บท
ตั้งค่า

บทที่ 10 ไม่ใช่น้องสะใภ้แต่ทำไมหน้าคล้ายกัน

ภายในเรือนหย่งเจิงที่หลี่อ๋องใช้ทำงานเกี่ยวกับกองทัพ เจ้าของเรือนยังคงมีสีหน้าท่าทางเคร่งเครียดไม่จางหาย ที่เป็นเช่นนี้เพราะยังไม่ได้รับข่าวจากคนของตน เกี่ยวกับหลานชายเพียงคนเดียวที่หายไป แต่ความกังวลใจของหลี่อ๋องกำลังจะถูกคลี่คลาย เมื่อเสียงเล็ก ๆ ที่คุ้นเคยเรียกตนเองอยู่ด้านหน้าประตู

“เสด็จพ่อ ๆ เสี่ยวอวี้กลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

หลี่อ๋องเริ่มขมวดคิ้วคมดุจกระบี่เข้าหากัน และเอ่ยถามชางอวี่ถึงที่มาของเสียงเล็ก ๆ นั่น “หือ ชางอวี่เจ้าได้ยินเสียงเด็กเหมือนข้าหรือไม่ เสียงนั่นคล้ายเสียงของเสี่ยวอวี้มาก หรือเพราะเปิ่นหวางเป็นห่วงเสี่ยวอวี้เกินไปจนหูฝาดงั้นหรือ”

ซื่อจื่อน้อยยังคงส่งเสียงเรียกหลี่อ๋องอีกครั้ง “เสด็จพ่อออ! ท่านอยู่ด้านในหรือไม่เสี่ยวอวี้กลับมาหาท่านแล้ว”

ชางอวี่ที่ตั้งใจฟังเสียงเล็ก ๆ เพื่อความแน่ใจ เมื่อรับรู้ได้ว่ามีคนอยู่ด้านนอกจริง จึงรีบตอบคำถามของหลี่อ๋องทันที “ท่านอ๋องพระองค์มิได้หูฝาดพ่ะย่ะค่ะ มีคนอยู่ด้านหน้าประตูเรือนหย่งเจิง หรือว่าเสียงที่พระองค์ได้ยินจะเป็นเสียงของซื่อจื่อจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”

จื่อหนิงเห็นซื่อจื่อน้อยเริ่มมีสีหน้าไม่ดี นางจึงอาสาเคาะประตูให้แต่ช่างบังเอิญเหลือเกิน ที่มือของนางเคาะลงไปอกของหลี่อ๋อง

พรึบ! ปัง! ปึก..

‘เอ๋? ทำไมเสียงเคาะประตูมันดังแปลก ๆ นะ’

‘นางเป็นใคร?’

‘จื่อหนิงเจ้าจะเคาะประตูก็มองที่ประตูสิ จะมองที่อื่นแล้วใช้มือเคาะไปทั่วไม่ได้’

เมื่อได้ยินเสี่ยวถังเป่าเอ่ยเตือน หวงจื่อหนิงถึงได้ผละจากใบหน้าของซื่อจื่อน้อย และหันมามองบานประตูที่นางคิดว่ามีเสียงแปลก ๆ

“หือ เดี๋ยวนี้จวนใหญ่ ๆ ในยุคโบราณ ใช้ผ้าไหมอย่างดีมาทำบานประตูแล้วหรือ จึก จึก ช่างคนไหนกันที่ทำช่างเก่งเสียจริง ทำบานประตูเรือนได้นิ่มเหมือนคนได้ดะ...” จื่อหนิงจิ้มย้ำลงไปอีกสองที และไล่สายตาขึ้นไปก็ต้องหยุดปากไว้แทบไม่ทัน

คนที่ยืนมองอย่างสงบไม่มีใครกล้าเปิดปาก โดยเฉพาะชางอวี่ที่ตาแทบถลนออกจากเบ้า เมื่อเห็นนิ้วมือเรียวบางจิ้มไปที่หน้าอกของท่านอ๋อง นี่คงเป็นครั้งแรกในชีวิตของตนที่ได้เห็นสตรีได้สัมผัสตัวของเจ้านาย

ซื่อจื่อน้อยเกรงว่าจื่อหนิงจะถูกลงโทษ จึงรีบเข้าไปยืนขวางอยู่ตรงกลางระหว่างสองคน และเอ่ยเรียกหลี่อ๋องให้หันมาสนใจตนเอง “เสด็จพ่อเสี่ยวอวี้คิดถึงท่านมาก และกลัวจะไม่ได้กลับมาพบเสด็จพ่ออีก เสด็จพ่อคิดถึงเสี่ยวอวี้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

“เสี่ยวอวี้! /ซื่อจื่อ!”

“ท่านอ๋องใช่ซื่อจื่อจริง ๆ ด้วยพ่ะย่ะค่ะ เสียงที่พระองค์ได้ยินเมื่อครู่คือเสียงของซื่อจื่อ พระองค์ไม่ได้หูฝาด” ชางอวี่ได้สติกลับมาหลังจากได้ยินเสียงเล็ก ๆ นั่นอีกครั้ง

หลี่อ๋องโอบกอดร่างของบุตรชายเอาไว้แน่น ความรู้สึกที่หนักอึ้งภายในใจมลายหายไปทันที เมื่อแน่ใจแล้วว่านี่เป็นความจริงมิใช่ความฝัน หลานชายของตนกลับมาอย่างปลอดภัย “เสี่ยวอวี้เป็นเจ้าจริง ๆ หลายวันมานี้เจ้าคงลำบากมากสินะ พ่อต้องขอโทษเจ้าด้วยที่ปกป้องเจ้าไม่ดีพอ”

ซื่อจื่อน้อยรับรู้ได้ว่าบิดาของตนรู้สึกเสียใจจริง ๆ แต่เขาไม่ได้ลำบากถึงเพียงนั้นเสียหน่อย “เสด็จพ่ออย่าได้กล่าวโทษตนเองเลยพ่ะย่ะค่ะ แม้สองสามวันแรกข้าจะลำบากกินไม่อิ่มเท่าใดนัก แต่พอได้พี่จื่อหนิงยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ก็ได้กินของอร่อยทุกวันพ่ะย่ะค่ะ”

“หือ พี่จื่อหนิง? ใช่คนที่ยืนอยู่ด้านหลังเจ้าหรือไม่เสี่ยวอวี้” หลี่อ๋องรู้สึกได้ว่าหลานชายหรือบุตรบุญธรรม เรียกชื่อสตรีผู้นี้อย่างอ่อนโยน

“ใช่พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ พี่จื่อหนิงเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตลูกไว้ หากไม่ได้พี่จื่อหนิงโจรพวกนั้นคงพาตัวลูกข้ามไปต่างแคว้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ พี่จื่อหนิงนี่คือเสด็จพ่อของข้าเองขอรับ” ซื่อจื่อน้อยอธิบายที่มาที่ไปของจื่อหนิงต่อหลี่อ๋อง

จื่อหนิงก้มหน้าทำความเคารพ ด้วยท่าทางเรียบง่ายนางไม่แน่ใจว่าทำถูกหรือไม่ “ถวายบังคมหลี่อ๋องเพคะ”

หลี่อ๋องลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคง ก่อนจะสั่งให้สตรีผู้มีพระคุณต่อบุตรชายให้เงยหน้า เพราะคำสั่งนี้ของหลี่อ๋องจะทำให้มีบางคำ หลุดออกจากริมฝีปากได้รูปอย่างแผ่วเบา “เงยหน้าขึ้นเปิ่นหวางอยากรู้ว่า ผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตซื่อจื่อเอาไว้มีหน้าตาเป็นอย่างไร”

“เพคะท่านอ๋อง” จื่อหนิงต้องทำตามคำสั่งของขาทองคำ หากนางดื้อรั้นตั้งแต่แรกมีหวังถูกจับโยนออกไปแน่

เมื่อใบหน้าได้รูปที่ดูซูบผอมแก้มตอบเล็กน้อย แต่เค้าโครงใบหน้าทุกอย่างกลับคล้ายคนที่หลี่อ๋องคุ้นเคยยิ่งนัก ‘น้องสะใภ้! ไม่ นางไม่ใช่น้องสะใภ้แล้วเหตุใดใบหน้าของนาง ถึงได้ละม้ายคล้ายคลึงได้เช่นนี้เล่า คนเราจะบังเอิญมีใบหน้าคล้ายกันถึงเจ็ดส่วนเพียงนี้เชียวหรือ’

‘เสี่ยวถังเป่าทำไมท่านอ๋องไม่พูดอันใดเลยล่ะ บอกให้ข้าเงยหน้าจนข้าเริ่มจะเมื่อยที่ต้องทำหน้านิ่ง ๆ แล้วนะ’

‘จื่อหนิงดูเหมือนหลี่อ๋องกำลังคิดบางอย่างอยู่ ไม่รู้ว่าสิ่งที่คิดจะเกี่ยวกับเจ้าหรือไม่ อย่างไรเสียเจ้าก็อดทนเอาหน่อย อยากเกาะขาทองคำทั้งทีต้องมีบททดสอบกันบ้าง’

‘ก็ได้ข้าจะอดทนให้มากที่สุดก็แล้วกัน เฮ้อ...’

“อะ ฮึ่ม แม่นางจื่อหนิงทำตัวตามสบายเถิด เปิ่นหวางขอบใจแม่นางมากที่ช่วยซื่อจื่อไว้ ไม่ทราบว่าเจ้าต้องการให้เปิ่นหวางช่วยเหลืออันใด หรือมีสิ่งของที่อยากได้เป็นการตอบแทนหรือไม่”

“ทูลท่านอ๋องหม่อมฉันช่วยซื่อจื่อ มิได้หวังสิ่งใดตอบแทนเพคะ” จื่อหนิงจะบอกได้อย่างไรว่านางอยากพึ่งบารมีของหลี่อ๋อง

แต่ผู้ที่รู้สึกชื่นชอบในตัวของผู้มีพระคุณ ย่อมไม่อยากให้จื่อหนิงจากไป ซื่อจื่อน้อยจึงเอ่ยขออนุญาตกับบิดาด้วยตนเอง “เสด็จพ่อพี่จื่อหนิงตัวคนเดียวนางไม่มีใครให้พึ่งพา ระหว่างทางมาที่นี่นางช่วยดูแลข้าอย่างดี และยังทำอาหารกับขนมได้อร่อยมาก ๆ หากข้าอยากให้พี่จื่อหนิงทำหน้าที่พี่เลี้ยง คอยดูแลข้าต่อจากนี้แทนพี่เลี้ยงคนเดิมได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

หลี่อ๋องสัมผัสถึงบางอย่างในน้ำเสียงของบุตรชาย ยามพูดถึงพี่เลี้ยงคนเก่าซึ่งเป็นสาวใช้ของน้องสะใภ้ได้ แต่ยังเก็บความสงสัยนี้ไว้ในใจ ด้วยรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ก่อนจะหันไปถามความสมัครใจจากจื่อหนิง “เรื่องนี้พวกเราควรถามความสมัครใจของนาง มิใช่ว่าเสี่ยวอวี้อยากให้ทำงานอยู่ที่นี่ก็สามารถสั่งนางได้ทันทีหรอกนะ ว่าอย่างไรเล่าแม่นางจื่อหนิง บุตรชายข้าชมชอบเจ้าถึงเพียงนี้ หากแม่นางไม่มีที่ไปก็ทำงานเกิบเงินอยู่ที่จวนนี้ไปก่อน”

มีหรือที่โอกาสเกาะขาทองคำมาถึงทั้งที จื่อหนิงจะปฏิเสธให้ตนเองไปลำบากด้วยเหตุใด “ขอบพระทัยหลี่อ๋องที่เมตตา หม่อมฉันจะทำหน้าที่ดูแลซื่อจื่อให้ดีที่สุดเพคะ ถ้าจะให้ดีขอที่พักของหม่อมฉันอยู่ติดกับเรือนของซื่อจื่อได้ยิ่งดี เนื่องจากหม่อมฉันยังต้องดูแลเรื่องอาหาร ที่ต้องใช้บำรุงร่างกายให้ซื่อจื่ออีกหลายวัน หม่อมฉันไม่ไว้ใจคนอื่นในเรื่องนี้เพคะ”

“แม่นางจื่อหนิงพูดเช่นนี้หมายความว่าเยี่ยงไร สุขภาพร่างกายของซื่อจื่อมีสิ่งใดผิดปกติงั้นหรือ” หลี่อ๋องเริ่มสงสัยจื่อหนิง ว่าเหตุใดนางถึงไม่ไว้ใจคนในจวนอ๋อง

‘จื่อหนิงเจ้าแสร้งพูดให้มีเงื่อนงำเล็กน้อย หลี่อ๋องจะได้ลงมือสืบหาสาเหตุด้วยตนเอง’

‘อืม ขอบใจมากเสี่ยวถังเป่า’

จื่อหนิงที่ได้คำแนะนำจากกระรอกน้อย ก็ทำตามนางอธิบายให้หลี่อ๋องคิดระแวงบ่าวไพร่ในจวน “ทูลท่านอ๋องแม้หม่อมฉันจะเป็นหญิงชาวบ้าน แต่ก็ทำงานหนักมากกว่าคนอื่นหลายเท่า สองปีก่อนที่มารดาของหม่อมฉันจะสิ้นใจ ตอนที่ขึ้นเขาไปหาสมุนไพร บังเอิญได้พบท่านหมอมากความสามารถผู้หนึ่ง ด้วยรู้สึกสงสารที่หม่อมฉันมีร่างกายซูบผอม ขาดสารอาหารอย่างหนัก จึงได้สอนเรื่องสมุนไพรและวิธีการนำสมุนไพร มาเป็นส่วนผสมในอาหารเพื่อบำรุงร่างกาย ทำให้หม่อมฉันมีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้ ยามที่เห็นซื่อจื่อครั้งแรกจึงสังเกตได้จากดวงตา รีมฝีปากและเล็บมือ ระหว่างเดินทางจึงพยายามทำอาหารที่ดีต่อร่างกาย แต่ยังต้องใช้เวลาอีกสักหนึ่งเดือน ร่างกายของซื่อจื่อถึงจะกลับมาแข็งแรงเช่นเดิม ในความคิดของหม่อมฉันคล้ายกับว่า ตอนที่ซื่อจื่ออยู่ที่จวนไม่ได้ทานอาหารดี ๆ หรือ เรื่องเช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้นได้นะเพคะ”

หลี่อ๋องได้ยินจื่อหนิงกล่าวเช่นนั้น จึงหันไปถามเอาความกับบุตรชายของตน “เสี่ยวอวี้มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นกับเจ้าหรือไม่ วัตถุดิบทำอาหารของจวนล้วนเป็นของดี เจ้าจะไม่ได้ทานอาหารที่มีประโยชน์ได้อย่างไร”

ซื่อจื่อน้อยก้มหน้าเมื่อบิดาเอ่ยถาม เรื่องอาหารการกินที่ตนได้กินไม่กี่คำ แต่ท่าทางเช่นนี้จื่อหนิงเห็นแล้วจึงจับมือ และพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าให้ซื่อจื่อน้อยพูดความจริง

“หลังจากท่านพ่อกับท่านแม่สิ้นใจ สาวใช้ข้างกายของท่านแม่ก็เริ่มเปลี่ยนไป ยามห้องครัวส่งอาหารไปที่เรือน นางจะให้ลูกนั่งมองนางกินให้อิ่ม แล้วที่เหลือลูกถึงจะได้กินพ่ะย่ะค่ะ” แม้น้ำเสียงที่พูดจะสั่นเครือเพียงใด แต่ซื่อจื่อน้อยยังอดทนไม่แสดงท่าทางอ่อนแอให้ใครเห็น

หลี่อ๋องไม่คิดว่าตนเองจะไว้ใช้คนในจวน จนปล่อยให้มาทำร้ายบุตรชายคนนี้ได้ “เหตุใดถึงไม่บอกพ่อว่าเจ้าถูกรังแก อย่าบอกนะว่าเรื่องที่เจ้าขอออกไปนอกจวน ก็เป็นฝีมือของสาวใช้นางนั้น”

“ใช่พ่ะย่ะค่ะ อีกอย่างตอนที่ข้าถูกโจรร้ายจับตัวไป นางทำแค่เพียงยืนมองอยู่เงียบ ๆ ไม่คิดช่วยเหลือลูกแม้แต่น้อย ทำให้พี่ชางเซิ่งต้องพลัดหลงกับลูกพ่ะย่ะค่ะ” ซื่อจื่อน้อยต้องการให้บิดาจัดการสาวใช้คนนี้โดยเร็วที่สุด จึงยอมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง

“อะไรนะ! /เรื่องจริงหรือนี่”
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel