บท
ตั้งค่า

บทที่ 7 เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ!

ทางด้านจื่อหนิงที่ช่วยซื่อจื่อน้อยได้สำเร็จ และพามายังชายป่านอกอำเภอสุ่ยเซียน นางไม่ลืมเตรียมเสบียงและน้ำพุวิญญาณ ที่เป็นส่วนสำคัญในการปรุงยาหรืออาหารเพื่อบำรุงร่างกาย ทุกอย่างถูกจัดเรียงไว้ในตะกร้าสานขนาดกลาง ซึ่งนางสามารถแบกรับน้ำหนักของมันได้

ระหว่างที่รอให้ซื่อจื่อน้อยฟื้นคืนสติ จื่อหนิงจึงทำอาหารที่ไม่หนักท้องจนเกินไป อย่างไข่ตุ๋นใส่ผักหลากสีไว้สำหรับนางและซื่อจื่อน้อย เพราะตอนที่อยู่ในมิตินางได้ใช้เครื่องตรวจสุขภาพ เพื่อตรวจร่างกายของร่างเล็ก ๆ นี้แล้ว จึงพบว่ามีอาการอ่อนเพลียและขาดสารอาหารเล็กน้อย

“เฮ้อ ป่านนี้ครอบครัวของเด็กน้อยคงเป็นห่วง จนไม่เป็นอันกินอันนอนแล้วกระมัง โดยเฉพาะคนเป็นแม่จะร้องไห้เสียใจแค่ไหนนะ ที่ลูกชายตัวน้อยถูกคนชั่วลักพาตัวมา เจ้าคิดเหมือนข้าไหมเสี่ยวถังเป่า”

‘ย่อมเป็นเช่นนั้นมันเป็นเรื่องที่มนุษย์ไม่อาจหนีพ้น แม้จะไม่เคยทำร้ายผู้ใดแต่ใช่ว่าคนพวกนั้นจะไม่อิจฉาริษยา ที่ครอบครัวนี้มีบุตรชายที่น่ารักไว้สืบสกุลก็ได้นะจื่อหนิง’

“อืม ข้าเข้าใจเรื่องที่เจ้าพูดมาเช่นกัน ในยุคโบราณบุตรชายมักสำคัญกว่าบุตรสาวจริง ๆ ถ้าหากข้ามีบุตรชายที่น่ารักเช่นนี้ ก็ต้องร้องไห้เป็นลมไปหลายตลบเหมือนกัน”

‘ข้าจะรอดูว่าลูกชายลูกสาวของเจ้าจะมีหน้าตาเช่นไร’

จื่อหนิงหยุดพูดคุยกับเสี่ยวถังเป่าก่อนจะตั้งใจทำอาหารให้เสร็จ ด้วยกลิ่นหอมของอาหารที่ลอยไปในอากาศ จึงช่วยกระตุ้นให้ร่างน้อย ๆ ที่นอนหมดสติ ค่อย ๆ ลืมตาช้า ๆ แต่พอตื่นเต็มตาและเห็นสตรีที่นั่งอยู่ไกลๆ คำแรกที่ตะโกนออกไปทำเอาจื่อหนิงงงเป็นไก่ตาแตก

“ฮึก ทะ ทะ ท่านแม่ ท่านแม่!” แค่เรียกจะพอได้อย่างไร ซื่อจื่อน้อยรีบลุกขึ้นยืนและวิ่งไปหาจื่อหนิงทันที

หมับ! “โอ๋ ๆ ไม่เป็นไรแล้วนะตอนนี้เจ้าปลอดภัยแล้ว”

“ฮึก ฮือ ๆ ท่านแม่ท่านยังไม่ตายท่านกลับมาหาอวี้เอ๋อร์แล้ว”

“หา! ดะ ดะ เดี๋ยวนะเมื่อกี้เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ ลองเรียกใหม่อีกครั้งสิเด็กน้อย” ตอนนี้จื่อหนิงคิดว่าตนเองกำลังหูฝาด

“ฮึก ก็เรียกท่านว่าท่านแม่อย่างไรล่ะขอรับ”

‘รู้สึกว่าเจ้ากำลังมีงานช้างรออยู่เสียแล้วล่ะจื่อหนิง ฮ่า ๆ ๆ’

จื่อหนิงได้แต่ถลึงตาตอบเสี่ยวถังเป่า เพราะนางยังไม่อยากทำให้เด็กน้อยตกใจในตอนนี้ “เอ่อ เด็กน้อยพี่สาวมิใช่ท่านแม่ของเจ้าหรอกนะ เพราะพี่สาวเพิ่งอายุสิบห้าได้ไม่นาน จะมีลูกอายุห้าหนาวทั้งที่เพิ่งปักปิ่นไม่ได้กระมัง”

เมื่อซื่อจื่อน้อยมองใบหน้าที่ไม่มีไฝตรงหางตา ก็เริ่มมีอาการห่อเหี่ยวว่าตนเข้าใจผิดไปเอง “ขออภัยพี่สาวเป็นข้าที่มองผิดเอง หวังว่าท่านจะไม่โกรธกับสิ่งที่ข้าทำลงไปนะขอรับ”

พอเห็นสีหน้าหงอยเหงาจื่อหนิงก็ใจอ่อนยวบ “พี่สาวเข้าใจเพราะพี่สาวเองก็ไม่มีบิดามารดาเช่นกัน อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยพวกเราทานของอร่อยรองท้องก่อนเถิด พอมีแรงแล้วค่อยคุยกันทีหลังนะ มานั่งข้าง ๆ พี่สาวดี ๆ เพราะตรงหน้านี้คือของอร่อย จากฝีมือของพี่สาวเองลองชิมดูนะ”

ซื่อจื่อน้อยรับถ้วยไข่ตุ๋นสีสันน่าทานมาถือไว้ และมันอุ่นกำลังดีไม่ร้อนจนเกินไป ทำให้ทานได้ง่ายและอร่อยถูกใจ “อึก อื้อ! พี่สาวอาหารฝีมือของท่านอร่อยมากเลย ท่านทำอาหารเก่งกว่าพ่อครัวที่จวนอีกขอรับ”

“ถ้าอร่อยก็ทานเยอะ ๆ ยังมีอีกหลายถ้วยนะ เสี่ยวถังเป่าเจ้าก็กินถ้วยเล็กนั่นให้หมดเล่า” มีคนชอบอาหารที่ตนเองทำใครบ้างจะไม่ดีใจ

“พี่สาวมีสัตว์เลี้ยงเป็นกระรอกด้วยหรือขอรับ ข้าเพิ่งจะสังเกตเห็นตอนที่ท่านเรียกชื่อเจ้าตัวเล็กนี่”

จื่อหนิงรู้สึกเอ็นดูซื่อจื่อน้อยที่นางช่วยไว้ คล้ายกับว่ามีสายสัมพันธ์บางอย่างระหว่างทั้งสอง แต่นางก็สลัดมันออกไปไม่ได้คิดหาคำตอบ “ใช่แล้วล่ะ เจ้านี่ชื่อว่าเสี่ยวถังเป่าน่ารักหรือไม่”

“ในเมื่อพี่สาวเรียกกระรอกน้อยว่าเสี่ยวถังเป่า ท่านก็เรียกข้าว่าเสี่ยวอวี้ก็ได้ขอรับ” ซื่อจื่อน้อยก็รู้สึกไม่ต่างกับจื่อหนิง ถึงจะเป็นเด็กแต่อายุก็ห้าหนาวแล้ว อีกทั้งได้ร่ำเรียนกับอาจารย์มาได้ระยะหนึ่ง จึงสัมผัสได้ว่าจื่อหนิงมิใช่คนไม่ดีไม่เช่นนั้นคงไม่ช่วยตนเอาไว้เช่นนี้

เมื่อเห็นว่าซื่อจื่อน้อยเริ่มผ่อนคลาย จื่อหนิงถึงได้เริ่มถามไถ่เรื่องราวที่เกิดขึ้น “อืม เสี่ยวอวี้เจ้าพอจะบอกพี่สาวได้หรือไม่ ว่าเหตุใดคนพวกนั้นถึงต้องลักพาตัวเจ้าด้วยล่ะ แล้วพี่สาวต้องไปส่งเจ้าที่เมืองไหน คนที่เสี่ยวอวี้ไว้ใจได้มีหรือไม่”

“ข้าไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงเกิดเรื่องนี้ขึ้นได้ เพราะวันนั้นข้ากำลังเดินเล่นซื้อขนมกับสาวใช้ของท่านแม่ และยังมีคนติดตามอีกหนึ่งคน จู่ ๆ คนพวกนั้นไม่รู้มาจากที่ใดตรงมาจับตัวข้า โดยสาวใช้ของท่านแม่ไม่ได้ร้องตะโกนให้คนช่วยเหลือ พอคนติดตามอีกคนเห็นเข้าก็รีบมาช่วย แต่ถูกคนหลอกให้ไปอีกทางขอรับ” ซื่อจื่อน้อยร้องขอความช่วยเหลือ แต่สาวใช้นางนั้นกลับยืนมองอย่างเฉยชา

จื่อหนิงเอะใจคำพูดซื่อจื่อน้อยที่ว่า สาวใช้ไม่ยอมช่วยเหลือตนแต่อย่างใด “เรื่องใหญ่กว่าที่คิดเอาไว้ซะแล้วสิ สงสัยสาวใช้ผู้นั้นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนร้ายแน่”

‘เกลือเป็นหนอนงั้นหรือจื่อหนิง คนพวกนี้ช่างใจกล้าเข้าถ้ำเสือจริง ๆ’

ซื่อจื่อน้อยที่รู้สึกถูกชะตากับผู้มีพระคุณ จึงอยากตอบแทนนางบ้างโดยคิดจะให้นางมาเป็นพี่เลี้ยงของตน “พี่สาวไหน ๆ ท่านก็ช่วยชีวิตข้าไว้ถึงขนาดนี้แล้ว หลังจากที่ท่านพาข้าไปส่งที่จวน ข้าอยากให้ท่านทำงานเป็นพี่เลี้ยงของข้าได้หรือไม่ขอรับ”

‘ไอหยา ในที่สุดสิ่งที่ข้ารอคอยเด็กน้อยก็พูดออกมาเสียที’

แต่จื่อหนิงยังรู้สึกเกร็ง ๆ กับเจ้าของจวน ที่ได้ชื่อว่าโหดเหี้ยมอำมหิตเกินคนอยู่เล็กน้อย “จะดีหรือเสี่ยวอวี้ ถ้าเจ้าให้พี่สาวทำหน้าที่นั้นแทนคนเดิม บิดาของเจ้าจะเห็นด้วยหรือไม่เล่า”

“พี่สาวอย่าห่วงเลยสะ..ท่านพ่อของข้าต้องเห็นด้วยแน่ ๆ ขอรับ นะพี่สาวคนงามท่านช่วยอยู่ดูแลข้าเถิด ข้าสัญญาจะเป็นเด็กดีไม่ดื้อไม่ซน จะเชื่อฟังที่พี่สาวสอนทุกอย่างขอรับ นะ ๆ ๆ”

จื่อหนิงทำทีว่ายอมตามซื่อจื่อน้อยไป แต่คำพูดของนางยังคงก้ำกึ่งไว้นิด ๆ “เอาเป็นว่ารอให้ถึงจวนของเจ้าเสียก่อน หากบิดาของเจ้าไม่คัดค้านเรื่องนี้ พี่สาวจะยอมทำงานเป็นพี่เลี้ยงเสี่ยวอวี้ ดีหรือไม่”

“ดีที่สุดเลยขอรับ เย้ ๆ ๆ”

“เช่นนั้นเด็กดีต้องกินให้อิ่มจะได้ดื่มยา ร่างกายจะได้แข็งแรงไว ๆ”

“ขอรับ แต่ว่าข้ายังไม่รู้จักชื่อของพี่สาวเลยนะขอรับ” ซื่อจื่อน้อยนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้จึงถามกับจื่อหนิงทันที

คนตอบยิ้มให้อย่างอ่อนโยนและบอกชื่อของตน “เสี่ยวอวี้เรียกพี่สาวว่าพี่จื่อหนิงก็แล้วกันนะ”

“อื้อ พี่จื่อหนิง”

‘จื่อหนิงข้าดีใจกับเจ้าด้วยที่กำลังจะเข้าใกล้ขาทองคำเข้าไปทุกที’

‘แน่นอนสิเสี่ยวถังเป่า ขาทองคำคนนี้ข้าต้องเกาะเอาไว้ให้แน่น เพื่อวันหน้าจะได้พึ่งบารมีจัดการบิดาชั่วนั่น รอข้าก่อนเถิดขาทองคำของข้า ฮ่า ๆ ๆ’

เมื่อจัดการอาหารตรงหน้าและเก็บทำความสะอาดแล้ว จื่อหนิงจึงพาซื่อจื่อน้อยเข้ายังตัวอำเภอสุ่ยเซียน เพื่อว่าจ้างรถม้าสักคันในการเดินทางไปยังเมืองหลงเฉิง ซึ่งขาทองคำที่นางคิดจะเกาะเอาไว้แน่นผู้นั้น ต้องประหลาดใจกับใบหน้าของตนถึงกับเพ่งมองนาง จนคนถูกมองทำตัวไม่ถูกกันเลยทีเดียว
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel