอ๋อง จื่อหนิงพาซื่อจื่อน้อยมานั่งทานขนมที่นางทำไว้ บริเวณข้างบันไดด้านข้างประตูใหญ่ โดยไม่สนใจสายของบ่าวอีกคนที่คอยจับตามองพวกตน แม้จะได้ชื่อว่าขนมแต่มันคือขนมที่มีประโยชน์ เรียกว่าขนมงาทอดไส้ฟักทอง มีความหวานจากฟักทองไม่จำเป็นต้องเติมน้ำตาล
ทั้งสองคนนั่งทานขนมอย่างเอร็ดอร่อย และพูดคุยถึงเรื่องที่อยากทำหลังจากนี้ จนทำให้จื่อหนิงได้รู้ว่าซื่อจื่อน้อยมีความฝันอยากเป็นอะไรในอนาคต
ทางด้านพ่อบ้านห้าวชงที่มีบ่าวด้านหน้าประตู วิ่งมาบอกกับตนว่ามีสตรีพาเด็กชายคนหนึ่ง มารออยู่ที่หน้าจวนและเด็กคนนั้นยังบอกอีกว่า ตนเองชื่อหลี่จื้อคังต้องการพบพ่อบ้าน เรื่องนี้ถือว่าแปลกสำหรับห้าวชง ตั้งแต่ซื่อจื่อถูกลักพาตัวไปหลายวัน นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้ามาแอบอ้างตัวเช่นนี้
เมื่อเดินออกมาด้านหน้าพ่อบ้านห้าวชง ก็มองหาคนที่แอบอ้างชื่อของซื่อจื่อจวนอ๋องทันที “ไหน ๆ คนที่พวกเจ้าบอกว่าแอบอ้างเป็นซื่อจื่อ ข้าขอดูหน้าเสียหน่อยว่าใครคิดใช้เด็กเป็นเครื่องมือ”
ซื่อจื่อน้อยพอได้ยินเสียงของพ่อบ้านห้าวชง จึงรีบเดินออกมาแสดงตัวต่อหน้าเขาอย่างรวดเร็ว “เป็นข้าเอง หรือว่าแม้แต่ท่านพ่อบ้านก็จดจำซื่อจื่อผู้นี้ไม่ได้อีกคนรึ”
ขวับ! “จะ...สะ สะ ซื่อจื่อ ๆ เป็นท่านจริงหรือนี่! ท่านถูกคนร้ายจับตัวไปท่านอ๋องทรงเป็นห่วงซื่อจื่อมากนะขอรับ ดูสิซูบผอมไปไม่น้อยคงกินไม่อิ่มใช่หรือไม่ แล้วนี่ซื่อจื่อได้รับบาดเจ็บที่ใดบ้าง รีบบอกบ่าวมาเถิดบ่าวจะให้คนไปตามท่านหมอมารักษาให้ขอรับ”
‘ซื่อจื่อ! จริง ๆ หรือนี่ ตายแน่ ๆ ข้าพูดจาไม่ดีกับซื่อจื่อเสียด้วย’
จื่อหนิงเห็นพ่อบ้านห้าวชงหมุนตัวซื่อจื่อน้อยไปมา นางเกรงว่าเขาจะเวียนศีรษะจนอาเจียนขนมที่เพิ่งกินออกมา” ท่านพ่อบ้านอย่าทำเช่นนั้นเจ้าค่ะ ซื่อจื่อเพิ่งจะกินขนมไปเกรงว่าหากท่านยังหมุนตัวซื่อจื่อไปมา อาจทำให้อาเจียนสิ่งที่กินเข้าไปออกมาได้นะเจ้าคะ”
“อะ อ่อ บ่าวขออภัยขอรับซื่อจื่อ บ่าวดีใจมากไปหน่อยที่เห็นท่านกลับมาอย่างปลอดภัย ว่าแต่แม่นางท่านนี้เป็นใครหรือ” พ่อบ้านห้าวชงรีบหยุดมือตามที่จื่อหนิงบอก แต่ยังมิวายหันไปทางจื่อหนิงและตั้งคำถามกับนางอีกครั้ง
แต่คนที่ตอบคำถามของพ่อบ้านห้าวชง กลับเป็นซื่อจื่อที่พูดถึงจื่อหนิงอย่างอ่อนโยน “ท่านพ่อบ้านสตรีที่ท่านเห็นอยู่นี้คือพี่สาวจื่อหนิง นางเป็นคนช่วยข้าเอาไว้และพามาส่งถึงที่นี่ นอกจากนี้ระหว่างทางยังช่วยดูแลข้าเป็นอย่างดี”
พ่อบ้านห้าวชงได้รับการยืนยันจากซื่อจื่อ แม้จะรู้สึกขอบคุณจื่อหนิงแต่มิวายมีข้อสงสัยอยู่ในใจ ว่าสตรีรูปร่างผอมบางเช่นนาง สามารถช่วยซื่อจื่อจากน้ำมือโจรพวกนั้นได้อย่างไร
“ขอบคุณแม่นางจื่อหนิงที่ช่วยเหลือซื่อจื่อไว้ เอาเช่นนี้เจ้าตามข้าเข้าไปพบท่านอ๋องก่อนเถิด เพราะท่านอ๋องทรงกังวลเรื่องของซื่อจื่อมาหลายวัน จนไม่ยอมพักผ่อนข้าวปลาก็ไม่ยอมกิน หากท่านอ๋องเห็นซื่อจื่อกลับมาอย่างปลอดภัย ต้องประทานรางวัลให้เจ้าเป็นแน่”
“ไปกันเถิดพี่จื่อหนิง ข้าจะแนะนำท่านให้เสด็จพ่อรู้จักเองขอรับ”
“รบกวนท่านพ่อบ้านแล้วเจ้าค่ะ”
จื่อหนิงถูกซื่อจื่อน้อยจับจูงมือนางไปด้วยตนเอง ซึ่งตัวของพ่อบ้านห้าวชงยิ่งแปลกใจ กับคำพูดที่น่าฟังของเจ้านายตัวน้อย เนื่องจากพี่เลี้ยงที่เป็นสาวใช้ของฮูหยินหวง ยังไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ที่สำคัญใบหน้าซูบตอบนั่นคล้ายว่าตนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน